บทย่อ
เปรี้ยง!!! “อุแว๊ๆ ” ท้องฟ้าคำรามลั่น พร้อมกับเสียงร้องจ้าของทารกแรกคลอด ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงทารกน้อยก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง “หายนะแล้ว!!!” หญิงชราที่กำลังทำคลอดตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าด้วยความตื่นตระหนก ไม่นาน สี่เงาร่างในชุดเสื้อฟางกันฝนก็พากันออกจากหมู่บ้านในหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว สิบปีผ่านไป ฤดูหนาว ในดินแดนเหนือ ท่ามกลางพายุหิมะ รถเลื่อนกำลังขับเคลื่อนไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างรวดเร็วแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หมียักษ์สีขาวทะยานร่างตรงไปยังประตูเมืองที่กำลังจะปิด ร่างกายอันใหญ่โตของมันกระโดดลอยตัวขึ้นสูงพุ่งเข้าไปบนบานประตูเหล็ก ลากรถเลื่อนผ่านเข้าไป ก่อนที่ประตูจะปิดลงแค่เสี้ยวลมหายใจ ทหารยามบนป้อมพากันแตกตื่น รีบง้างคันธนูเล็งไปยังชายสวมชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนเลื่อนไม้ “เจ้าเป็นใคร!?” ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะเหล็ก กระชับดาบในมือ ตะคอกถามเสียงดัง “ใจเย็น นายกองเถียร ข้าเอง” เสียงทุ้มนุ่มแม้จะดังขึ้นแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เหล่าทหารได้ยินชัดเจน ทุกคนพากันลดอาวุธในมือลง ก่อนจะค้อมกายคารวะ “องค์ชายสิบสี่” ไม่รอให้พวกเขาทำความเคารพจนเสร็จ หมียักษ์ก็ลากรถเลื่อน ไปตามเส้นทาง มุ่งสู่พระราชวัง ในยุคที่มิติยังไม่ถูกกางกั้น มนุษย์ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็น ปีศาจ ภูต อสูร และอีกหลายเผ่าพันธุ์ เพื่อความอยู่รอด หลายเผ่าพันธุ์ได้พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือหนึ่งในนั้น ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลก จะต้องมีธาตุประจำกายอยู่สี่ธาตุหลักที่ธรรมชาติมอบให้ คือ ปฐพี วารี วายุ และอัคคี แต่ก็ยังมีอีกหลายชีวิตที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง ไม่ได้มอบพลังธาตุติดตัวมาให้ กลายเป็นชนชั้นล่างสุด ที่ถูกเรียกว่าทาสชั้นต่ำ “นี่ องค์ชายสิบสี่กลับมาแล้ว ไปแอบดูกัน” หญิงสาวหนึ่งในทาสรับใช้ กระซิบกระซาบบอกสหายที่กำลังกวาดหิมะอยู่หน้าลานปราสาทด้วยท่าทางตื่นเต้น สตรีทั้งสี่พากันทิ้งไม้กวาด รีบวิ่งออกไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก วัยราวสิบปี กวาดลานอยู่เพียงผู้เดียว เฉียนเยว่ลู่ได้แต่ขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังของคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย เพราะความที่พึ่งเข้าวังมาใหม่ นางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่เพียงครู่เดียวความสงสัยก็ถูกขจัดออกไปจากหัว เด็กน้อยหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น ด้ามไม้กวาดที่สูงเลยศีรษะเล็กไปมากโข ขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานหิมะที่เคยมีอยู่เต็มลานก็มลายหายไป เหลือเพียงพื้นอิฐเปียกชื้น ตุ้บ... แต่แล้วอยู่ ๆ กองหิมะที่นางอุตส่าห์กวาดไปกองรวมกันไว้ ก็แตกกระจาย มิหนำซ้ำยังสาดกระเซ็นกลับมาเปรอะเปื้อนเต็มพื้น เยว่ลู่รีบหันขวับไปมองตัวต้นเหตุด้วยความไม่พอใจ หมีหิมะตัวโตเชิดหัวอย่างเย่อหยิ่ง ก้าวเท้าออกจากกองหิมะโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมนุษย์ตัวเล็กที่ยืนอยู่ ด้วยขนาดและพลังของมัน แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพากันหวาดกลัว มันจึงไม่จำเป็นต้องมองให้เสียเวลา ในความคิดของมัน คืออีกไม่นานเจ้ามดปลวกตรงหน้าจะต้องกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ามนุษย์กลับวิ่งเข้ามายืนขวางหน้า พร้อมกับชี้ด้ามไม้กวาดใส่หน้ามัน “หยุดนะ! เจ้าหมีโง่ ทำลายกองหิมะของข้าแล้วคิดจะหนีหรือ!” เสียงเล็กแหลมที่ฟังดูก็รู้ว่ายังเป็นเด็กตะคอกเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ฝ่าเท้าใหญ่โตเกือบเท่าตัวของนางหยุดชะงักทันที ดวงตาสีแดงเฉียบคมจับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กเบื้องหน้า เจ้าของร่างยักษ์กำลังชั่งใจว่ามันสมควรจะขบหัวเด็กผู้นี้ แล้วกลืนกินเป็นอาหารดีหรือไม่ “ช่วยข้าเก็บกวาดเดี๋ยวนี้เลย มิเช่นนั้น เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ไปจากที่นี่” *_* นี่มันกำลังถูกข่มขู่? เสวี่ยสงลองหยั่งเชิงด้วยการยกฝ่าเท้าขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะก้าวเดิน เพี้ย! *_* แต่กลับถูกด้ามไม้กวาดตีลงมาบนหลังเท้าของมัน ท่าทางว่าเจ้ามนุษย์หน้าโง่จะยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ในหัวของหมียักษ์คิดเช่นนั้น แต่การกระทำกลับแตกต่างออกไป โดยที่แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ตัว ฝ่าเท้าใหญ่โตเดี๋ยวยกเดี๋ยววางสลับกันไปมา เพื่อหลบด้ามไม้กวาด หนึ่งหมีหนึ่งคนราวกับเล่นไล่จับ เมื่อตีไม่โดนเสียที เด็กหญิงก็เริ่มโมโห “เจ้า! อยู่นิ่งๆ” เยว่ลู่ยืนชี้ไม้กวาดไปยังปลายจมูกของหมียักษ์ด้วยใบหน้างอง้ำ พอมันเผลอหยุดนิ่งเพื่อมองดูนาง ด้ามไม้กวาดในมือก็ตีลงไปที่หลังเท้าของมันทันที “ฮะๆ” พอเอาชนะผู้อื่นได้ เด็กหญิงก็หัวเราะร่า การเสียรู้ครั้งนี้ทำให้เสวี่ยสงหรี่ตามองมนุษย์ตัวเล็กจ้อยเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด เพียงแค่มันยกเท้าเหยียบลงไป เจ้าตัวโง่งมผู้นี้ก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อทันที แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด มันจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น กระทั่งได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายดังขึ้นในหัว หมียักษ์จึงจำต้องตัดใจจากเจ้าตัวดี เพื่อไปหาผู้เป็นนาย การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กว่าที่เยว่ลู่จะทันรู้ตัว ภายในลานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว ในท้องพระโรงใหญ่ ผู้คนกว่าสี่สิบชีวิต มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มีเพียงชายชราผมเผ้าขาวโพลนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มรกตสูงเท่าบันไดสิบห้าขั้นเท่านั้นที่ยังมีใบหน้าสงบนิ่ง ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปยังประตูทางเข้าอย่างรอคอย จนกระทั่งร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำสาวเท้าผ่านประตูเข้ามา หมวกคลุมถูกปัดออกจากศีรษะให้ตกลงไปห้อยอยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มวัยยี่สิบ ฝ่าเท้าก้าวอย่างมั่นคงไปบนพื้นหินอ่อนมันวาว ผ่านหน้าขุนนางที่ยืนอยู่สองฟากข้างอย่างช้าๆ กระทั่งหยุดห่างจากบัลลังก์ไปสิบก้าว เสวี่ยตงฟ่าน คุกเข่าข้างหนึ่ง ยกกำปั้นแตะที่อก ก้มหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงดังฟังชัด “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “ลุกขึ้นเถิด” “ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสิบสี่ไม่รอช้า หลังจากที่ลุกขึ้นยืน ก็กราบทูลเรื่องสำคัญทันที “ตามที่กระหม่อมได้ส่งสารรายงานมา ว่าพบอสูรธาตุอัคคีอาละวาดในเมืองเทียมฟ้า เวลานี้กระหม่อมทราบแล้วว่าอสูรตนนั้นคือเผ่าพันธุ์ใด มันคือมังกรอัคคี พ่ะย่ะค่ะ” “อ่า” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่องค์ชายสิบสี่รายงานจบ ไม่รอให้ทุกคนได้ทันหายตกใจ เสวี่ยตงฟ่านก็เรียกกล่องเหล็กออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเปิดฝาให้ทุกคนได้ดู และทันทีที่ฝาถูกเปิดออก ความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว “นี่คือเกล็ดของมันพ่ะย่ะค่ะ” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นเกล็ดในกล่อง ก็รู้ได้ว่ามันเป็นของจริง นี่แค่เกล็ดขนาดเท่าฝ่ามือยังมีพลังถึงขนาดนี้ แล้วเจ้าของมัน จะมีพลังขนาดไหน บรรดาขุนนางต่างพากันหันไปมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป็นตาเดียว