นิยาย
เกิดใหม่อีกทีขอไม่เป็นนางมาร
เมื่อนางมารกลับใจได้มาเกิดใหม่ในร่างเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาหน้าตาอัปลักษณ์ นางคิดว่าชาตินี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ใครจะรู้ว่าฐานะของร่างเดิมกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ไม่เพียงเลิ่งยี่จะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ยังต้องเข้าไปผจญกับโชคชะตาของจางหวั่นอี้อย่างไม่มีทางเลี่ยง ไม่รู้ว่านางมารผู้ไม่อยากให้มือกลับไปเปื้อนเลือด จะอดทนอดกลั้นได้นานแค่ไหน จะมีใครบ้างที่บังอาจก้าวข้ามขีดความอดทนของนาง : : : หลี่มู่ฉีรับผ้ามาค่อยๆ บรรจงเช็ดไปตามแผ่นอก รอนหน้าท้อง เจตนาทำให้นางเห็น ซึ่งเลิ่งยี่ก็เห็นตามที่เขาต้องการจริงๆ เพียงแต่สายตาที่มองยังคงเรียบเฉย หลี่มู่ฉีเห็นแล้วหมดอารมณ์จะเช็ดตัวขึ้นมาทันที เขาส่งผ้าคืนให้นาง เลิ่งยี่รับมาอย่างมึนงง “เช็ดตัวให้เปิ่นหวาง!” “อ้อ” เลิ่งยี่ขยับเข้าไปใกล้ แต่ก่อนที่ผ้าในมือนนางจะสัมผัสโดนร่าง หลี่มู่ฉีพลันเอ่ยเสียงเย็นชา “นี่เป็นหน้าที่ของสาวใช้ ห้ามคิดเงินเพิ่ม” นางได้ยินก็ฉีกยิ้ม ค่อยๆ เช็ดตัวให้เขาอย่างอารมณ์ดี ชาติก่อนเลิ่งยี่อยู่เหนือผู้คนมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีชายใดกล้าเฉียดเข้าใกล้ กระทั่งอายุสี่สิบสองนางยังครองความบริสุทธิ์จนกระทั่งตาย ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องชายหญิง นอกจากฝึกวิชากับฆ่าคนแล้ว เรื่องอื่นไม่เคยอยู่ในหัว นางหาใช่ไม่สนใจรูปร่างของเขา เพียงแต่ ความสนใจของนางอยู่ที่... เจ้าหนุ่มนี่หน่วยก้านดีใช้ได้เลยทีเดียว หากฝึกวิชาในคัมภีร์สัจจะคงเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ไม่ยาก
หยกเร้นจันทร์
'นาง' หญิงสาวผู้ถูกแย่งชิงดวงชะตา ต้องแต่งเป็นภรรยาของบุรุษชั่วช้าสามานย์ เนื้อคู่ตัวจริงถูกผู้อื่นครอบครองดวงใจ ชื่อเสียงที่สมควรดีงามถูกป้ายสี หัวใจถูกย่ำยีจนแหลกลาญ ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ นางต้องทนรับมันจริงๆ กระนั้นหรือ ไม่! นางจะไม่ทน อยากให้นางตกนรกใช่หรือไม่ ได้! นางจะอยู่ในนรก แต่เป็นนรกที่นางเป็นคนบงการ สามีชั่วช้าแล้วอย่างไร หัวใจทำจากเหล็กกล้า? แม่สามีร้ายกาจแล้วอย่างไร มิใช่เป็นเพียงสตรีเรือนหลังหรือ? หากไม่ผิดสามจรรยาสี่เชื่อฟังผู้ใดจะทำอันใดนางได้ จะใช้กฎเจ็ดขับกับนาง? ต้องถามก่อนว่านางจะยอมหรือไม่ คนบางคน หาใช่คนอ่อนแอ เพียงแต่มิชอบความยุ่งยาก และนางแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่านางเป็นหนึ่งในนั้น
ชาตินี้ไม่ขอเป็นฮองเฮาอีก
