บทที่ 5 อดีตของพราวตะวัน
@หลายปีก่อนหน้านี้
ทุกๆวันครบที่ก่อตั้งบริษัท ครอบครัวคลินตันจะทำบุญด้วยการบริจาคสิ่งของและมอบเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ ซึ่งเอดิสัน คลินตันถือว่าเป็นนักธุรกิจใจบุญคนหนึ่งที่ชอบบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้ เพราะเขาเชื่อว่ายังมีเด็กอีกหลายคนที่รอการช่วยเหลืออยู่ เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอในทุกๆปีจนได้ฉายาว่า ‘นักบุญในคาบนักธุรกิจ’
และปีนี้บ้านเด็กกำพร้าที่เขาเลือกนั่นก็คือ ‘บ้านไออุ่นรัก’ ซึ่งอยู่ในแถบชนบท แต่เขาก็ยังดั้นด้นมาในที่ที่ทุรกันดารขนาดนี้ จนภรรยาที่ตามมาด้วยบ่นตลอดทาง
“ฉันล่ะยอมใจคุณจริงๆคุณเอดิสัน หวังว่าปีหน้าคงไม่พาฉันมาในที่ทุรกันดารแบบนี้อีกนะ”
“ผมก็แค่อยากมาเจออะไรใหม่ๆ สถานสงเคราะห์ในเมืองเราไปมาเกือบทุกที่แล้วนะ ผมอยากลองมาในชนบทบ้าง”
“คุณนี่มันนักบุญในคาบนักธุรกิจสมชื่อจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราถึงต้องบริจาคเงินมากมายขนาดนี้ด้วย”
“เพราะโอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกันไง เด็กบางคนต้องอดมื้อกินมื้อ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นใคร อะไรที่ผมพอช่วยได้ ก็อยากจะช่วย”
“วันๆฉันไม่เห็นคุณทำอะไรเลยนอกจากทำงานและก็บริจาคเงินเป็นว่าเล่น ฉันเข้าใจนะคะว่าเรามีเหลือกินเหลือใช้ แต่ต่อให้คุณบริจาคเงินทุกวัน คุณก็ช่วยเด็กทั้งโลกไม่ได้หรอกค่ะ”
“คุณไม่เป็นผม....ไม่วันเข้าใจหรอก” เอดิสันตัดบท
ต่อให้อธิบายไปก็ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเขาอยู่ดี บางเรื่องมีแค่ตัวเขาคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ
ในที่สุดครอบครัวคลินตันก็เดินทางมาถึงบ้านไออุ่นรัก ซึ่งผู้ที่ดูแลที่นี่ก็คือ ‘ครูกรองแก้ว’ เป็นคุณครูจิตอาสาและเป็นคนสร้างบ้านไออุ่นรักขึ้นมา ที่นี่ค่อนข้างทุรกันดารมากจนกรองแก้วและผู้ดูแลอีกสองคนเกรงว่าจะต้อนรับครอบครัวคลินตันได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“ยินดีต้อนรับคุณเอดินสันพร้อมครอบครัวนะคะ ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจเหลือเกินที่คุณมาเยี่ยมเด็กๆ แต่ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองมาก อาจจะไม่ได้มีความสะดวกสบายเท่าไหร่นะคะ” กรองแก้วเอ่ยขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจเมื่อนักธุรกิจชื่อดังมาเยือนที่บ้านไออุ่นรัก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากขนาดนั้น ว่าแต่....ที่นี่มีบุคลากรและเด็กๆอยู่กี่คน”
“บุคลากรรวมดิฉันด้วยเป็นสามคนค่ะ เป็นครูจิตอาสาทั้งหมดเลย ส่วนเด็กๆตอนนี้มีประมาณ 39 คนค่ะ”
“เป็นเด็กกำพร้าหมดเลยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ บางคนก็ถูกนำมาทิ้งที่หน้าบ้านเด็กกำพร้า จากเดิมทีมีแค่สิบกว่าคน ตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนอาหารการกินแทบไม่พอเลยค่ะ”
เอดินสันกวาดตามองสภาพบ้านเด็กกำพร้า ที่นี่เป็นบ้านไม้สองชั้น เหมือนเป็นโรงเรียนเก่าแต่ถูกดัดแปลงให้เป็นบ้านเด็กกำพร้า ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นแทบไม่มีเลย กรองแก้วบอกว่าต้องรอรับบริจาคจากผู้ใจบุญเท่านั้น เพราะลำพังบุคลากรเองก็เงินเดือนน้อยนิด
เขาเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมและให้เลขาคนสนิทจดบันทึกเอาไว้ว่าต้องซ่อมแซมส่วนไหนบ้าง หลักๆเลยก็น่าจะเป็นตัวอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พัดลม แอร์ ทีวี ตู้เย็น เป็นต้น
แต่ในระหว่างที่เอดิสันกำลังจะเดินไปยังด้านหลังของตัวอาคาร จู่ๆก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมาชนจนร่างเหน่งน้อยนั้นล้มลง
ปึก!!