เพื่อรอการตัดสินพระทัย องครักษ์ที่ยืนด้านซ้ายของบัลลังก์เดินลงมารับกล่องจากองค์ชายสิบสี่เพื่อนำไปถวายแด่องค์จักรพรรดิ ให้ทรงทอดพระเนตร ภายใต้แพขนตาสีขาวโพลน ดวงตาสีเทาส่องประกายเจิดจ้า พินิจเกล็ดสีแดงส้มในกล่องอย่างละเอียด “อสูรระดับตำนาน” จักรพรรดิแดนเหนือรับสั่งอย่างเนิบช้า ไร้ท่าทีตื่นตระหนก ซึ่งผิดกับขุนนางด้านล่างที่พากันแตกตื่น สามเดือนก่อนหน้านี้ เมืองเทียมฟ้าได้ส่งสารขอความช่วยเหลือมาที่เมืองหลวง เรื่องสัตว์อสูรออกอาละวาดจนทำให้ภูเขาน้ำแข็งบางส่วนเกิดการละลาย ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากมันละลายจนหมด ทั้งแดนเหนือคงกลายเป็นทะเลสาบ องค์ชายสิบสี่จึงถูกส่งไปสืบสาวราวเรื่องและจัดการกับอสูรตนนั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ องค์ชายกลับส่งสารกลับมา ว่ามิอาจต่อกรกับอสูรตนนั้นได้ และเล่าถึงหายนะที่สัตว์อสูรตนนั้นได้สร้างเอาไว้ แค่จากคำบรรยายในสารก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาขุนนางมากพอแล้ว ยิ่งมารู้ว่าสัตว์อสูรตนนั้นคือมังกรอัคคีระดับตำนาน จะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาจากแถว ยกกำปั้นชิดอกค้อมศีรษะเล็กน้อย ทูลถามด้วยความร้อนรน “ฝะ..ฝ่าบาท ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ หากปล่อยเอาไว้ ดินแดนเหนือคงไม่เหลือซากเป็นแน่ พ่ะย่ะค่ะ” องค์จักรพรรดิกวาดพระเนตรไปรอบท้องพระโรง ก่อนจะรับสั่งเสียงดังกังวาน “องค์ชายสิบสี่รับบัญชา” “พ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยตงฟ่านยกกำปั้นชิดอก “จงจัดทัพใหญ่ไปปราบมังกรไฟตนนี้ให้สิ้นซาก!” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วยาม กองกำลังเรือนแสนก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูเมืองจนมืดฟ้ามัวดิน บนกำแพงเมือง ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมหนังสัตว์กันหนาวยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังทหารนับแสนด้วยแววตาสงบนิ่ง เยื้องไปเบื้องหลังครึ่งก้าวมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กยืนอยู่ ดาบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังของคนผู้นี้ส่องประกายเจิดจ้า ทั้งสองคล้ายกำลังรอการมาถึงของใครบางคน “งานนี้พวกเราคงต้องใช้ทาสเป็นตัวล่อ” องค์ชายสิบสี่กล่าวโดยไม่ได้หันกลับไปมองคนเบื้องหลัง “จำนวนเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ” “สักพันคน” “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้” ดินแดนเหนือ อาณาเขตที่แสงอาทิตย์ส่องมาไม่ทั่วถึง บรรยากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยหิมะพร่างพรายอยู่ตลอด เวลานี้ก็เช่นกัน เสวี่ยตงฟ่าน หงายฝ่ามือขึ้นรองรับเกล็ดหิมะที่กำลังจะตกลงมา ท่าทางของชายหนุ่มสงบนิ่งไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าองค์ชายสิบสี่จะไม่ใช่รัชทายาท แต่กลับเป็นโอรสที่มีนิสัยใจคอคล้ายองค์จักรพรรดิมากที่สุดในกระบวนองค์ชายทั้งหมด และที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นอาจารย์เวทย์ระดับสูง ศึกครั้งนี้คือศึกชี้ชะตาของแดนเหนือ การต่อสู้กับอสูรระดับตำนานหาใช่เรื่องง่าย หากทำไม่สำเร็จ ดินแดนที่ถูกขนานนามว่าทุ่งหญ้าขาวแห่งนี้ คงได้จบสิ้น หน้าประตูพระราชวัง ทาสที่พึ่งเลิกงานกำลังทยอยกลับบ้าน มนุษย์เหล่านี้มีทั้งชายและหญิง เป็นชนชั้นระดับล่างสุดที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง เมื่อไม่มีธาตุติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จึงต้องใช้ชีวิตอย่างทาส งานในพระราชวังอย่างงานเบาจะมีทาสที่ถูกฝึกอบรมดูแลอยู่แล้ว ส่วนงานหนักๆ จะจ้างทาสจากข้างนอกมาทำ อย่างกวาดหิมะ ผ่าฟืน คนเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกพระราชวังส่งเดช ทุกคนถูกจัดให้เข้าออกตามเวลา โดยมีทาสหัวหน้างานเป็นคนดูแล เยว่ลู่คือหนึ่งในนั้น