บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 ปลุกเส้นวิญญาณ

เรื่องเสื้อผ้า เดิมทีเยว่ลู่ไม่ชอบใส่ชุดใหม่หรูหรา เพราะมันอาจเป็นที่เตะตาคนได้ง่าย แต่ด้วยความที่นางต้องลงไปสำรวจทางหนีทีไล่ นางจึงจำต้องแต่งตัวให้เหมือนศิษย์ในสถาบัน และเหมือนว่าอาจารย์ของนางจะรู้ขนาดตัวของนางดีเหลือเกิน ชุดที่เตรียมมาให้ ถึงได้ใส่พอดีตัว

ชุดที่คนผู้นั้นเตรียมให้ เป็นชุดกระโปรงผ้าพลิ้วสีขาวคาดดำ ลายตรงสองแถว ชายกระโปรงยาวเลยเข่า พร้อมเสื้อกันหนาวและรองเท้าบูตสีเดียวกันสูงถึงหน้าแข้ง แม้แต่ชุดซับในเขาก็ยังเตรียมมาให้พร้อม

พอแต่งตัวเสร็จ เยว่ลู่ก็คิดถึงบิดาขึ้นมา เมื่อก่อน บิดาก็มักจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นางเช่นนี้เหมือนกัน “ไม่รู้ว่าป่านนี้ ท่านพ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง” เยว่ลู่บ่นออกมาเบาๆ คว้าเสื้อคลุมของสถาบันมาใส่ ก่อนจะเดินลงบันไดไป

สถาบันซงเจี้ยนนับว่าใหญ่พอควร มีหอสูงอยู่หลายแห่ง สำหรับศิษย์ที่เข้ามาใหม่ จะนับเป็นนักเรียนในชั้นต้น คือเด็กที่มีอายุตั้งแต่ห้าปีไปจนถึงสิบสองปี พ้นจากสิบสองปีขึ้นไป จะกลายเป็นนักเรียนชั้นกลาง และต้องทำการเลือก ว่าจะเรียนสายเวทหรือสายดาบ เมื่ออายุครบสิบเจ็ดก็จะกลายเป็นนักเรียนชั้นสูง

สำหรับเยว่ลู่ นางไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะนางไม่ได้คิดจะเรียนอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะไปโรงอาหารก่อน หลังจากที่ลงจากหอคอยมา เยว่ลู่ก็มองสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งเห็นศิษย์ในชุดคลุมสีดำคาดฟ้าสองคน นางจึงเดินเข้าไปถาม

“ไม่ทราบว่าโรงอาหารไปทางไหน”

เด็กหญิงทั้งสองดูเหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ชี้ทางให้ “เดินไปทางหอปฐพี เลยจากหอไปราวห้าสิบก้าว จะมีอาคารหลังคาสีเหลือง

เยว่ลู่มองตามนิ้วของอีกฝ่ายไปยังหอคอยที่ว่า จากนั้นก็หันมาขอบคุณคนทั้งสอง “ขอบคุณมาก”

“ไม่เป็นไร” ทั้งสองยิ้มตอบ

การจะหาโรงอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่นานเยว่ลู่ก็มาถึง โรงอาหารแห่งนี้กว้างขวางไม่น้อย มีถาดอาหารมากมายวางอยู่ ซึ่งดูแล้วน่าจะให้ศิษย์ทุกคนบริการตัวเอง เยว่ลู่ไม่รอช้า นางรีบเดินไปหยิบช้อน ชาม ตะเกียบ แล้วเลือกตักอาหารหน้าตาน่าทานมาหลายอย่าง ด้วยความที่โต๊ะนั่งมีเหลือเฟือ นางจึงเลือกโต๊ะที่อยู่ห่างไกลผู้คน

เสียงพูดคุยจอแจเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มมีเด็กๆ ทยอยกันเข้ามา และเรื่องที่ทุกคนพูดถึง ก็มีอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรกคือเรื่องของมังกรอัคคี และเรื่องที่สองคือเรื่องที่อาจารย์เหิงเยว่กำลังจะแต่งงาน

“นี่พวกเจ้า ถ้าอาจารย์เหิงเยว่แต่งงานกับคุณหนูรุ่ยเซียน ท่านปรมาจารย์รุ่ยกวงจะยอมมาเป็นอาจารย์อาวุโสที่สถาบันของเราใช่หรือไม่”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าได้ข่าวมาว่าอีกไม่กี่วันท่านปรมาจารย์พร้อมบุตรสาวจะเดินทางมาที่นี่”