“ตายจริง! เป็นอะไรมากหรือเปล่าหนู”
“หนูเจ็บจมูกค่ะ~” เด็กหญิงยกมือกุมจมูกและเป็นจังหวะที่กรองแก้วเดินมาถึงพอดี
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะคุณเอดิสัน”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่บังเอิญเดินมาชนกับแม่หนูคนนี้น่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีเด็กคนนี้เพิ่งมาอยู่ใหม่ อาจจะยังซนอยู่บ้าง”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เด็กซนคือเด็กฉลาด” เอดิสันค่อยๆย่อเข่าลงคุยกับเด็กหญิงด้วยท่าสีหน้าเอ็นดู เธอเป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างผอมบาง แต่ผิวพรรณขาวเนียนผุดผ่อง ไม่เหมือนเด็กในชนบทเลยด้วยซ้ำ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ยังไงก็ไม่รู้ “หนูชื่ออะไรหรอจ้ะ”
“พะ...พราวตะวันค่ะ” เด็กหญิงตอบอย่างกล้าๆกลัวๆแล้ววิ่งไปหลบหลังกรองแก้ว โผล่หน้าออกมาดูคนแปลกหน้า
“หนูพราวแกเป็นเด็กขี้กลัวค่ะ ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่นี่ แกเคยถูกลุงแท้ๆทำร้ายมา”
“น่าสงสารจังลูกเอ้ย แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“แม่ของแกเป็นคนในละแวกนี้ค่ะ ไปทำงานในเมืองหลวงแล้วดันท้องกลับมา แกป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ทำงานหนักไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องอยู่กับพี่ชายที่ติดเหล้าติดยา บางครั้งก็ถึงขั้นทุบตีสองแม่ลูกเพื่อรีดไถ่เงิน หนักเข้าก็เกือบเอาหนูพราวไปขายให้พวกคนรวยที่มีลูกไม่ได้ แกเป็นเด็กที่น่าสงสารมากค่ะ ไม่รู้ไปเจออะไรมาบ้าง ถึงได้กลายเป็นคนเก็บตัวขนาดนี้”
“แล้วตอนนี้แม่ของเด็กไปไหน”
“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่คนในหมู่บ้านบอกว่าแกเสียแล้ว”
เอดิสันจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตตื่นตระหนกคู่นั้น เด็กคนนี้เหมือนจะกลัวคนแปลกหน้าเพราะมีอาการหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา และเขาก็เห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
เขาไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้เจออะไรมาบ้าง ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากดึงแกขึ้นมาจากขุมนรก อยากลบเรื่องเลวร้ายออกไปจากใจ
“แม่ของแกคงจะรักแกมาก แต่ไม่สามารถเลี้ยงแกได้ ถ้าปล่อยไว้กับลุง ไม่รู้ว่าตอนนี้หนูพราวจะโดนอะไรบ้าง แกค่อนข้างต่างจากเด็กทั่วไปค่ะ เหมือนมีปมบางอย่างในใจจนไม่กล้าออกมาเจอผู้คน คงโดนลุงทุบตีมาเยอะเลยกลายเป็นบาดแผลในใจ”
“ตอนนี้แกอายุกี่ขวบแล้ว”
“เพิ่งจะ 5 ขวบเองค่ะ”
“ที่บ้านผมมีลูกอยู่สองคน ถ้าจะขอรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยง คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”
“ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แต่คุณเอดินสันต้องทำแบบประเมินก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าเด็กที่ถูกรับไปเลี้ยงจะสร้างความลำบากใจในอนาคตหรือเปล่า เพราะมันเคยเกิดกรณีแบบนี้มาแล้ว ดิฉันกลัวว่าเด็กคนนี้จะเข้ากับลูกๆของคุณไม่ได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง แต่ผมอยากรับเลี้ยงเด็กคนนี้จริงๆ ผมรู้สึกถูกชะตากับแกยังไงก็ไม่รู้”
“ถ้าคุณเอดินสันคิดดีแล้ว งั้นเชิญทำแบบประเมินเลยค่ะ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งนะคะ...เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กคนนี้สร้างปัญหา...อย่าทุบตีหรือทำร้ายเธอ แต่ให้พาเธอกลับมาส่งที่นี่”
----------------