เด็กหญิงหย่อนก้อนผลึกสีม่วงขุ่นระดับต่ำสุดใส่ไว้ในถุงข้างเอว นั่นคือค่าแรงของนางวันนี้ พอก้าวพ้นประตู สองขาเล็กก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว จนเสื้อคลุมกันหนาวที่มีรอยปะชุนปลิวไสว ร่างเล็กวิ่งฝ่าหิมะที่เริ่มจะตกหนักขึ้น เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามตรอกซอกซอย จนกระทั่งถึงบ้านอิฐที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ นางรีบผลักประตูเข้าไปเพื่อหลบเลี่ยงความหนาว เสื้อคลุมเปียกชื้นถูกถอดออกจากร่างพาดไว้บนโต๊ะ ก่อนที่เด็กหญิงจะสาวเท้าไปยังเตาผิง “กลับมา แทนที่จะทักทายบิดาก่อน แต่เจ้ากลับเห็นเตาผิงสำคัญกว่าข้า ช่างน่าน้อยใจนัก” น้ำเสียงตัดพ้อดังขึ้นเบื้องหลัง แต่เยว่ลู่ไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าของเสียงกำลังเสแสร้ง เด็กหญิงจึงเลือกเอ่ยเรื่องสำคัญแทน “ข้าวาดแผนที่ในพระราชวังเสร็จแล้ว” ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มวัยราวยี่สิบแปด รีบหยิบเสื้อคลุมที่เด็กน้อยถอดพาดไว้บนโต๊ะมากางดู ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง กล่าวชมไม่ขาดปาก “ฮ่าๆ เก่งมาก เยว่เอ๋อบ้านเราเก่งจริงๆ” “ไม่ต้องมาชมเลย ท่านอย่าได้ลืมส่วนแบ่งของข้า” “ไม่ลืมๆ บิดาผู้นี้รับรองด้วยเกียรติอันสูงส่ง” วาจากลิ้งกลอกของบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา ทำให้เยว่ลู่ ต้องกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้ หันกลับมาแค่นเสียงใส่ “เฮอะ! อย่างท่านไปมีเกียรติตั้งแต่เมื่อใด? !” “บร๊ะ! นังเด็กคนนี้นี่ เจ้าจะยอมลงให้ข้าบ้างมิได้เชียวหรือ!” เฉียนอ้าวกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก สายตาไม่ละไปจากแผนที่ ร่างเล็กลุกจากเตาผิง สาวเท้ามานั่งเก้าอี้ด้านข้าง ชี้นิ้วไปยังจุดสีแดงบนแผนที่ที่วาดอยู่บนเสื้อคลุม “นี่คือหอสมบัติ ที่นั่นไม่ได้ใช้ทหารเฝ้ายาม ข้าสืบมาแล้ว ชั้นนอกเป็นค่ายกลเวท ส่วนหน้าประตูห้องเก็บสมบัติล้ำค่ามีอสูรร้ายสองตัวเฝ้าอยู่ ท่านพ่อ ท่านคิดว่าจะผ่านเข้าไปได้หรือ” “หึหึ เดี๋ยวเจ้าก็รู้” เฉียนอ้าวหัวเราะในลำคอ แววตาแฝงความเจ้าเล่ห์ สองพ่อลูกแซ่เฉียนคู่นี้ อาชีพหลักคือนักต้มตุ๋น ทั้งยังเป็นหัวขโมยตัวฉกาจ ฉากหน้าแสร้งอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเหมือนชนชั้นทาสทั่วไป แต่แท้จริงแล้ว ซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมายหลายแห่ง ด้วยความที่เป็นคนหัวไว และมีความจำเป็นเลิศ เยว่ลู่จึงเป็นนกต่อให้บิดามาตั้งแต่จำความได้ งานแรกของนางเริ่มเมื่อตอนอายุสี่หนาว คือการหลอกชิงตำราเวทมาจากนักเวทย์ระดับสูง และตั้งแต่บัดนั้น เด็กน้อยก็เริ่มทำงานใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงงานนี้ ยังไม่ทันที่สองพ่อลูกจะได้ปรึกษาหารือถึงเรื่องแผนการ ประตูบ้านก็ถูกเคาะ เฉียนอ้าวรีบตลบเสื้อคลุมพาดไว้ดังเดิม นิ่วหน้ามองไปยังบานประตู “ที่นี่คือบ้านของทาสแซ่เฉียนใช่หรือไม่” เสียงดังกังวานที่แฝงพลังเช่นนี้ เฉียนอ้าวฟังแล้วรู้ทันทีว่าแขกที่มาเป็นทหาร ชายหนุ่มรีบปรับสีหน้าท่าทางเป็นทาสชั้นต่ำผู้นอบน้อม ลากขาข้างหนึ่งคล้ายคนพิการ ค่อยๆ ก้าวเท้าไปเปิดประตู “อ่า ใช่ขอรับ นายท่าน” เฉียนอ้าวค้อมกายด้วยท่าทางหวาดกลัว ไร้พิรุธ ทำให้ทหารที่มาต้องหรี่ตามองไปยังขาข้างหนึ่งของเขา “เจ้าขาพิการหรือ?” “ขอรับ พอดีว่าหน้าหนาวปีนั้น ข้าน้อย” “พอๆ ไม่ต้องสาธยาย” ทหารหนุ่มใบหน้าเข้มรีบเอ่ยตัดบท ก่อนจะมองผ่านร่างสูงเข้าไปในตัวบ้าน “ในบ้านเจ้ายังมีทาสหญิงนาม เยว่ลู่ อยู่ใช่หรือไม่” “ใช่ขอรับ นางเป็นบุตรสาวของข้าน้อยเอง” “ดี องค์ชายสิบสี่มีรับสั่งจ้างงานทาสชั้นนอกจำนวนพันคนให้ไปทำงานในกองทัพที่กำลังจะเดินทางไปเมืองเทียมฟ้า คำสั่งนี้มิอาจขัดขืนได้ ผู้ที่มีรายชื่อจำเป็นต้องไปทุกคน เพราะฉะนั้นบอกให้บุตรสาวของเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าไปรายงานตัวที่หน้าประตูเมือง
บทนำ หายนะ
เปรี้ยง!!!