เขาปล่อยให้นางฆ่าสตรีวังหลังมากมายโดยไม่เคยถามไถ่หรือลงโทษ เขาปล่อยให้นางหมกมุ่นอยู่กับความรัก อำนาจ ราคะ จนหลงลืมว่าตนเองเคยเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจ จากนั้นก็ค่อยๆ ยึดอำนาจทหารในมือของนาง และที่โหดร้ายที่สุด คือเขาซ่อนสตรีอันเป็นที่รักไว้อย่างมิดชิด ทั้งยังแอบให้กำเนิดโอรส รอจนวันที่เสวียนฮองเฮาไม่เหลืออำนาจ เขาถึงได้แต่งตั้งสตรีนางนั้นเป็นหวงกุ้ยเฟย พร้อมทั้งแต่งตั้งลูกของนางเป็นองค์รัชทายาท แต่เสวียนฮองเฮามีหรือจะยอมให้ผู้ใดมาเสวยสุขบนหยาดเหงื่อของตัวเอง นางวางยาจนหวงกุ้ยเฟยมิอาจตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต ทั้งยังสังหารโอรสเพียงคนเดียวของเขา สุดท้ายเขาก็มอบสุราจอกนั้นให้นาง
ปฐมบทฮูหยิน
คำเตือน นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี การเป็นฮูหยินนั้นไม่ง่ายดายเลยจริงๆ แต่งงานมาสามปี จากฐานะยากจนกระทั่งร่ำรวยเป็นเถ้าแก่ พอมีเงินทอง มีหน้ามีตา ภรรยาอย่างนางกลับกลายเป็นไร้ค่าไปเสียแล้ว ทั้งถูกบีบคั้นให้หย่า ทั้งถูกตามล่าสังหาร ยัง! ชีวิตยังบัดซบไม่พอ! อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ หนีเอาชีวิตรอดมาได้ แค่ออกไปเดินในตลาดไม่ถึงชั่วยาม กลับถูกคนมาสู่ขอซะงั้น! เหตุผลง่ายๆ สั้นๆ ประโยคเดียว คือแต่งงานหลอกๆ แต่งงานหลอกๆ กะผีน่ะสิ! คืนแรกก็เคี้ยวนางแทบไม่เหลือกระดูกแล้ว *** ฝ่ายชายที่จะทำการหย่าภรรยา สามารถทำได้ด้วยก็การเขียนสาเหตุ ลงชื่อ ประทับลายนิ้วมือ กระดาษแผ่นนั้นก็จะกลายเป็น "ซิวซู" หรือใบหย่า โดยใช้กฎเจ็ดขับ กฎเจ็ดขับ สามีหย่าภรรยา -ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี -ไม่มีบุตร -คบชู้ -อิจฉาริษยา -มีโรคร้ายแรง -พูดมาก -ลักขโมย ฝ่ายชายใช้ขับภรรยา สตรีที่ถูกหย่าร้างด้วย “เจ็ดขับ” นับว่าเป็นความอัปยศสูงสุด หญิงสาวส่วนมากจึงมักฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็บวชชี "ซันปู๋ชวี่" สามไม่หย่า คือข้อยกเว้นสามข้อที่สามีไม่สามารถหย่าได้ คือ - ก่อนแต่งมีบ้าน หลังแต่งไม่มี เช่น พ่อแม่ญาติพี่น้องตายหมด ไม่มีใครให้กลับไปขออาศัย -เคยไว้ทุกข์ให้พ่อหรือแม่ของสามีสามปี เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่สะใภ้อย่างสมบูรณ์แล้ว -หากวันหนึ่งฝ่ายชายร่ำรวยหรือได้ดี จะทิ้งภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่ได้
สตรีขี้หึงแห่งลั่วหยาง
ตั้งแต่แต่งงานมา หน้าที่ภรรยา ข้าทำไม่เคยบกพร่อง แค่ขอเรื่องเดียว ไฉนท่านถึงให้ข้าไม่ได้ เหตุใดยังต้องทำตัวอ่อนโยนใจดีกับสตรีอื่นด้วย ท่านไม่รู้หรือ ว่าการทำเช่นนั้น มันทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด คิดว่าท่านมีใจ และคนที่เดือดเนื้อร้อนใจก็คือข้า มีสตรีมากมายเท่าใด ที่อยากเป็นภรรยาท่าน มิหนำซ้ำพวกนางยังพร้อมที่จะทำลายข้า ท่านจะให้ข้าทำอย่างไร นั่งรอให้ผู้อื่นมาทำลายอย่างนั้นหรือ? ข้าต้องถูกผู้คนก่นด่า ถูกประณาม ถูกผู้คนหยามหมิ่น เป็นเพราะใครกันเล่า ในเมื่อท่านมิเคยออกหน้าปกป้องข้า ข้าก็ต้องปกป้องตัวเอง ข้าผิดตรงไหน แต่ตอนนี้ ข้าเหนื่อยเหลือเกินแล้ว เหนื่อยที่จะต้องตามหึงหวงท่าน เหนื่อยที่จะต้องสู้รบตบมือกับสตรีครึ่งค่อนเมือง ที่อยากจะมาเป็นสตรีของท่าน .....................