“โอ้ ดียิ่งนัก ข้าอยากเห็นปรมาจารย์ขั้นสูงมานานแล้ว”

“ใช่ๆ ข้าอยากให้ทั้งสองแต่งงานกันไวๆ”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนไม่ได้ทำให้การเจริญอาหารของเยว่ลู่ลดน้อยลง นางยังนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งอิ่ม เอาจานไปเก็บแล้วเดินออกจากโรงอาหาร การทำตัวกลมกลืนกับผู้คนก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเยว่ลู่ เพราะนางคือนักต้มตุ๋น ในยามที่นางเดินออกไป จึงไม่เป็นที่เตะตาผู้คน เรียกได้ว่าไม่มีใครสนใจนางเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเติมพลังจนเต็มแล้ว เด็กน้อยก็เดินสำรวจไปทั่วสถาบัน จนรู้จักสถานที่คร่าวๆ กระทั่งระฆังดังขึ้น บรรดาศิษย์เริ่มทยอยเดินตรงไปยังอาคารต่างๆ แต่เยว่ลู่เลือกจะเดินกลับไปยังหอคอยเจ็ดชั้น แทนที่จะไปเข้าเรียนตามที่เหิงเยว่บอก

นางกลับมาอ่านตำราต่อ รอจนระฆังพักเที่ยงดัง ก็ลงไปกินข้าว แล้วก็กลับขึ้นมา หนึ่งวันในสถาบันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เยว่ลู่ได้ความรู้จากตำราบนหอคอยชั้นหกมากมาย

นางถึงกับลองปลุกพลังธาตุภายในร่างด้วยตัวเอง ในตอนที่เส้นวิญญาณกำลังจะก่อเป็นรูป เจ้าหนอนอ้วนที่หลับไปหลายวันก็ตื่นมาพอดี มิหนำซ้ำมันยังโวยวายจนเยว่ลู่เสียสมาธิ

“ไอ้หยา อาหารของข้าไม่มีแล้ว หิวมากเลย นี่ๆ เจ้ายังมีผลึกอัคคีเหลืออีกไหม” เจ้าตัวดีปีนขึ้นมาบนไหล่ ตะโกนโวยวายอยู่ข้างหู จนเยว่ลู่ต้องลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็ดีดมันกระเด็นไปไกล

“เจ้าหัดทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง มิเช่นนั้นข้าจะจับเจ้าย่างกิน!” เยว่ลู่หันไปถลึงตาใส่มัน ก่อนจะหยิบตำรามานั่งอ่านต่อ

หนอนอ้วนค่อยๆ กระดื๊บๆ เข้ามาใกล้ ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำ พอเห็นว่านางไม่มองซักที มันก็ค่อยๆ กระดื๊บขึ้นมาบนหนังสือที่นางอ่าน แล้วมองมาที่นางด้วยท่าทางน่าสงสาร จนเยว่ลู่ต้องถอนหายใจออกมา รู้ทั้งรู้ว่ามันเจ้าเล่ห์ แต่นางก็ยังยอมโยนผลึกอัคคีไปให้มัน

ไม่รู้ว่าพักนี้นางซวยอะไรนักหนา ถึงได้มาเจอแต่สิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ทั้งสัตว์ ทั้งคน เยว่ลู่คิดอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะนอนคว่ำหน้าอ่านตำราต่อ

กระทั่งตกค่ำ เยว่ลู่ไม่เห็นอาจารย์ผู้นั้นของนางกลับมา นางจึงลองปลุกพลังอีกครั้ง และครั้งนี้ นางสั่งให้เจ้าหนอนอ้วนคอยดูต้นทาง และห้ามมันทำเสียงดังรบกวนเป็นอันขาด มันก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะต้องการเอาใจนางเพื่อแลกกับอาหาร

ภายในมิติของจิตวิญญาณ เยว่ลู่ค่อยๆ ปลุกเส้นวิญญาณตามวิธีที่หนังสือบอก เส้นวิญญาณเหล่านี้ ก็เปรียบได้กับเส้นประสาทในสมองของมนุษย์ เพียงแต่ สมองมีไว้สั่งการร่างกาย แต่เส้นวิญญาณมีไว้สั่งการพลังธาตุ