“อุแว๊ๆ ”
ท้องฟ้าคำรามลั่น พร้อมกับเสียงร้องจ้าของทารกแรกคลอด ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงทารกน้อยก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง
“หายนะแล้ว!!!”
หญิงชราที่กำลังทำคลอดตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าด้วยความตื่นตระหนก
ไม่นาน สี่เงาร่างในชุดเสื้อฟางกันฝนก็พากันออกจากหมู่บ้านในหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว
สิบปีผ่านไป ฤดูหนาว ในดินแดนเหนือ ท่ามกลางพายุหิมะ รถเลื่อนกำลังขับเคลื่อนไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างรวดเร็วแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
หมียักษ์สีขาวทะยานร่างตรงไปยังประตูเมืองที่กำลังจะปิด ร่างกายอันใหญ่โตของมันกระโดดลอยตัวขึ้นสูงพุ่งเข้าไปบนบานประตูเหล็ก ลากรถเลื่อนผ่านเข้าไป ก่อนที่ประตูจะปิดลงแค่เสี้ยวลมหายใจ
ทหารยามบนป้อมพากันแตกตื่น รีบง้างคันธนูเล็งไปยังชายสวมชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนเลื่อนไม้
“เจ้าเป็นใคร!?” ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะเหล็ก กระชับดาบในมือ ตะคอกถามเสียงดัง
“ใจเย็น นายกองเถียร ข้าเอง” เสียงทุ้มนุ่มแม้จะดังขึ้นแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เหล่าทหารได้ยินชัดเจน ทุกคนพากันลดอาวุธในมือลง ก่อนจะค้อมกายคารวะ
“องค์ชายสิบสี่”
ไม่รอให้พวกเขาทำความเคารพจนเสร็จ หมียักษ์ก็ลากรถเลื่อน ไปตามเส้นทาง มุ่งสู่พระราชวัง
ในยุคที่มิติยังไม่ถูกกางกั้น มนุษย์ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็น ปีศาจ ภูต อสูร และอีกหลายเผ่าพันธุ์
เพื่อความอยู่รอด หลายเผ่าพันธุ์ได้พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือหนึ่งในนั้น
ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลก จะต้องมีธาตุประจำกายอยู่สี่ธาตุหลักที่ธรรมชาติมอบให้ คือ ปฐพี วารี วายุ และอัคคี แต่ก็ยังมีอีกหลายชีวิตที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง ไม่ได้มอบพลังธาตุติดตัวมาให้ กลายเป็นชนชั้นล่างสุด ที่ถูกเรียกว่าทาสชั้นต่ำ
“นี่ องค์ชายสิบสี่กลับมาแล้ว ไปแอบดูกัน” หญิงสาวหนึ่งในทาสรับใช้ กระซิบกระซาบบอกสหายที่กำลังกวาดหิมะอยู่หน้าลานปราสาทด้วยท่าทางตื่นเต้น สตรีทั้งสี่พากันทิ้งไม้กวาด รีบวิ่งออกไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก วัยราวสิบปี กวาดลานอยู่เพียงผู้เดียว
เฉียนเยว่ลู่ได้แต่ขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังของคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย เพราะความที่พึ่งเข้าวังมาใหม่ นางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่เพียงครู่เดียวความสงสัยก็ถูกขจัดออกไปจากหัว เด็กน้อยหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น
ด้ามไม้กวาดที่สูงเลยศีรษะเล็กไปมากโข ขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานหิมะที่เคยมีอยู่เต็มลานก็มลายหายไป เหลือเพียงพื้นอิฐเปียกชื้น
ตุ้บ... แต่แล้วอยู่ ๆ กองหิมะที่นางอุตส่าห์กวาดไปกองรวมกันไว้ ก็แตกกระจาย มิหนำซ้ำยังสาดกระเซ็นกลับมาเปรอะเปื้อนเต็มพื้น เยว่ลู่รีบหันขวับไปมองตัวต้นเหตุด้วยความไม่พอใจ
หมีหิมะตัวโตเชิดหัวอย่างเย่อหยิ่ง ก้าวเท้าออกจากกองหิมะโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมนุษย์ตัวเล็กที่ยืนอยู่ ด้วยขนาดและพลังของมัน แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพากันหวาดกลัว มันจึงไม่จำเป็นต้องมองให้เสียเวลา ในความคิดของมัน คืออีกไม่นานเจ้ามดปลวกตรงหน้าจะต้องกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ามนุษย์กลับวิ่งเข้ามายืนขวางหน้า พร้อมกับชี้ด้ามไม้กวาดใส่หน้ามัน
“หยุดนะ! เจ้าหมีโง่ ทำลายกองหิมะของข้าแล้วคิดจะหนีหรือ!” เสียงเล็กแหลมที่ฟังดูก็รู้ว่ายังเป็นเด็กตะคอกเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ฝ่าเท้าใหญ่โตเกือบเท่าตัวของนางหยุดชะงักทันที
ดวงตาสีแดงเฉียบคมจับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กเบื้องหน้า เจ้าของร่างยักษ์กำลังชั่งใจว่ามันสมควรจะขบหัวเด็กผู้นี้ แล้วกลืนกินเป็นอาหารดีหรือไม่
“ช่วยข้าเก็บกวาดเดี๋ยวนี้เลย มิเช่นนั้น เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ไปจากที่นี่”
*_* นี่มันกำลังถูกข่มขู่?
