ตอนที่ 7 พันธสัญญา
วันนี้ทั้งวัน เหิงเยว่ไม่ได้คิดจะออกไปไหน ยังดีว่าหลังจากที่ออกมาจากห้องอาบน้ำแล้ว เขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรเยว่ลู่อีก ทั้งสองต่างนั่งอ่านตำรากันคนละมุม
จนกระทั่งระฆังพักเที่ยงดัง เหิงเยว่ถึงได้หันมาสั่งลูกศิษย์ “ศิษย์น้อย หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เจ้าต้องไปเข้าชั้นเรียนที่ห้องเรียนชั้นต้น เลิกคิดเรื่องจะหนีจากอาจารย์ไปได้เลย เข้าใจหรือไม่”
เยว่ลู่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงเดินลงบันไดด้วยใบหน้าเฉยเมย
ตลอดเวลาช่วงพักกลางวัน ในหัวเล็กๆ ครุ่นคิดจนวุ่นวายไปหมด กระทั่งระฆังดังขึ้นอีกครั้ง เยว่ลู่ถึงได้ดึงความคิดของตัวเองกลับมา ในเมื่อยังหาทางไม่ได้ ก็คงต้องยอมทำตามไปก่อน คิดได้ดังนั้น เด็กน้อยก็เดินตามเด็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกันไปยังอาคารเรียนนักเรียนชั้นต้น เยว่ลู่เดินผ่านไปหลายห้อง รอจนกระทั่งศิษย์ทุกคนนั่งประจำที่กันหมดแล้ว นางถึงมองหาห้องที่มีโต๊ะว่าง
การทำตัวกลมกลืนไม่ใช่ปัญหาของเยว่ลู่ กว่าที่ลูกศิษย์คนอื่นจะรู้ว่านางมีตัวตน ก็ตอนที่อาจารย์หญิงท่านหนึ่งเรียกให้นางยืนขึ้น
“เจ้าเป็นใคร ไหนยืนขึ้นสิ”
เยว่ลู่ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคนพร้อมด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา “ข้ามีนามว่าเยว่ลู่ เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์เหิงเยว่เจ้าค่ะ”
ทันทีที่เยว่ลู่เอ่ยจบก็เกิดความเงียบไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นไม่นานเสียงฮือฮาก็ดังตามมา จนอาจารย์หญิงที่พึ่งได้สติต้องเคาะโต๊ะเสียงดัง พร้อมตะโกนสั่งลูกศิษย์ “ทุกคนเงียบก่อน!”
“แม่หนูน้อย ไหนเจ้าลองบอกอีกทีสิ ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของใครนะ”
“ท่านอาจารย์เหิงเยว่เจ้าค่ะ”
อาจารย์หญิงผู้นั้นได้ยินแล้วก็เดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่กล่าวอะไร ทิ้งให้เยว่ลู่ยืนกะพริบตาปริบๆ นางเลยได้แต่ยักไหล่อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี ก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิม พร้อมกับเสียงฮือฮากลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
กว่าจะผ่านความวุ่นวายตรงนี้ไปได้ ก็แทบจะหมดคาบแรกของช่วงบ่าย สรุปว่า ชื่อของเยว่ลู่ถูกบันทึกเป็นศิษย์ชั้นต้นห้องเรียนที่ยี่สิบสี่ หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติอีก
การเรียนเบื้องต้นนั้น เด็กๆ จะยังไม่ถูกแบ่งแยกไปตามสายธาตุ วิชาที่เรียนจะมีสามวิชาหลัก คือความรู้ทั่วไป การปลุกพลัง และวิถีการเลือกที่เหมาะสม
สำหรับความรู้ทั่วไป ยังแบ่งย่อยไปอีกหลายวิชา อย่างเช่น ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพลังธาตุ ศาสตร์การปรุงยา หลอมอาวุธ วาดอักขระ และเรื่องของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น
ส่วนเรื่องการปลุกพลังและวิถีการเลือก ก็มีเช่นกัน
คาบที่สองของวันนี้ เยว่ลู่ค่อนข้างให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะอาจารย์ที่สอน สอนเกี่ยวกับเรื่องธาตุป้องกันและธาตุจู่โจม
