ตอนที่ 8 บันทึกสิบสองนักบวช
ในตอนที่เยว่ลู่ฟื้นคืนสติ นางก็ถูกมัดอยู่บนเตียงกลางห้องเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับการมองเห็น จนกระทั่งเห็นชัดขึ้น สิ่งแรกที่นางทำคือเหลียวมองไปยังข้อมือที่ถูกมัดทั้งสองข้าง คิ้วเริ่มขมวดเป็นปม ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่เยว่ลู่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของตัวเอง ก่อนจะพยายามมองสำรวจไปรอบๆ ให้ได้มากที่สุด เท่าที่นางจะทำได้
ห้องนี้คล้ายกับห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือของเหิงเยว่ เพียงแต่ห้องลับนั้นเต็มไปด้วยสมบัติจนเต็มห้อง แต่ห้องนี้กลับว่างเปล่า มีเพียงเตียงไม้ที่นางนอนอยู่ แล้วก็โต๊ะวางเครื่องมือบางอย่าง กับเก้าอี้สองตัว
ขณะที่เยว่ลู่กำลังสงสัย ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับใครบางคนก้าวเข้ามายืนข้างเตียง
“ตื่นแล้วหรือเด็กน้อย” ปรมาจารย์รุ่ยกวงมองร่างเล็กด้วยความพอใจ ไม่นึกว่าจะได้ตัวมาเร็วขนาดนี้ แต่เยว่ลู่ไม่เพียงไม่ถามว่าเขาจับนางมาทำอะไร กลับเลือกที่จะต่อว่าเขาแทน “ที่แท้ ท่านก็เป็นคนชั่วช้า”
“ฮ่าๆ ทาสชั้นต่ำที่ไร้ค่าอย่างพวกเจ้า ต่อให้ข้าฆ่าทิ้งทั้งหมด ก็ไม่มีใครกล้าว่าข้าชั่วช้าหรอกนะ พวกเจ้ามันไม่เพียงจะไร้ประโยชน์ แต่ยังเป็นภาระและเป็นจุดด้อยของเผ่าพันธุ์ มนุษย์ที่แม้แต่ธรรมชาติยังทอดทิ้ง มิสู้ให้ข้านำมาใช้ประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ”
“ท่านไม่กลัวอาจารย์ข้ารู้หรือไร”
“หึหึ รู้แล้วอย่างไร เขาจะทำอะไรข้าได้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเหิงเยว่จะยอมผิดใจกับข้าเพื่อทาสชั้นต่ำอย่างเจ้า เขามีแต่จะขอบคุณข้าด้วยซ้ำ ที่ช่วยทำลายพันธสัญญาให้” ปรมาจารย์รุ่ยกวงเอ่ยจบ ก็ไม่รอช้า หยิบโอสถสีแดงออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นก็บีบปาก บังคับให้เด็กหญิงกิน “กินมันเข้าไป!”
“แค่กๆ” เม็ดยาไหลผ่านลงคอจนทำให้เยว่ลู่สำลัก แต่อีกไม่กี่อึดใจต่อมา นางก็รู้สึกทรมานเหมือนร่างกายกำลังจะฉีกขาด
โอสถเม็ดนี้ มีชื่อว่า โอสถเลือด เป็นยาที่ปรมาจารย์รุ่ยกวงคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่เริ่มการทดลอง และยังไม่เคยมีใครรอดตายจากมันเลยสักคน เดิมทีมันทำมาจากหว่านกินคนผสมกับเลือดอสรพิษหกหัว แต่สำหรับเม็ดที่เยว่ลู่พึ่งจะกินเข้าไปนั้น พิเศษกว่าหน่อย เพราะมันผสมหัวใจของเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าไปด้วย
ชายชรายืนมองร่างเล็กที่กำลังนอนบิดเร่าๆ อยู่บนเตียงอย่างคาดหวัง หวังว่านางจะรอดตายจากมัน โดยไม่รู้เลยว่ายังมีอีกสองชีวิตที่สัมผัสได้ถึงความทรมานของนางได้
เวลานี้หนอนอ้วนที่อยู่ในถุงข้างเอวกำลังบิดตัวไปมาด้วยความทรมานไม่แพ้เยว่ลู่ ส่วนทางด้านเหิงเยว่ที่อยู่บนเทือกเขาเทียมฟ้าก็ไม่ต่างกัน
สิ่งที่ปรมาจารย์รุ่ยกวงนึกไม่ถึงก็คือ เหิงเยว่ไม่ได้ผูกพันธสัญญาธรรมดากับเยว่ลู่เหมือนคู่รักหรือคู่แต่งงานทั่วไป แต่เขาทำพันธสัญญาครึ่งชีวิตกับนาง ไม่เพียงแค่เหิงเยว่เท่านั้นที่ดื่มหยดเลือดของนางในวันนั้น แต่เยว่ลู่เองก็กินอาหารที่มีหยดเลือดของเหิงเยว่เข้าไปด้วย
การทำพันธสัญญาเช่นนี้ หมายถึงการมอบพลังชีวิตครึ่งหนึ่งให้กันและกัน ถ้าหากเยว่ลู่เป็นอะไรไป เหิงเยว่ก็จะกลายเป็นคนไร้ค่า ในทางกลับกัน ถ้าเขาเป็นอะไรไป เยว่ลู่ที่มีพลังน้อยกว่าก็อาจจะตายตามไป
ชายหนุ่มปรากฏกายบนชั้นหกด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย ทั้งๆ ที่อากาศหนาวเย็น เขามองหาลูกศิษย์ไปทั่วแต่กลับไม่พบ “เด็กโง่นี่เจ้ากล้าหนีข้าเชียวหรือ!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะรีบนั่งสมาธิเพื่อใช้ดวงจิตตามหานาง
ภายในห้องลับ เสียงกรีดร้องของเด็กหญิงดังระงมไปทั่ว ร่างที่นอนอยู่บนเตียง เวลานี้เต็มไปด้วยเลือด
“อดทนไว้นังหนู เจ้านับว่าอยู่ได้นานกว่าคนอื่นแล้ว” ปรมาจารย์รุ่ยกวงเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น สายตาไม่ละไปจากร่างของเด็กน้อยบนเตียง ส่วนเจ้าของร่างกำลังนอนตาเหลือกค้างมองไม่เห็นตาดำ
เลือดซึมออกจากทุกรูขุมขน จนใบหน้าเล็กซีดเซียวราวกับศพ
ภายในมิติดวงจิตของเยว่ลู่ นอกจากจะมีดวงจิตของมังกรอัคคีแล้ว ยังมีดวงจิตปีศาจที่ซ่อนอยู่ในเม็ดโอสถ นางไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับความทรมานทางกาย แต่ยังต้องต่อสู้กับดวงวิญญาณของปีศาจระดับสูงที่พยายามจะกลืนกินวิญญาณของนางไปพร้อมกัน
ดวงไฟสามสีในห้วงดวงจิตกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงไฟสีทองและสีแดง พยายามต้านดวงไฟสีดำอย่างยากลำบาก ปีศาจตนนี้ต้องการกลืนกินจิตวิญญาณของเยว่ลู่เพื่อจะได้ครอบครองร่างของนาง แต่ไม่นึกว่ามันจะโชคดีได้เจอดวงจิตของมังกรอัคคีบรรพกาลที่กำลังอ่อนแอในนี้ด้วย และถ้ามันกลืนกินได้ทั้งหมด มันไม่เพียงจะได้เกิดใหม่ในร่างมนุษย์ แต่ยังได้พลังอัคคีบรรพกาลมาครอบครอง