ไม่ว่าจะเส้นสมองหรือเส้นวิญญาณต่างมีเป็นล้านๆ เส้นจนนับไม่ถ้วน แล้วแต่ว่าร่างกายของใครจะสามารถนำมาใช้ได้มากได้น้อยเท่านั้น การปลุกเส้นวิญญาณได้มาก ก็ยิ่งมีพลังมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งกาจ เพราะถึงมีพลังมาก แต่ถ้าเส้นประสาทในสมองเติบโตไม่ทัน ร่างกายก็มิอาจนำพลังมาใช้ได้ ซึ่งเยว่ลู่ค้นพบจุดนี้ด้วยตัวเอง ที่นางทำ จึงแตกต่างจากคนอื่น นางเลือกที่จะปลุกเส้นประสาทในสมองไปพร้อมกับเส้นวิญญาณ

วิธีนี้ จะทำให้การปลุกพลังเป็นไปได้ช้ามาก แต่ถ้าทำสำเร็จ ก็จะทำให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป

สำหรับเยว่ลู่ที่มีเส้นประสาทมากกว่าคนปกติหลายเท่า จึงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ เพียงคืนเดียวนางก็ปลุกเส้นวิญญาณได้หนึ่งเส้นแล้ว ตอนที่หนอนอ้วนสัมผัสกับพลังในร่างของนาง มันถึงกับทำตาโต มันมาคิดดู บางทีการเป็นทาสของเด็กผู้นี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

เยว่ลู่ลืมตาขึ้นในตอนเช้า ดวงตาของนางมีแต่ความสดใสไร้ความง่วงงุน หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็เอาผลึกอัคคีโยนเข้าไปในถุงข้างเอวให้เจ้าหนอนอ้วน ก่อนจะลงจากหอคอย

เด็กน้อยยังทำตัวเช่นเดิม คือไปทานข้าวในโรงอาหาร แล้วเดินสำรวจสถาบัน จนกระทั่งเดินผ่านกลุ่มศิษย์ชั้นกลางกลุ่มหนึ่ง เด็กสาวทั้งสามดูเหมือนจะเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนัก ความจริงเยว่ลู่จะไม่สนใจเลย ถ้าหนึ่งในนั้นไม่ได้ชื่ออินอิง

“อินอิง เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง”

“ข่าวอันใดหรือ”

“ก็ข่าวลือที่ว่าอาจารย์เหิงเยว่จะแต่งงานกับบุตรสาวปรมาจารย์รุ่ยกวง”

เยว่ลู่หันไปมองเด็กสาวผู้นั้นทันทีที่ได้ยินนามอันคุ้นเคย ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว คนผู้นี้คงจะเป็นพี่สาวของอินหยงไม่ผิดแน่ เพราะหน้าตาเหมือนกันถึงเจ็ดส่วน เพียงแต่อินหยงมีผิวคล้ำและแห้งกร้านอย่างทาสทั่วไป ผิดกับอินอิงที่มีผิวพรรณขาวผุดผ่องชวนมอง ความจริงเยว่ลู่เป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ความจริงใจของอินหยงและครอบครัว ทำให้นางไม่อาจมองผ่านเรื่องนี้ไปได้ เยว่ลู่จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กสาว

“เจ้าเป็นพี่สาวของอินหยงใช่หรือไม่?”

“บังอาจ! นี่เจ้ากล้าเสียมารยาทกับศิษย์พี่เชียวหรือ!” เด็กสาวที่ถูกถามยังไม่ทันได้ตอบ คนที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตะคอกเยว่ลู่เสียงดัง จนศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นพากันหันมอง แต่เยว่ลู่ยังกล่าวต่อโดยไม่สนใจคนรอบข้าง

“ข้าเคยพักอยู่บ้านของครอบครัวเจ้า และยังเคยมาเป็นเพื่อนน้องสาวเจ้าเอาข้าวมาฝากให้ แต่อินหยงกลับถูกคนทำร้าย เจ้ารู้เรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่”

ใบหน้าของอินอิงฉายความไม่พอใจออกมาทันทีที่ได้ยิน มองเด็กน้อยตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าไม่มีน้องสาว แล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาใช้วาจาเช่นนี้กับศิษย์พี่อย่างข้า”

“อ้อ แสดงว่าเจ้ารู้” เยว่ลู่เอ่ยได้แค่นั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เพราะพี่สาวของอินหยงผู้นี้น่ารังเกียจเกินไป นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย จึงคิดเดินผละไป แต่เหมือนว่าเด็กสาวกลุ่มนั้นจะไม่ยอม หนึ่งในนั้น เดินเข้ามาขวาง “เดี๋ยวก่อน! ที่เจ้าพูด หมายความว่าไง”