จอมนางล่มบัลลังก์หงส์
‘จอมนางล่มบัลลังก์หงส์’ เป็นเรื่องราวการชิงไหวชิงพริบของสตรีวังหลัง การดำเนินเรื่องค่อนข้างมีความลึกลับซับซ้อน เริ่มจากเจตนาในการเข้าไปคัดตัวเข้าวังของเวินเหยาหยาที่นำพาไปสู่เรื่องราวมากมาย ตัวละครหลัก เวินเหยาหยา : ธิดาตระกูลเวิน อายุ เข้าวัยปักปิ่น หลี่เฉียนเล่อ : ถังเจ๋อจงฮ่องเต้ อายุ 20 เอี้ยนหนี่หง : ฮองเฮาสกุลเอี้ยน อายุ 19 ต้ามี่เซี๊ย : ไทเฮาสกุลต้า พระมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้ อายุ 37 ต้าเหม่ยจวง : ธิดาเฉิงกั๋วกงต้าเส่า อายุเข้าวัยปักปิ่น
เรื่องเล่าของฮองเฮาผู้วายชนม์
เพียงชั่วข้ามคืน จากฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ กลายมาเป็นเด็กน้อยผู้ยากไร้ ชะตาหงส์ถูกแย่งชิง อำนาจวาสนากลับตาละปัด ร่างกายถูกครอบครองโดยวิญญาณดวงอื่น บาปกรรมนี้ ผู้ใดเป็นคนมอบให้นางกัน "ข้ายังเป็นมารดาของแผ่นดินอยู่ หรือเป็นเพียงฮองเฮาผู้วายชนม์กันแน่" ***ตัวอย่างบางช่วงบางตอน ทันทีที่นางลืมตา น้ำเสียงเย็นยะเยือกปานจะแช่แข็งผู้คนพลันดังขึ้น “ได้สติแล้วหรือ?” ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือค่อยๆ เบือนไปมอง ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใด ร่างของนางรีบผุดลุกนั่งโดยพลัน “หลิงหลง” นามของคนผู้นั้นถูกเปล่งออกจากปากโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเสียงของหมิ่นหรานจะดังแผ่วเบาอยู่ในลำคอ หากแต่เจ้าของนามนั้นยังคงได้ยินอยู่ดี นัยน์ตาสีอ่อนจางจำต้องมองประเมินหย่าโถวน้อยบนเตียงอีกครา ประหลาดแท้ ไม่เพียงมีนามคล้ายกัน ความฉลาดเฉลียวยังไม่ต่างกัน มิหนำซ้ำยังรู้จักข้า เกรงว่าเด็กคนนี้ คงไม่ธรรมดาแล้วกระมัง คิดแล้วเขาจึงลดแรงกดดันลง เอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ “รู้จักข้าด้วยหรือ?” หมิ่นหรานพึ่งจะรู้สึกตัว รีบเรียกสติของตนกลับมา ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ ให้ตายอย่างไร นางก็ให้คนผู้นี้ระแคะระคายไม่ได้ว่านางเป็นใคร ซือหม่าหลิงหลงผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมอำมหิต มิหนำซ้ำยังเป็นศัตรูคู่แค้นของนาง หากรู้ความจริง มีหวังได้ถลกหนังนางไปทำกลองเป็นแน่ ทว่าสิ่งหนึ่งที่เซี่ยหมิ่นหรานลืมไป คือนิสัยของเทียนป่าอ๋องนั้น หากติดใจสงสัยแล้ว ไม่มีทางปล่อยผ่าน “เมื่อครู่ เจ้าพึ่งจะเอ่ยนามของข้า ข้าคงไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง” ได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าของหมิ่นหรานพลันชะงักงัน ในหัวเร่งคิดหาทางเอาตัวรอด ที่สุดก็คิดได้วิธีหนึ่ง ซือหม่าหลิงหลงผู้นี้ รังเกียจที่สุดคือสตรี คงมีทางเดียวที่นางจะรอดไปได้
สยบรักสามีน่าชัง