ผู้ที่มีธาตุปฐพี วายุ และ อัคคี จะอยู่ในสายจู่โจม และผู้ที่มีธาตุวารีจะอยู่ในสายป้องกัน อาจารย์ยังกล่าวอีกว่า ผู้ที่ต้องการจะเรียนสายเวทนั้น ที่ดีควรจะเป็นผู้ที่มีธาตุวารี
พอฟังมาถึงตรงนี้ เยว่ลู่ก็เกิดคำถามขึ้นในใจ เพราะเท่าที่นางเคยรู้มา แม้ว่ามนุษย์จะเกิดมาพร้อมสี่ธาตุหลักก็จริง แต่ในโลกยังมีธาตุอื่นๆ อีก อย่างธาตุมืด ธาตุแสง และยังมีอีกหลายธาตุหลัก ซึ่งธาตุเหล่านั้น จะเป็นพลังของเผ่าพันธุ์อื่น
ครึ่งวันของการเรียนในชั้นเรียน สร้างความสงสัยให้เยว่ลู่มากมายจนต้องรีบกลับไปบนชั้นหก เพื่อจะหาตำรามาอ่านเพิ่มเติม แต่พอมาถึง ก็เห็นอาจารย์ของนางยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม
และเหมือนว่าเขาจะใจจดใจจ่อจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางมา
เห็นอย่างนั้น เยว่ลู่เองก็ไม่อยากสนใจอีกฝ่าย รีบเข้าไปหลบมุมในชั้นหนังสือ แล้วหยิบตำราธาตุมาอ่านอย่างตั้งใจ
เช้าวันที่สี่ เยว่ลู่ยังหาทางไปจากที่นี่ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังจำต้องไปเข้าเรียนเหมือนเด็กทั่วไป เพราะอาจารย์ของนางไม่ได้ออกไปไหน
จนกระทั่งคาบแรกในตอนเช้าจบลง ก็มีคนมาตามให้เยว่ลู่ไปที่หอคอยบนเขา
เยว่ลู่เดินตามหลังคนผู้นั้นไป ในหัวก็ครุ่นคิดไปตลอดทาง แต่ไม่ได้คิดเรื่องที่ถูกตามตัว นางกำลังคิดหาทางจะไปจากที่นี่ เพราะเหลืออีกแค่สามวันองค์ชายสิบสี่จะออกเดินทาง
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าหอคอยสามชั้น เด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้าก็หันมาบอกนาง “ศิษย์น้อง เจ้าเข้าไปเองเถิด ท่านอาจารย์เหิงเยว่รออยู่”
เยว่ลู่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไป ที่ชั้นล่างของหอคอย เป็นห้องโถงกว้างเอาไว้รับแขก ตกแต่งเอาไว้อย่างประณีตสวยงาม มีกระทั่งสระเลี้ยงปลาอยู่ภายใน
ส่วนทางปีกซ้ายปูด้วยพรมสีแดง ที่นั่น เยว่ลู่มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก และทุกคนก็มองมาที่นางเป็นตาเดียว
“เข้ามาสิ” ผู้ที่เอ่ยปากบอกนาง คือบุรุษชุดขาวที่เยว่ลู่เห็นเมื่อหลายวันก่อน นางเดินเข้าไปหาคนเหล่านั้นตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง เยว่ลู่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตของใครบางคน
“เด็กคนนี้แหละ ที่ข้าเล่าให้พวกท่านฟัง” พอเยว่ลู่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ ก็ได้ยินอาจารย์ของนางเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา ทีแรก เยว่ลู่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่บทสนทนาถัดมาของคนทั้งสี่ ทำให้นางแทบอยากจะเอากริชแทงหลังของเหิงเยว่เสียเดี๋ยวนั้น
“ข้าพลาดพลั้งไปทำพันธสัญญากับนางโดยบังเอิญ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากแต่งงานกับน้องรุ่ยเซียน แต่มนุษย์เราไม่อาจผูกพันธสัญญาซ้ำซ้อนได้ ข้ารู้สึกเสียใจมากจริงๆ ต้องขออภัยท่านปรมาจารย์และน้องรุ่ยเซียนด้วย” เหิงเยว่กล่าวประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สีหน้าท่าทางแลดูเศร้าสร้อย ทำให้คนทั้งสามมองมาที่เยว่ลู่อีกครั้ง ก่อนที่หญิงสาวหนึ่งในนั้นจะหันไปถามชายชราที่นั่งด้านข้าง “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพอจะหาทางช่วยพี่เหิงเยว่ทำลายพันธสัญญาได้หรือไม่”
ชายชราครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบออกมา “จะว่ามี มันก็พอจะมีอยู่ แต่มันเป็นเพียงเรื่องที่ผู้คนร่ำลือ ยังไม่เคยมีใครคิดลองทำ”
“วิธีไหนหรือขอรับ ท่านปรมาจารย์” เหิงเย้ารีบเอ่ยถาม
“ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ธรรมชาติกำหนดให้ผูกพันธสัญญาได้เพียงครั้งเดียวก็จริง แต่ระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์อื่นสามารถผูกพันสัญญาได้หลายครั้ง ถ้าหากทำให้เด็กคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ พันธสัญญาที่เหิงเยว่ทำกับนางก็จะเปลี่ยนไป” ชายชราหยุดไปชั่วอึดใจ มองเยว่ลู่อย่างสำรวจ พร้อมกับกล่าวต่อ “ก็แค่ต้องทำให้นางกลายพันธุ์”
สิ้นเสียงของชายชรา ภายในห้องโถงก็เกิดความเงียบ ส่วนเยว่ลู่ที่ได้ยินได้ฟังทุกถ้อยคำ ได้แต่ยืนกำหมัดแน่น ไม่นึกว่าปรมาจารย์ที่ผู้คนยกย่องนับถือ จะมีความคิดต่ำช้าถึงเพียงนี้
“ถ้าหากเป็นวิธีนั้น ข้าคงยอมให้ทำไม่ได้ ข้ายอมไม่มีภรรยาไปตลอดชีวิต ดีกว่าเป็นคนต่ำช้า และถึงแม้จะทำสำเร็จ แล้วต่อไป ข้าจะมีหน้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยได้อย่างไร” เหิงเยว่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ท่าทางของเขาแม้จะยังมีร่องรอยความเศร้าสร้อย แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับฟังดูเด็ดขาด
“แล้วข้าล่ะ ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าหรือ” รุ่ยเซียนเอ่ยถาม
“อยากสิ อยากมากด้วย แต่เซียนเอ๋อ ข้าถามจริงๆ เถอะ เจ้าอยากได้สามีเป็นคนชั่วช้าจริงๆ น่ะหรือ”
คำถามของเหิงเยว่ ทำให้หญิงสาวอึ้งไป พอไม่รู้ว่าจะตอบเขากลับไปอย่างไร นางจึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากบิดา
ชายชราเห็นอย่างนั้นก็มองสบตากับเหิงเย้า ก่อนจะหันมากล่าวกับเหิงเยว่ “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่มีความคิดที่จะทำจริงๆ เจ้าไม่ต้องกังวล แค่รู้ว่าเจ้ารักเซียนเอ๋อ เท่านี้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องพันธสัญญา เอาไว้ค่อยหาทางออกกันทีหลัง”
บทสนทนาของทั้งสี่จบลงด้วยการที่ปรมาจารย์รุ่ยกวงยอมมาเป็นปรมาจารย์อาวุโสให้สถาบันเป็นการชั่วคราว ส่วนเรื่องของการแต่งงาน ยังต้องรอไปก่อน
พอเยว่ลู่ตามอาจารย์ของนางกลับมาถึงชั้นหก ก็รีบไปค้นหาตำราเกี่ยวกับพันธสัญญามาอ่าน จนกระทั่งนางได้รู้ว่า ที่แท้แล้วการแต่งงานก็ไม่จำเป็นต้องผูกพันธสัญญาเสมอไป การผูกพันธสัญญานั้น มักทำเฉพาะกับคู่รักที่คิดครองคู่กันจนสิ้นอายุขัยหรือคนสองคนที่รักกันมากเท่านั้น
เพราะการทำพันธสัญญาคือการผูกมัดที่นอกจากไม่อาจตัดขาดกันได้แล้ว ยังไม่อาจนอกใจไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางใจหรือทางกาย บุรุษส่วนใหญ่จึงไม่มีใครทำพันธสัญญากับสตรีที่แต่งงานด้วย
พออ่านมาถึงตรงนี้ เยว่ลู่ก็ถือตำราเล่มหนาไปยืนเบื้องหน้าชายหนุ่ม แล้วโยนมันลงบนตักของเขา “ท่านเจตนาใช่หรือไม่!?”