เสวี่ยสงลองหยั่งเชิงด้วยการยกฝ่าเท้าขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะก้าวเดิน
เพี้ย!
*_* แต่กลับถูกด้ามไม้กวาดตีลงมาบนหลังเท้าของมัน ท่าทางว่าเจ้ามนุษย์หน้าโง่จะยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ในหัวของหมียักษ์คิดเช่นนั้น แต่การกระทำกลับแตกต่างออกไป โดยที่แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ตัว ฝ่าเท้าใหญ่โตเดี๋ยวยกเดี๋ยววางสลับกันไปมา เพื่อหลบด้ามไม้กวาด
หนึ่งหมีหนึ่งคนราวกับเล่นไล่จับ เมื่อตีไม่โดนเสียที เด็กหญิงก็เริ่มโมโห
“เจ้า! อยู่นิ่งๆ” เยว่ลู่ยืนชี้ไม้กวาดไปยังปลายจมูกของหมียักษ์ด้วยใบหน้างอง้ำ พอมันเผลอหยุดนิ่งเพื่อมองดูนาง ด้ามไม้กวาดในมือก็ตีลงไปที่หลังเท้าของมันทันที
“ฮะๆ” พอเอาชนะผู้อื่นได้ เด็กหญิงก็หัวเราะร่า
การเสียรู้ครั้งนี้ทำให้เสวี่ยสงหรี่ตามองมนุษย์ตัวเล็กจ้อยเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด เพียงแค่มันยกเท้าเหยียบลงไป เจ้าตัวโง่งมผู้นี้ก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อทันที แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด มันจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น กระทั่งได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายดังขึ้นในหัว หมียักษ์จึงจำต้องตัดใจจากเจ้าตัวดี เพื่อไปหาผู้เป็นนาย การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กว่าที่เยว่ลู่จะทันรู้ตัว ภายในลานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
ในท้องพระโรงใหญ่ ผู้คนกว่าสี่สิบชีวิต มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มีเพียงชายชราผมเผ้าขาวโพลนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มรกตสูงเท่าบันไดสิบห้าขั้นเท่านั้นที่ยังมีใบหน้าสงบนิ่ง ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปยังประตูทางเข้าอย่างรอคอย จนกระทั่งร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำสาวเท้าผ่านประตูเข้ามา
หมวกคลุมถูกปัดออกจากศีรษะให้ตกลงไปห้อยอยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มวัยยี่สิบ ฝ่าเท้าก้าวอย่างมั่นคงไปบนพื้นหินอ่อนมันวาว ผ่านหน้าขุนนางที่ยืนอยู่สองฟากข้างอย่างช้าๆ กระทั่งหยุดห่างจากบัลลังก์ไปสิบก้าว
เสวี่ยตงฟ่าน คุกเข่าข้างหนึ่ง ยกกำปั้นแตะที่อก ก้มหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงดังฟังชัด “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสิบสี่ไม่รอช้า หลังจากที่ลุกขึ้นยืน ก็กราบทูลเรื่องสำคัญทันที “ตามที่กระหม่อมได้ส่งสารรายงานมา ว่าพบอสูรธาตุอัคคีอาละวาดในเมืองเทียมฟ้า เวลานี้กระหม่อมทราบแล้วว่าอสูรตนนั้นคือเผ่าพันธุ์ใด มันคือมังกรอัคคี พ่ะย่ะค่ะ”
“อ่า” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่องค์ชายสิบสี่รายงานจบ ไม่รอให้ทุกคนได้ทันหายตกใจ เสวี่ยตงฟ่านก็เรียกกล่องเหล็กออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเปิดฝาให้ทุกคนได้ดู และทันทีที่ฝาถูกเปิดออก ความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว “นี่คือเกล็ดของมันพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นเกล็ดในกล่อง ก็รู้ได้ว่ามันเป็นของจริง นี่แค่เกล็ดขนาดเท่าฝ่ามือยังมีพลังถึงขนาดนี้ แล้วเจ้าของมัน จะมีพลังขนาดไหน
บรรดาขุนนางต่างพากันหันไปมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป็นตาเดียว เพื่อรอการตัดสินพระทัย
องครักษ์ที่ยืนด้านซ้ายของบัลลังก์เดินลงมารับกล่องจากองค์ชายสิบสี่เพื่อนำไปถวายแด่องค์จักรพรรดิ ให้ทรงทอดพระเนตร
ภายใต้แพขนตาสีขาวโพลน ดวงตาสีเทาส่องประกายเจิดจ้า พินิจเกล็ดสีแดงส้มในกล่องอย่างละเอียด “อสูรระดับตำนาน” จักรพรรดิแดนเหนือรับสั่งอย่างเนิบช้า ไร้ท่าทีตื่นตระหนก ซึ่งผิดกับขุนนางด้านล่างที่พากันแตกตื่น
สามเดือนก่อนหน้านี้ เมืองเทียมฟ้าได้ส่งสารขอความช่วยเหลือมาที่เมืองหลวง เรื่องสัตว์อสูรออกอาละวาดจนทำให้ภูเขาน้ำแข็งบางส่วนเกิดการละลาย ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากมันละลายจนหมด ทั้งแดนเหนือคงกลายเป็นทะเลสาบ
องค์ชายสิบสี่จึงถูกส่งไปสืบสาวราวเรื่องและจัดการกับอสูรตนนั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ องค์ชายกลับส่งสารกลับมา ว่ามิอาจต่อกรกับอสูรตนนั้นได้ และเล่าถึงหายนะที่สัตว์อสูรตนนั้นได้สร้างเอาไว้ แค่จากคำบรรยายในสารก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาขุนนางมากพอแล้ว ยิ่งมารู้ว่าสัตว์อสูรตนนั้นคือมังกรอัคคีระดับตำนาน จะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร
ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาจากแถว ยกกำปั้นชิดอกค้อมศีรษะเล็กน้อย ทูลถามด้วยความร้อนรน “ฝะ..ฝ่าบาท ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ หากปล่อยเอาไว้ ดินแดนเหนือคงไม่เหลือซากเป็นแน่ พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิกวาดพระเนตรไปรอบท้องพระโรง ก่อนจะรับสั่งเสียงดังกังวาน “องค์ชายสิบสี่รับบัญชา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยตงฟ่านยกกำปั้นชิดอก
“จงจัดทัพใหญ่ไปปราบมังกรไฟตนนี้ให้สิ้นซาก!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วยาม กองกำลังเรือนแสนก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูเมืองจนมืดฟ้ามัวดิน บนกำแพงเมือง ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมหนังสัตว์กันหนาวยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังทหารนับแสนด้วยแววตาสงบนิ่ง เยื้องไปเบื้องหลังครึ่งก้าวมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กยืนอยู่ ดาบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังของคนผู้นี้ส่องประกายเจิดจ้า
ทั้งสองคล้ายกำลังรอการมาถึงของใครบางคน
“งานนี้พวกเราคงต้องใช้ทาสเป็นตัวล่อ” องค์ชายสิบสี่กล่าวโดยไม่ได้หันกลับไปมองคนเบื้องหลัง
“จำนวนเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ”
“สักพันคน”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ดินแดนเหนือ อาณาเขตที่แสงอาทิตย์ส่องมาไม่ทั่วถึง บรรยากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยหิมะพร่างพรายอยู่ตลอด เวลานี้ก็เช่นกัน เสวี่ยตงฟ่าน หงายฝ่ามือขึ้นรองรับเกล็ดหิมะที่กำลังจะตกลงมา ท่าทางของชายหนุ่มสงบนิ่งไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าองค์ชายสิบสี่จะไม่ใช่รัชทายาท แต่กลับเป็นโอรสที่มีนิสัยใจคอคล้ายองค์จักรพรรดิมากที่สุดในกระบวนองค์ชายทั้งหมด และที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นอาจารย์เวทย์ระดับสูง
ศึกครั้งนี้คือศึกชี้ชะตาของแดนเหนือ การต่อสู้กับอสูรระดับตำนานหาใช่เรื่องง่าย หากทำไม่สำเร็จ ดินแดนที่ถูกขนานนามว่าทุ่งหญ้าขาวแห่งนี้ คงได้จบสิ้น
หน้าประตูพระราชวัง ทาสที่พึ่งเลิกงานกำลังทยอยกลับบ้าน มนุษย์เหล่านี้มีทั้งชายและหญิง เป็นชนชั้นระดับล่างสุดที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง เมื่อไม่มีธาตุติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จึงต้องใช้ชีวิตอย่างทาส
งานในพระราชวังอย่างงานเบาจะมีทาสที่ถูกฝึกอบรมดูแลอยู่แล้ว ส่วนงานหนักๆ จะจ้างทาสจากข้างนอกมาทำ อย่างกวาดหิมะ ผ่าฟืน คนเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกพระราชวังส่งเดช ทุกคนถูกจัดให้เข้าออกตามเวลา โดยมีทาสหัวหน้างานเป็นคนดูแล เยว่ลู่คือหนึ่งในนั้น
เด็กหญิงหย่อนก้อนผลึกสีม่วงขุ่นระดับต่ำสุดใส่ไว้ในถุงข้างเอว นั่นคือค่าแรงของนางวันนี้ พอก้าวพ้นประตู สองขาเล็กก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว จนเสื้อคลุมกันหนาวที่มีรอยปะชุนปลิวไสว ร่างเล็กวิ่งฝ่าหิมะที่เริ่มจะตกหนักขึ้น เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามตรอกซอกซอย จนกระทั่งถึงบ้านอิฐที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ นางรีบผลักประตูเข้าไปเพื่อหลบเลี่ยงความหนาว
เสื้อคลุมเปียกชื้นถูกถอดออกจากร่างพาดไว้บนโต๊ะ ก่อนที่เด็กหญิงจะสาวเท้าไปยังเตาผิง
“กลับมา แทนที่จะทักทายบิดาก่อน แต่เจ้ากลับเห็นเตาผิงสำคัญกว่าข้า ช่างน่าน้อยใจนัก” น้ำเสียงตัดพ้อดังขึ้นเบื้องหลัง แต่เยว่ลู่ไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าของเสียงกำลังเสแสร้ง เด็กหญิงจึงเลือกเอ่ยเรื่องสำคัญแทน “ข้าวาดแผนที่ในพระราชวังเสร็จแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มวัยราวยี่สิบแปด รีบหยิบเสื้อคลุมที่เด็กน้อยถอดพาดไว้บนโต๊ะมากางดู ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง กล่าวชมไม่ขาดปาก “ฮ่าๆ เก่งมาก เยว่เอ๋อบ้านเราเก่งจริงๆ”
“ไม่ต้องมาชมเลย ท่านอย่าได้ลืมส่วนแบ่งของข้า”
“ไม่ลืมๆ บิดาผู้นี้รับรองด้วยเกียรติอันสูงส่ง”
วาจากลิ้งกลอกของบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา ทำให้เยว่ลู่ ต้องกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้ หันกลับมาแค่นเสียงใส่ “เฮอะ! อย่างท่านไปมีเกียรติตั้งแต่เมื่อใด? !”