คำเตือน** นิยายเรื่องนี้ อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรอ่าน** หากมิได้สลับร่างกัน พวกนางคงไม่ได้มองเห็นความจริง ว่าสามีน่าชังของพวกนางนั้น มิได้เป็นอย่างที่คิด ภายใต้หน้ากากความเย็นชาใจร้ายใจดำของพวกเขา กลับยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังซุกซ่อนเอาไว้อีกมากมาย
ใต้เงารักทรราช
"เขา" คือ ทรราชที่โลกจารึก ส่วน "นาง" คือวิญญาณหลงยุคที่ย้อนอดีตกลับมาเกิดในร่างใหม่ ตัวอย่าง บางตอน ในที่สุดชิวเยี่ยก็กระจ่าง ที่แท้ตนอยู่ในยุคจ้านกว๋อ ยุคสงครามแย่งชิงดินแดน ยุคของฉินสื่อหวงตี้ ทรราชที่โลกจารึกนั่นเอง พอคิดไปถึงว่าตนย้อนกลับมาเกิดยุคเดียวกับฉินสื่อหวงตี้ ชิวเยี่ยพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที อดคิดไม่ได้ว่า หากมีโอกาสได้เห็นฉินสื่อหวงตี้ตัวเป็นๆ คงจะดีไม่น้อย “แล้วตอนนี้ ผู้ใดคือผู้ครองแคว้นฉินหรือ” ชิวเยี่ยเงยหน้าถามมู่ตงด้วยท่าทางกระตือรือร้น “ฉินจวงเซียงหวาง” มู่ตงตอบ นั่นมิใช่พระบิดาของฉินสื่อหวงตี้หรือ ชิวเยี่ยคิด นางมิได้เรียนประวัติศาสตร์มาเสียด้วย ชิวเยี่ยถามต่อไปอีกว่า “ฉินจวงเซียงหวางผู้นี้ ก่อนหน้านั้น ใช่องค์ประกันของแคว้นเจ้าหรือไม่” “โอ้ เจ้ารู้เรื่องนั้นด้วยหรือ” มู่ตงมีท่าทางแปลกใจเป็นคำรบสอง ทว่ายังคงตอบไปตามจริง “ใช่แล้วฉินจวงเซียงหวางเคยเป็นองค์ประกันแคว้นเจ้า พึ่งจะได้ขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นฉินเมื่อเดือนก่อน” ชิวเยี่ยพยักหน้าหลายคราติด ใช่จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นฉินสื่อหวงตี้ย่อมต้องถือกำเนิดมาแล้ว แล้วเขาอยู่ที่ใดกัน ไม่รู้ว่านางจะมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาสักครั้งไหมหนอ
สตรีอย่างข้าอะไรก็เป็นที่สุด
ปากเสีย ใจกล้า หน้าด้าน ยังมีอะไรอีกที่ไม่สุด ก็ข้าเป็นถึงบุตรสาวหัตถ์พญายมผู้เลื่องชื่อนี่นา จะทำให้บิดาเสื่อมเสียมิได้ ในยุทธภพ มีคำล่ำลือเกี่ยวกับธิดาพญายม ถึงความชั่วร้ายของนาง บ้างก็ว่านางฆ่าคนไม่เลือก ชอบบังคับขืนใจบุรุษ เป็นสตรีที่หน้าด้านไร้ยางอาย มิหนำซ้ำนางยังเป็นคนอัปลักษณ์ คำเล่าลือเหล่านี้โด่งดังไปทั้งแผ่นดิน และไม่มีใครที่ไม่เชื่อ แต่จะมีสักกี่คนที่เคยเห็นตัวตนจริงๆของ ธิดาพญายม นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายภาคต่อ เรื่อง กระบี่แม่ลูกอ่อน เป็นเรื่องของ ชิวว่าน บุตรสาวคนเล็กของตระกูล
4มหาเวทสะท้านพิภพ
เปรี้ยง!!! “อุแว๊ๆ ” ท้องฟ้าคำรามลั่น พร้อมกับเสียงร้องจ้าของทารกแรกคลอด ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงทารกน้อยก็ดังขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง “หายนะแล้ว!!!” หญิงชราที่กำลังทำคลอดตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าด้วยความตื่นตระหนก ไม่นาน สี่เงาร่างในชุดเสื้อฟางกันฝนก็พากันออกจากหมู่บ้านในหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว สิบปีผ่านไป ฤดูหนาว ในดินแดนเหนือ ท่ามกลางพายุหิมะ รถเลื่อนกำลังขับเคลื่อนไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างรวดเร็วแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หมียักษ์สีขาวทะยานร่างตรงไปยังประตูเมืองที่กำลังจะปิด ร่างกายอันใหญ่โตของมันกระโดดลอยตัวขึ้นสูงพุ่งเข้าไปบนบานประตูเหล็ก ลากรถเลื่อนผ่านเข้าไป ก่อนที่ประตูจะปิดลงแค่เสี้ยวลมหายใจ ทหารยามบนป้อมพากันแตกตื่น รีบง้างคันธนูเล็งไปยังชายสวมชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนเลื่อนไม้ “เจ้าเป็นใคร!?” ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะเหล็ก กระชับดาบในมือ ตะคอกถามเสียงดัง “ใจเย็น นายกองเถียร ข้าเอง” เสียงทุ้มนุ่มแม้จะดังขึ้นแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เหล่าทหารได้ยินชัดเจน ทุกคนพากันลดอาวุธในมือลง ก่อนจะค้อมกายคารวะ “องค์ชายสิบสี่” ไม่รอให้พวกเขาทำความเคารพจนเสร็จ หมียักษ์ก็ลากรถเลื่อน ไปตามเส้นทาง มุ่งสู่พระราชวัง ในยุคที่มิติยังไม่ถูกกางกั้น มนุษย์ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะเป็น ปีศาจ ภูต อสูร และอีกหลายเผ่าพันธุ์ เพื่อความอยู่รอด หลายเผ่าพันธุ์ได้พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือหนึ่งในนั้น ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลก จะต้องมีธาตุประจำกายอยู่สี่ธาตุหลักที่ธรรมชาติมอบให้ คือ ปฐพี วารี วายุ และอัคคี แต่ก็ยังมีอีกหลายชีวิตที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง ไม่ได้มอบพลังธาตุติดตัวมาให้ กลายเป็นชนชั้นล่างสุด ที่ถูกเรียกว่าทาสชั้นต่ำ “นี่ องค์ชายสิบสี่กลับมาแล้ว ไปแอบดูกัน” หญิงสาวหนึ่งในทาสรับใช้ กระซิบกระซาบบอกสหายที่กำลังกวาดหิมะอยู่หน้าลานปราสาทด้วยท่าทางตื่นเต้น สตรีทั้งสี่พากันทิ้งไม้กวาด รีบวิ่งออกไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก วัยราวสิบปี กวาดลานอยู่เพียงผู้เดียว เฉียนเยว่ลู่ได้แต่ขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังของคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย เพราะความที่พึ่งเข้าวังมาใหม่ นางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่เพียงครู่เดียวความสงสัยก็ถูกขจัดออกไปจากหัว เด็กน้อยหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น ด้ามไม้กวาดที่สูงเลยศีรษะเล็กไปมากโข ขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานหิมะที่เคยมีอยู่เต็มลานก็มลายหายไป เหลือเพียงพื้นอิฐเปียกชื้น ตุ้บ... แต่แล้วอยู่ ๆ กองหิมะที่นางอุตส่าห์กวาดไปกองรวมกันไว้ ก็แตกกระจาย มิหนำซ้ำยังสาดกระเซ็นกลับมาเปรอะเปื้อนเต็มพื้น เยว่ลู่รีบหันขวับไปมองตัวต้นเหตุด้วยความไม่พอใจ หมีหิมะตัวโตเชิดหัวอย่างเย่อหยิ่ง ก้าวเท้าออกจากกองหิมะโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมนุษย์ตัวเล็กที่ยืนอยู่ ด้วยขนาดและพลังของมัน แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องพากันหวาดกลัว