“ไม่มีความหมายอะไร ข้าขอตัว” เยว่ลู่เอ่ยจบก็เดินเลี่ยงไป แต่ยังถูกขวางไว้อยู่ดี ยังดีว่าระฆังดังขึ้นเสียก่อน เด็กสาวผู้นั้นถึงได้ยอมปล่อยนาง

ยิ่งเห็นอินอิงเป็นคนเช่นนี้ เยว่ลู่ก็ยิ่งนึกสงสารอินหยงมากขึ้นไปอีก ถ้าให้เดาอินอิงคงไม่เพียงแค่รู้เรื่องที่อินหยงถูกทำร้าย บางทีอาจจะเป็นคนสั่งให้คนพวกนั้นทำ

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัว เยว่ลู่ไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย อีกอย่าง นางก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน

ความจริงลูกศิษย์ที่เข้ามาเรียน ถ้าหากครอบครัวอยู่ไม่ไกล พวกเขาก็ไปเช้ากลับเย็น ส่วนที่ครอบครัวอยู่ไกลถึงจะพักที่หอของสถาบัน นั่นหมายความว่า ถ้าเยว่ลู่อยากออกไป นางก็สามารถไปได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เยว่ลู่จึงมีแผนที่จะจากไปในวันพรุ่งนี้

วันที่สองของการเป็นศิษย์สถาบันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเยว่ลู่คิดว่ามันเร็วเกินไปด้วยซ้ำ เพราะนางยังอ่านตำราได้ไม่ครบเลย พอตกกลางคืน นางก็นั่งสมาธิปลุกเส้นวิญญาณเหมือนเคย โดยมีเจ้าหนอนอ้วนคอยดูต้นทาง จนกระทั่งเช้า เยว่ลู่ก็มีเส้นวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้น แต่นั่นยังนับว่าห่างไกลกับเด็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่มาก เพราะพลังของนางในตอนนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กห้าขวบ

วันนี้เยว่ลู่ลงไปทานข้าวแล้วกลับขึ้นมาเหมือนทุกวัน เพียงแต่นางไม่ได้นั่งอ่านหนังสือเหมือนอย่างเคย แต่กลับเริ่มทยอยขนของ

กริชที่วางอยู่บนชั้นถูกโยนเข้ามาไว้ในถุงมิติที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าลับเป็นชิ้นแรก จากนั้นก็เป็นตำราเกี่ยวกับธาตุอัคคี และยังมีเคล็ดวิชาเบื้องต้นอีกสองสามเล่ม ถึงแม้จะอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน แต่เยว่ลู่ก็สำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างไม่มีตกหล่น รู้กระทั่งห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ ในนั้นมีทั้งอาวุธล้ำค่า และผลึกธาตุมากมาย เสียดายที่เยว่ลู่มีถุงมิติมาเพียงสี่ใบ นางจึงขนไปได้ไม่หมด และที่ขาดไม่ได้คือไข่มุกราตรี

เมื่อเก็บของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว เยว่ลู่ก็แค่รอให้ระฆังเลิกเรียนดัง เพียงเท่านี้นางก็จะได้หนีไปพร้อมสมบัติ แต่ความฝันของเด็กน้อยก็ต้องพังทลายลง เพราะอาจารย์ที่หายไปหลายวัน อยู่ๆ ก็ปรากฏตัว

รอยยิ้มของเยว่ลู่เลือนหายไปทันทีที่เห็นหน้าชายหนุ่ม ผิดกับเหิงเยว่ ที่ทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “เห? เป็นอะไรไปศิษย์รัก เหตุใดถึงทำหน้าอย่างนั้นเล่า ดีใจล่ะสิที่เห็นอาจารย์กลับมา”

ดีใจบิดาเจ้าสิ! เยว่ลู่ถลึงตาใส่พร้อมกับสบถด่าในใจ นึกอยากจะเข้าไปกระโดดข่วนใบหน้าหล่อเหลานั่นขึ้นมาตงิดๆ แต่เหิงเยว่ไม่เพียงไม่สนใบหน้าบึ้งตึงของนาง ยังหันมาสั่งนางด้วยท่าทางอารมณ์ดี

“ศิษย์น้อย มามะ มาช่วยถูหลังให้อาจารย์หน่อย” เอ่ยจบ เขาก็เดินหายเข้าไปในห้องโดยไม่รอให้นางได้ปฏิเสธ