เหิงเยว่ไม่ได้ตอบในทันที แต่หยิบตำราบนตักขึ้นมาเปิดดูด้วยท่าทางเฉื่อยชา ก่อนจะเอ่ยเสียงเศร้า “ศิษย์รัก เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายอาจารย์เช่นนั้นสิ อาจารย์บอกแล้ว ว่ามันเป็นความผิดพลาด”
“ข้าไม่เชื่อ! ท่านไม่ต้องมาทำหน้าเศร้า คิดว่าข้าเป็นเด็กโง่งมมากนักหรือไร นึกว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าในห้องโถงนั่น ท่านเสแสร้ง!” ใบหน้าเล็กประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงด้วยความโกรธ ความคิดอยากสังหารคนตรงหน้ามีมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน เยว่ลู่ก็ยิ่งโมโหจนแผ่นอกกระเพื่อม
“ใจเย็น ศิษย์น้อย อย่าโมโหไปเลย ทำพันธสัญญากับข้าดีจะตาย ข้าทั้งหล่อเหลา ร่ำรวย แถมยังเก่งกาจ เอาไว้เจ้าโตเป็นสาวเมื่อไหร่ เจ้าต้องดีใจแน่”
“ดีใจกะผีน่ะสิ! คนพวกนั้นคิดจะจับข้าไปทำมนุษย์กลายพันธุ์ ท่านยังจะมีหน้ามาบอกให้ข้าดีใจเนี่ยนะ ท่านมันช่าง...” เยว่ลู่โกรธจนด่าไม่ออก รู้สึกเจ็บหน้าอกไปหมด ถ้าฆ่าเขาได้ นางคงทำไปแล้ว สุดท้าย นางก็ต้องเป็นฝ่ายเดินหนีไป เพราะไม่อาจทำอะไรคนผู้นี้ได้จริง
เยว่ลู่เดินไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ภายในชั้นหนังสือจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
อีกด้านหนึ่งของสถาบัน รุ่ยเซียนกำลังมองไปยังทิศทางของหอเจ็ดชั้นด้วยใบหน้าโกรธกรุ่น พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาด้านหลัง นางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจโดยไม่หันกลับไปมอง “ท่านพ่อ ท่านจะจัดการนังเด็กนั่นให้ข้าใช่หรือไม่”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบในทันที รอจนกระทั่งเดินมายืนข้างกายนาง แล้วถึงค่อยเอ่ยออกมา “แน่นอน พ่อสืบมาแล้ว เด็กคนนั้นเดิมทีเป็นแค่ทาสชั้นต่ำไร้พลัง ทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน นับว่าเป็นร่างทดลองที่เหมาะสมมาก”
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดพี่เหิงเยว่ถึงได้พลาดพลั้งไปผูกพันธสัญญากับทาสชั้นต่ำเช่นนั้นได้ นี่ถ้าหากนางเป็นหญิงสาว ข้าก็คงจะคิดว่าพี่เหิงเยว่มีใจให้นางไปแล้ว” รุ่ยเซียนบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดว่าตนเองต้องมาเสียเวลาที่จะได้ครองครู่กับคนรักเพราะเรื่องไร้สาระ นางก็ยิ่งไม่พอใจ จึงหันไปบอกบิดา “ท่านพ่อ ท่านช่วยเร่งลงมือหน่อยได้หรือไม่ ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“เซียนเอ๋อ ดูเจ้าสิ พอมีความรักเข้าหน่อย เจ้าก็กลายเป็นคนใจร้อนจนขาดสติ เหิงเยว่ไม่มีทางหนีเจ้าไปไหนได้แน่ หรือต่อให้เขาคิดนอกใจเจ้าจริงๆ พ่อก็มีวิธีจัดการ เจ้าอย่าได้กลัดกลุ้มไปนักเลย ส่วนเรื่องเด็กคนนั้น พ่อย่อมต้องเร่งมืออยู่แล้ว” ปรมาจารย์รุ่ยกวง มองไปยังทิศทางของหอคอยเจ็ดชั้นด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ความจริงครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ปรมาจารย์ผู้นี้คิดจับทาสมาทำมนุษย์กลายพันธุ์ และไม่ใช่แค่คิด แต่มีหลายร้อยชีวิตต้องตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของเขา
เพราะการจะทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ได้นั้น นอกจากจะต้องเปลี่ยนถ่ายเลือดแล้ว ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีพลังธาตุจะต้องทำลายเส้นวิญญาณดั้งเดิมเพื่อปลูกเส้นวิญญาณของเผ่าพันธุ์อื่นในร่าง ความเจ็บปวดทรมานนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง และที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครรอดตายจากการทดลองเลยสักคน ไม่ว่าจะเป็นทาสชั้นต่ำที่ไร้พลัง หรือมนุษย์ที่มีพลัง
เดิมทีปรมาจารย์รุ่ยกวงผู้นี้เคยอาศัยอยู่ในดินแดนภาคกลาง แต่เพราะมีข่าวลือเกี่ยวกับการทดลองมนุษย์กลายพันธุ์ เขาเลยต้องออกจากภาคกลางมาอยู่ดินแดนเหนือ ด้วยความที่เป็นถึงปรมาจารย์ชั้นสูง จึงไม่มีคนสงสัย
เยว่ลู่ตื่นมาในตอนบ่าย ก็เห็นถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะ แต่กลับไร้เงาของเหิงเยว่ และนั่นนับว่าเป็นเรื่องดี เด็กหญิงเลือกหยิบหมั่นโถวติดมือมา ก่อนจะรีบลงไปข้างล่าง สิ่งที่นางจะทำตอนนี้ คือหลบหนี
ระยะทางจากหอคอยเจ็ดชั้นไปจนถึงประตูทางเข้า กว่าที่เยว่ลู่จะเดินไปถึง ระฆังก็ดังขึ้นพอดี นางจึงใช้โอกาสนี้ เดินออกไปพร้อมเด็กคนอื่น
เมื่อพ้นจากประตูสถาบัน นางก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รีบก้าวขาอย่างรวดเร็วตรงไปยังบ้านของอินหยง
การปรากฏตัวของเยว่ลู่ สร้างความดีใจให้อินหยงและครอบครัวเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้พูดจาถามไถ่กัน เยว่ลู่รีบมอบผลึกธาตุให้ครอบครัวของอินหยงจำนวนหนึ่ง พร้อมกับขอร้องให้พวกเขาไปซื้อบ้านใหม่ที่อยู่ห่างไกลจากบ้านเช่าหลังนี้ นางเลือกที่จะบอกเหตุผลกับทุกคนไปตรงๆ ยังดีว่าพวกเขาเข้าใจ ยอมไปหาซื้อบ้านใหม่ภายในเย็นนั้นเลย
เมื่อไม่มีอะไรต้องห่วง เยว่ลู่ก็เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดเดิม ทิ้งชุดที่เหิงเยว่มอบให้ไว้ทางทิศใต้ของเมือง ส่วนตัวนางไปหาที่ซ่อนตัวทางทิศเหนือ โดยที่ไม่รู้เลยว่า กำลังถูกสะกดรอยตาม
ยังไม่ทันที่เยว่ลู่จะไปถึงทิศเหนือของเมือง อยู่ๆ นางก็หมดสติล้มลง
เพียงวันเดียวที่ได้รับคำสั่ง คนของปรมาจารย์รุ่ยกวงก็จับตัวเด็กน้อยได้อย่างง่ายดาย ร่างไร้สติถูกพาขึ้นรถม้าหายไปท่ามกลางแสงยามเย็น
คงไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าหอพักแขกระดับสูงในสถาบันเวทชื่อดังจะกลายเป็นห้องทดลองอันชั่วร้าย