ดวงจิตของเยว่ลู่เริ่มหม่นแสงลงเรื่อยๆ วิญญาณของนางกำลังจะถูกกลืนกินไปพร้อมกับมังกรอัคคี แต่ตอนที่จิตวิญญาณของทั้งสองกำลังริบหรี่ใกล้จะสิ้นแสง อยู่ๆ ก็เกิดมีแสงเจิดจ้าขึ้นในมิติดวงจิตจนทำให้ดวงจิตปีศาจหยุดการเคลื่อนไหว เยว่ลู่จึงถือโอกาสนี้ ค่อยๆ กลืนกินมันเข้าไป ไม่นานเส้นวิญญาณธาตุมืดก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในร่างของนาง
เรื่องที่เกิดขึ้นในนั้น ปรมาจารย์รุ่ยกวงหาได้รับรู้ เพราะตอนนี้เขาเหมือนคนเสียสติ ยิ้มราวกับคนบ้า ยิ่งเห็นเด็กหญิงทนได้นานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ถึงขั้นเพ้อฝัน ว่านางรอดตายจากโอสถเลือด และกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
ความทรมานของเยว่ลู่เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ พลังธาตุมืดดึงพลังของพิษหว่านกินคนมาใช้ปรับสภาพร่างกายของนางให้เหมาะสมในการกลั่นเลือดอสรพิษหกหัวให้กลายเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่เข้ากับร่างกาย ไม่นานร่างเล็กที่เคยนอนบิดเร่าๆ ก็สงบลง
เห็นอย่างนั้น ปรมาจารย์รุ่ยกวงถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ฮ่าๆ สำเร็จ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ” ชายชรารีบออกจากห้องไปบอกข่าวดีกับบุตรสาว ทิ้งให้เด็กน้อยนอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง
พอประตูปิดลง เยว่ลู่ๆ ก็ค่อยลืมตาขึ้น พร้อมกับเจ้าหนอนอ้วนที่เคลื่อนตัวออกมาจากถุง “เกือบตายแล้วไหมล่ะ เพราะแบบนี้ไง ข้าถึงไม่ชอบมนุษย์ เจ้าแก่นั่นมันบ้าไปแล้ว”
“ชู่ๆ อย่าเสียงดัง เจ้ากัดเชือกให้ขาดได้ไหม”
“ไม่น่าถาม” หนอนอ้วนตอบอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนจะคืบคลานไปกัดเชือกที่มัดมือมัดเท้าของเด็กหญิงออกอย่างรวดเร็ว
พอลุกขึ้นยืนได้ เยว่ลู่ก็รีบเอาหูไปแนบบานประตูโดยไม่สนใจสภาพตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าข้างนอกไม่มีคน นางก็ค่อยๆ หมุนรูปปั้นที่ตั้งอยู่ข้างประตูช้าๆ กระทั่งประตูแง้มเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องรอให้นางสั่ง หนอนอ้วนก็บินออกไปดูลาดเลา
“ออกมาเร็ว ในนี้ไม่มีคน”
เยว่ลู่เปิดประตูให้กว้างขึ้น แล้วรีบก้าวออกจากห้องลับ เป็นไปตามที่นางคิด ห้องลับนี้คือห้องลับของหอสามชั้นที่ตั้งอยู่ในสถาบัน
เมื่อดูแล้วไม่มีใครจริงๆ เยว่ลู่ก็เดินไปยังระเบียงด้านหลัง นางไม่อาจลงไปทางบันไดได้ เพราะที่นั่นมีประตูทางเข้าทางเดียว จึงต้องหาทางปีนลงไปจากที่นี่ เชือกตะขอที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ามิติถูกนำมาใช้ ร่างเล็กปีนลงจากชั้นสามอย่างชำนาญ แต่พอลงมาถึงพื้นดิน ปัญหาอื่นก็ตามมา
“หึ! ดูไม่ได้เลยจริงๆ” เสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากเบื้องหลัง ทำให้เยว่ลู่ชะงักค้าง ไม่รู้ว่าเหิงเยว่มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้ม เวลานี้กลับแลดูยุ่งเหยิง “ยังไม่รีบตามอาจารย์กลับไปอีก!”