เยว่ลู่ต้องยืนปรับอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ ถึงได้จำใจเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป

และเหมือนว่าวันนี้อาจารย์ของนางจะช่างสงสัยมากกว่าปกติ ในตอนที่เยว่ลู่กำลังถูหลังให้เขาอยู่นั้น อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “ศิษย์รัก เจ้าได้เข้าไปเรียนในชั้นเรียนตามที่อาจารย์บอกหรือเปล่า”

ผ้าในมือของเยว่ลู่ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเขาไปตามตรง “ไม่ได้เข้า”

“หืม? เพราะเหตุใด”

“ข้าเป็นเพียงแค่ทาสชั้นต่ำ เรียนไปก็ไร้ประโยชน์”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าปลุกเส้นวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ” ประโยคนี้ของเหิงเยว่ ทำให้ผ้าที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังหยุดลง ร่างเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เวลานี้ร่างกายของเยว่ลู่เครียดขึง หรี่ตามองแผ่นหลังกว้างพร้อมกับกระชับด้ามกริชที่ห้อยอยู่ข้างเอว

“เป็นอะไรไป เหตุใดถึงไม่ถูต่อล่ะ อาจารย์กำลังสบายเลย” เหิงเยว่หันกลับมามองเบื้องหลัง พอเห็นไอสังหารในแววตาของลูกศิษย์ เขาก็หัวเราะในลำคอ “หึหึ ศิษย์น้อย นี่เจ้าคงกำลังคิดมิดีมิร้ายกับอาจารย์อยู่ล่ะสิท่า ไม่ได้ๆ ตอนนี้เจ้ายังเด็ก เอาไว้โตเป็นสาวก่อน อาจารย์ไม่รีบ”

แต่เยว่ลู่ไม่สนใจวาจาหยอกล้อของเขา นางจ้องเขาเขม็ง เอ่ยถามเขาเสียงต่ำ “ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เรื่องที่เจ้าคิดมิดีมิร้ายกับอาจารย์น่ะหรือ รู้ตั้งแต่เห็นเจ้าครั้งแรกแล้ว”

“นี่ท่าน!”

“ไม่เอาน่า เจ้าอย่าได้ทำท่าทางเช่นนั้น อาจารย์กลัวนะ” เหิงเยว่แสร้งทำเสียงหวาดกลัว แต่แววตาของเขากับตรึงนางไม่ให้ขยับ พริบตาเดียวที่ร่างสูงลุกขึ้นยืน เสื้อคลุมสีดำก็ลอยเข้ามาคลุมร่างเปลือยของเขาอย่างรวดเร็ว

เหิงเยว่เอียงคอมองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาร่างเล็กทีละก้าว จนกระทั่งห่างเพียงก้าวเดียว เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งให้ใบหน้าเสมอกับนาง ก่อนจะมองไปทั่วร่างเล็กอย่างสำรวจ “ดูเหมือนว่าถุงมิติของเจ้าจะมีไม่พอนะศิษย์รัก”

ไอสังหารในแววตาของเยว่ลู่เข้มข้นขึ้นทันทีที่ได้ยิน ด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กไม่ให้ไว้ใจใคร เยว่ลู่จึงเริ่มเห็นบุรุษตรงหน้าเป็นศัตรู เพราะเขารู้เรื่องของนางมากเกินไป

ทั้งสองยืนจ้องตากันอยู่นาน กระทั่งเหิงเยว่คีบนิ้วลงบนปลายจมูกของเด็กหญิงอย่างหยอกล้อ บรรยากาศอึมครึมรอบกายของเยว่ของลู่ถึงได้จางไป แต่นางก็ยังไม่ได้เลิกคิดที่จะสังหารเขา

เยว่ลู่ถลึงตาใส่คนโตกว่า พร้อมกับยกมือลูบปลายจมูก นางยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เหิงเยว่ก็เดินผละไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก่อนที่ร่างสูงจะเดินพ้นประตูห้องอาบน้ำ เขาตะโกนสั่งนางโดยไม่หันกลับมามอง “ศิษย์รัก เจ้าอยากได้อะไรก็เอาไป แต่ห้ามเจ้าหนีไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้น อย่าหาว่าอาจารย์ไม่เตือน”

เยว่ลู่ได้แต่ขมวดคิ้วมองประตูอย่างครุ่นคิด ถึงนางจะฉลาดหลักแหลมแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจหาทางรับมือคนผู้นี้ได้เลยจริงๆ เขาน่ากลัวเกินไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel