1.1 ว่าที่คู่หมั้น
แอดดด
เสียงเปิดประตูเข้ามา ทำให้เจ้าของใบหน้าน่ารักหันไปมองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ฉีกยิ้มหวานส่งไปให้ทันที
“เสร็จหรือยังเกี๊ยว พี่เขามานั่งรอสักพักแล้วนะ”
“ใกล้เสร็จแล้วค่า~ เดี๋ยวหนูตามลงไปนะคะ”
เสียงของ ‘เกวริน’ ตอบรับเสียงใส ก่อนจะหันมามองกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปัดแก้มและเติมลิปกลอสสีชมพูหวานอย่างเร่งรีบ
“อย่าให้รอนานนักล่ะ รีบๆ ลงมาได้แล้ว กว่าเดินทางถึงกรุงเทพ เดี๋ยวก็มืดค่ำเสียก่อน”
“ค่าๆ เดี๋ยวรีบตามไปค่า~”
ว่าแล้วร่างอวบอิ่มในชุดเดรสสีชมพูแขนตุ๊กตาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมุนตัวไปมาหน้ากระจกอยู่หลายที จนมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงรีบไปลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเล
ทางฝั่งของ ‘ภากร’ ซึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้เป็นแม่ของเด็กสาวอยู่ด้านล่าง พอเหลือบเห็นเจ้าของร่างอวบอิ่มเดินลงมาจากบันได ก็ลุกขึ้นแล้วไปช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางใบนั้นอย่างที่ทำเป็นประจำ
“เอามา เฮียช่วย”
“อุ้ย...ขอบคุณค่ะเฮียภีม” เกวรินฉีกยิ้มสดใสส่งไปให้ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ สุดหล่อของตัวเองอย่างนึกขอบคุณ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงตีหน้านิ่งเหมือนเดิม และตอบกลับมาว่า ‘อืม’ เพียงคำเดียวเท่านั้น
ปกติแล้ว เวลาที่มหาวิทยาลัยปิดเทอม หรือเปิดเทอม ภากรก็จะเป็นคนอาสาพาเธอไปส่งที่กรุงเทพฯ แทบทุกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้พ่อแม่ของเขาก็อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน และทั้งสองครอบครัวก็สนิทกันมาก จนถึงขั้นที่เคยเอ่ยปากไว้เมื่อหลายปีก่อนว่าถ้าเด็กสาวเรียนจบเมื่อไหร่ จะให้แต่งงานกันทันที
“ฝากไปส่งยัยเด็กดื้อของน้าหน่อยนะลูก”
“หนูไม่ได้ดื้อสักหน่อย...” เกวรินยู่ปาก เถียงผู้เป็นแม่กลับไปทันควัน ภาวดีเห็นแบบนั้นก็ค้อนลูกสาวตัวดีไปทีหนึ่ง
“ยังจะเถียงอีก?”
“เปล่านะคะ...ไม่ได้เถียงเล๊ยยย”
“เกี๊ยว!”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า ผมจะดูแลน้องอย่างดี ไม่ให้ไปเถลไถลที่ไหนแน่นอนครับ” เสียงทุ้มของภากรเอ่ยขึ้นห้ามทัพ สองแม่ลูกจึงยอมสงบศึกย่อมๆ กันชั่วคราว
“ภีมพูดแบบนี้น้าก็สบายใจ แต่ถ้าเกี๊ยวดื้อมากก็จัดการได้เลยนะลูก น้าให้สิทธิ์เต็มที่”
“แม่อะ~!”