“บร๊ะ! นังเด็กคนนี้นี่ เจ้าจะยอมลงให้ข้าบ้างมิได้เชียวหรือ!” เฉียนอ้าวกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก สายตาไม่ละไปจากแผนที่
ร่างเล็กลุกจากเตาผิง สาวเท้ามานั่งเก้าอี้ด้านข้าง ชี้นิ้วไปยังจุดสีแดงบนแผนที่ที่วาดอยู่บนเสื้อคลุม “นี่คือหอสมบัติ ที่นั่นไม่ได้ใช้ทหารเฝ้ายาม ข้าสืบมาแล้ว ชั้นนอกเป็นค่ายกลเวท ส่วนหน้าประตูห้องเก็บสมบัติล้ำค่ามีอสูรร้ายสองตัวเฝ้าอยู่ ท่านพ่อ ท่านคิดว่าจะผ่านเข้าไปได้หรือ”
“หึหึ เดี๋ยวเจ้าก็รู้” เฉียนอ้าวหัวเราะในลำคอ แววตาแฝงความเจ้าเล่ห์
สองพ่อลูกแซ่เฉียนคู่นี้ อาชีพหลักคือนักต้มตุ๋น ทั้งยังเป็นหัวขโมยตัวฉกาจ ฉากหน้าแสร้งอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเหมือนชนชั้นทาสทั่วไป แต่แท้จริงแล้ว ซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมายหลายแห่ง
ด้วยความที่เป็นคนหัวไว และมีความจำเป็นเลิศ เยว่ลู่จึงเป็นนกต่อให้บิดามาตั้งแต่จำความได้ งานแรกของนางเริ่มเมื่อตอนอายุสี่หนาว คือการหลอกชิงตำราเวทมาจากนักเวทย์ระดับสูง และตั้งแต่บัดนั้น เด็กน้อยก็เริ่มทำงานใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงงานนี้
ยังไม่ทันที่สองพ่อลูกจะได้ปรึกษาหารือถึงเรื่องแผนการ ประตูบ้านก็ถูกเคาะ เฉียนอ้าวรีบตลบเสื้อคลุมพาดไว้ดังเดิม นิ่วหน้ามองไปยังบานประตู
“ที่นี่คือบ้านของทาสแซ่เฉียนใช่หรือไม่” เสียงดังกังวานที่แฝงพลังเช่นนี้ เฉียนอ้าวฟังแล้วรู้ทันทีว่าแขกที่มาเป็นทหาร ชายหนุ่มรีบปรับสีหน้าท่าทางเป็นทาสชั้นต่ำผู้นอบน้อม ลากขาข้างหนึ่งคล้ายคนพิการ ค่อยๆ ก้าวเท้าไปเปิดประตู
“อ่า ใช่ขอรับ นายท่าน” เฉียนอ้าวค้อมกายด้วยท่าทางหวาดกลัว ไร้พิรุธ ทำให้ทหารที่มาต้องหรี่ตามองไปยังขาข้างหนึ่งของเขา “เจ้าขาพิการหรือ?”
“ขอรับ พอดีว่าหน้าหนาวปีนั้น ข้าน้อย”
“พอๆ ไม่ต้องสาธยาย” ทหารหนุ่มใบหน้าเข้มรีบเอ่ยตัดบท ก่อนจะมองผ่านร่างสูงเข้าไปในตัวบ้าน “ในบ้านเจ้ายังมีทาสหญิงนาม เยว่ลู่ อยู่ใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ นางเป็นบุตรสาวของข้าน้อยเอง”
“ดี องค์ชายสิบสี่มีรับสั่งจ้างงานทาสชั้นนอกจำนวนพันคนให้ไปทำงานในกองทัพที่กำลังจะเดินทางไปเมืองเทียมฟ้า คำสั่งนี้มิอาจขัดขืนได้ ผู้ที่มีรายชื่อจำเป็นต้องไปทุกคน เพราะฉะนั้นบอกให้บุตรสาวของเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าไปรายงานตัวที่หน้าประตูเมือง