เยว่ลู่จำต้องกัดฟันสะบัดเชือกให้ตะขอที่เกาะอยู่ด้านบนหล่นลงมา ก่อนจะเก็บมันกลับเข้าไปไว้ในกระเป๋ามิติแล้วเดินตามหลังชายหนุ่มไปโดยไม่พูดไม่จา ความจริงที่นางยอมตามเขาไปแต่โดยดีก็เพราะนางเหมือนจะสัมผัสได้ว่าแสงเจิดจ้าที่มาช่วยนางนั้นมีกลิ่นอายของเขาอยู่ และอีกอย่าง ตอนนี้นางไม่มีทางเลือก
ในตอนที่ทั้งคู่กลับมาถึงชั้นหก ฟ้าก็ใกล้สว่างเต็มที สิ่งแรกที่เหิงเยว่สั่งให้ลูกศิษย์ทำ คืออาบน้ำ เพราะร่างกายของนางเต็มไปด้วยเลือดจนเหม็นคลุ้งไปหมด เยว่ลู่ต้องใช้เวลานานพอดู กว่าจะล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดเอี่ยม
“ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าข้าอยู่ที่นั่น” หลังจากแต่งตัวเสร็จ เยว่ลู่ก็เดินมายืนเบื้องหน้าชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนตั่งพร้อมกับตั้งคำถาม
“หึ! ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ เจ้าสมควรถูกลงโทษรู้ตัวหรือไม่” ชายหนุ่มวางหนังสือในมือลง หันไปถลึงตาใส่ลูกศิษย์ แต่เยว่ลู่ไม่ได้สนใจความไม่พอใจของเขา นางครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่นางคาดเดา “ท่านรู้ถึงความชั่วช้าของสองพ่อลูกนั่นอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้เจตนาทำพันธสัญญากับข้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงาน”
“เจ้าฉลาดเฉลียวเกินไปแล้วศิษย์รัก”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่จัดการคนชั่วพวกนั้น”
“นี่ศิษย์รัก เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้าเป็นแค่อาจารย์เวท จะไปสู้รบตบมือกับปรมาจารย์เวทระดับสูงได้อย่างไร ข้ายังไม่อยากตายหรอกนะ”
ได้ยินอย่างนั้น เยว่ลู่ก็โมโหขึ้นมาทันที “แล้วหลังจากนี้เล่า! ท่านจะทำอย่างไร ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งท่านไปเจอสตรีที่ท่านรัก แล้วท่านจะทำอย่างไรกับข้า หรือว่าจะใช้วิธีเดียวกับตาเฒ่านั่น!”
“ศิษย์น้อยของข้า ข้าจะต้องทำเช่นนั้นกับเจ้าไปทำไม ถ้าหากข้าอยากแต่งงานจริงๆ ก็แค่แต่ง ไม่เห็นต้องไปนั่งทำพันธสัญญาให้ยุ่งยาก แต่ตอนนี้ อาจารย์ไม่รีบ” เหิงเยว่เอ่ยจบก็ส่งยิ้มทรงเสน่ห์ไปให้นาง พอเห็นเด็กน้อยทำท่าจะอ้าปาก เขาก็รีบชิงตัดบท “เจ้าไม่หิวหรือ นี่เช้าแล้วนะ”
เยว่ลู่อึ้งไปเล็กน้อย ถ้าเขาไม่พูด นางก็คงไม่รู้สึก แต่พอเขาพูดขึ้นมา นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที เรื่องที่อยากจะถามเขา เลยต้องเก็บเอาไว้ก่อน เด็กน้อยรีบเดินลงจากชั้นหกตรงไปยังโรงอาหาร สลัดเรื่องวุ่นวายออกจากหัว
หลังจากที่กินข้าวจนอิ่ม เยว่ลู่ถึงได้มานั่งทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนที่นางกลับขึ้นมา อาจารย์ของนางก็ไม่อยู่แล้ว นางจึงไปค้นหาตำราเกี่ยวกับธาตุมืดมาอ่าน แต่ยังไม่ทันที่นางจะเจอหนังสือ ร่างของเด็กสาววัยราวสิบห้าสิบหกปี ก็เดินพ้นบันไดขึ้นมา
เยว่ลู่ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนมา
รุ่ยเซียนมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างสำรวจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปกติดี หัวคิ้วบนใบหน้างามก็ขมวดเป็นปม “คิดว่าจะหนีพ้นหรือ!” นางเอ่ยเสียงเย็นชา ไม่รอให้เยว่ลู่ได้ทันตั้งตัว ก็ร่ายเวทกักขังใส่ทันที แต่พลังนั้นกลับสะท้อนเข้าหาตัวเอง “นะ..นี่มันอะไรกัน!” รุ่ยเซียนที่ร่างกายถูกตรึงเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าคงลืมไปแล้วกระมัง ว่าที่นี่คือที่พักของอาจารย์เวทระดับสูง” เยว่ลู่สาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างของเด็กสาวที่โตกว่า จากนั้นก็แหงนหน้ามองอีกฝ่าย “ตอนนี้ อาจารย์ของข้ายังไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าทำกับข้า แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเลิกรา ข้าจะบอกอาจารย์ทันที เจ้าคงไม่อยากถูกอาจารย์ข้ารังเกียจใช่ไหม”
“เจ้ากล้าขู่ข้าหรือ คำพูดของทาสชั้นต่ำอย่างเจ้า ใครจะเชื่อ!” รุ่ยเซียนแค่นเสียงใส่ พยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่มันก็ไม่เป็นผล
“ข้าไม่ได้ขู่ แต่จะทำจริงๆ ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เอาไว้พวกเราลองดูก็ได้” เยว่ลู่เอ่ยทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในชั้นหนังสือโดยไม่สนใจรุ่ยเซียนอีก ปล่อยให้นางโวยวายด่าทออยู่คนเดียว
พอนึกไปถึงคาถาเวทที่ทำให้พลังของรุ่ยเซียนย้อนกลับ เยว่ลู่ก็นึกถึงบิดาขึ้นมา มีหลายอย่างที่เหิงเยว่คล้ายกับบิดาของนาง อย่างนิสัยที่ชอบลงเวทสร้างกฎเกณฑ์ไว้ในที่พัก ไหนจะความหน้าด้านไร้ยางอาย ความงกสมบัติ เจ้าเล่ห์เพทุบาย หน้าไหว้หลังหลอก กลิ้งกลอก ขี้ขลาดตาขาว นางเคยคิดมาตลอดว่าคนเช่นนี้ คงจะมีเพียงบิดาของนางคนเดียว แต่ไม่นึกว่าจะได้มาเจอคนที่มีนิสัยเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน มิหนำซ้ำ คนคนนั้นยังกลายมาเป็นอาจารย์ของนางเสียด้วย ยิ่งคิดไป เยว่ลู่ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจ เลยรีบสลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว พยายามค้นหาตำราที่นางต้องการ
ผ่านไปเกือบชั่วยาม นางค้นดูจนทั่ว ก็ยังไม่เจอสิ่งที่ค้นหา และไม่รู้ว่าเวทกักขังสลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนที่เยว่ลู่ออกมาจากชั้นหนังสือ ก็ไม่เห็นรุ่ยเซียนแล้ว
เด็กน้อยเดินไปนั่งบนตั่งอย่างเหม่อลอย พยายามทบทวนในสิ่งที่เคยรู้มา แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก นางแน่ใจว่าไม่เคยเห็นตำราเล่มไหนเอ่ยถึงมนุษย์ที่มีธาตุมืดผ่านตาเลย กระทั่งเยว่ลู่มองไปเห็นหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตั่ง เล่มที่เหิงเยว่ชอบเอามาเปิดอ่าน นางจึงหยิบขึ้นมาดู
“บันทึกของสิบสองนักบวช?” คิ้วบนใบหน้าเล็กขมวดมุ่น ก่อนจะค่อยๆ พลิกเปิดหน้าแรกขึ้นมา เพียงแค่นางมองไปยังแผ่นหนังสัตว์ที่ว่างเปล่า ก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณถูกดูดเข้าไปในมิติแห่งหนึ่ง