“ครับคุณน้า” เขาพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับ เหลือบมองคนตัวเล็กที่ทำหน้ายู่อยู่ข้างๆ แล้วมุมปากก็กระตุกยิ้มบางเบาโดยไม่มีใครทันได้สังเกต
หลังจากที่เกวรินล่ำลากับผู้เป็นแม่เสร็จ ภากรก็ช่วยลากกระเป๋าเดินทางไปไว้ในรถยนต์คันหรูซึ่งจอดรออยู่หน้าบ้านของเด็กสาว
“เดินทางปลอดภัยนะลูกนะ” ภาวดียืนโบกมือน้ำตาซึมอยู่หน้าบ้าน แม้ตอนอยู่ด้วยกันกับลูกสาวจะทะเลาะกันแทบทุกวัน แต่พอต้องห่างกันจริงๆ ก็อดรู้สึกวูบโหวงในใจไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงค่า~ ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวหนูไลน์ไปบอกน้า~” เกวรินลดกระจกลงแล้วยิ้มแฉ่งโบกมือกลับรัวๆ จนผู้เป็นแม่หลุดหัวเราะออกมากับท่าทีดี๊ด๊าของลูกสาวเพียงคนเดียวของตน
“วันนี้หนูสวยไหมคะเฮีย”
ขับรถออกจากบ้านมาได้สักพัก เสียงใสของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น เขาจึงตวัดสายตามองเร็วๆ ทีหนึ่งแล้วหันไปสนใจกับการขับรถต่อ
“ว่าไงคะเฮีย หนูสวยไหม?” เสียงหวานถามย้ำอีกครั้ง ด้วยดีกรีดาวคณะฯ บวกกับความน่ารักสดใสและยิ้มง่ายของเธอ ทำให้มีผู้ชายแวะเวียนมาส่งขนมจีบไม่หยุด ทว่าคนที่เธออยากให้สนใจมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
“ก็ดี...”
อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไร เกวรินได้ฟังก็หน้ามุ่ย ปากขมุบขมิบบ่นเสียงเบาอยู่คนเดียว
ชิ...อุตส่าห์แต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้ไม่คิดจะชมกันเลยหรือไง!
“แล้วนี่หิวหรือยัง” ภากรเห็นเด็กสาวเงียบไปจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง กลัวว่าเด็กกินจุอย่างเกวรินจะงอแงเพราะท้องว่างระหว่างเดินทาง
“หิวค่ะ...”
“อยากกินอะไรล่ะ ใกล้ๆ นี่มีร้านอาหารไทยอยู่ ถัดไปก็เป็นปั๊ม”
“อยากกินเฮียค่ะ หนูกินได้ไหมคะ?”
คนตัวเล็กยิ้มแป้น หันหน้ามาสบตากับตาพร้อมกะพริบตาปริบๆ ท่าทางของเธอดูน่ารักหยิก ทว่าภากรยังอดใจเอาไว้ได้
ท่องไว้ไอ้ภีม...
น้องยังเด็ก...
“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมพูดจาแบบนี้” เขาตีหน้าขรึม หันไปดุเด็กสาวที่ห่างกัน 7 ปีเสียงแข็ง
“ก็ไม่เด็กแล้วนะคะ ปีนี้หนู 21 แล้ว อีกหน่อยพอเรียนจบก็ได้จะได้แต่งกับเฮียแล้วด้วย”
ริมฝีปากอมชมพูฉีกยิ้มกว้าง พูดจ้ออย่างภูมิใจเรื่องที่ครอบครัวของเธอกับเขาเคยสัญญากันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเธอเรียนจบเมื่อไหร่ จะให้แต่งงานกันทันที
พูดแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย!
“ใครบอกจะแต่งด้วย?”
“ง่ะ...ก็เฮียไง เฮียบอกจะแต่งกับหนู~”
ว่าแล้วก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ กอดแขนล่ำเขาเอาไว้พร้อมถูไถใบหน้าหวานไปมาอย่างออดอ้อน ทว่าโดนมือหนาดันศีรษะเธอออกเสียก่อน
“อย่าเนียน เฮียเคยพูดตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะแต่งด้วย”
“ก็ตอนนั้นไง~ ตอนหนูเรียนอยู่ปอสองอะ!”
“ฮะ?”
“อย่าบอกนะว่าลืมจริงๆ อะ” เกวรินกอดอกหันไปมองคนตัวโตตาขวางอย่างแง่งอน
“ก็ลืมจริงๆ นั่นแหละ...”
“เฮีย!”
_________________________________________
ฝากติดตามนามปากกา นักเขียนติดเรท ด้วยนะคะ^^