มันจึงไม่จำเป็นต้องมองให้เสียเวลา ในความคิดของมัน คืออีกไม่นานเจ้ามดปลวกตรงหน้าจะต้องกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ามนุษย์กลับวิ่งเข้ามายืนขวางหน้า พร้อมกับชี้ด้ามไม้กวาดใส่หน้ามัน “หยุดนะ! เจ้าหมีโง่ ทำลายกองหิมะของข้าแล้วคิดจะหนีหรือ!” เสียงเล็กแหลมที่ฟังดูก็รู้ว่ายังเป็นเด็กตะคอกเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ฝ่าเท้าใหญ่โตเกือบเท่าตัวของนางหยุดชะงักทันที ดวงตาสีแดงเฉียบคมจับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กเบื้องหน้า เจ้าของร่างยักษ์กำลังชั่งใจว่ามันสมควรจะขบหัวเด็กผู้นี้ แล้วกลืนกินเป็นอาหารดีหรือไม่ “ช่วยข้าเก็บกวาดเดี๋ยวนี้เลย มิเช่นนั้น เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ไปจากที่นี่” *_* นี่มันกำลังถูกข่มขู่? เสวี่ยสงลองหยั่งเชิงด้วยการยกฝ่าเท้าขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะก้าวเดิน เพี้ย! *_* แต่กลับถูกด้ามไม้กวาดตีลงมาบนหลังเท้าของมัน ท่าทางว่าเจ้ามนุษย์หน้าโง่จะยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง ในหัวของหมียักษ์คิดเช่นนั้น แต่การกระทำกลับแตกต่างออกไป โดยที่แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ตัว ฝ่าเท้าใหญ่โตเดี๋ยวยกเดี๋ยววางสลับกันไปมา เพื่อหลบด้ามไม้กวาด หนึ่งหมีหนึ่งคนราวกับเล่นไล่จับ เมื่อตีไม่โดนเสียที เด็กหญิงก็เริ่มโมโห “เจ้า! อยู่นิ่งๆ” เยว่ลู่ยืนชี้ไม้กวาดไปยังปลายจมูกของหมียักษ์ด้วยใบหน้างอง้ำ พอมันเผลอหยุดนิ่งเพื่อมองดูนาง ด้ามไม้กวาดในมือก็ตีลงไปที่หลังเท้าของมันทันที “ฮะๆ” พอเอาชนะผู้อื่นได้ เด็กหญิงก็หัวเราะร่า การเสียรู้ครั้งนี้ทำให้เสวี่ยสงหรี่ตามองมนุษย์ตัวเล็กจ้อยเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด เพียงแค่มันยกเท้าเหยียบลงไป เจ้าตัวโง่งมผู้นี้ก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อทันที แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด มันจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น กระทั่งได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายดังขึ้นในหัว หมียักษ์จึงจำต้องตัดใจจากเจ้าตัวดี เพื่อไปหาผู้เป็นนาย การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กว่าที่เยว่ลู่จะทันรู้ตัว ภายในลานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว ในท้องพระโรงใหญ่ ผู้คนกว่าสี่สิบชีวิต มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มีเพียงชายชราผมเผ้าขาวโพลนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มรกตสูงเท่าบันไดสิบห้าขั้นเท่านั้นที่ยังมีใบหน้าสงบนิ่ง ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องไปยังประตูทางเข้าอย่างรอคอย จนกระทั่งร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำสาวเท้าผ่านประตูเข้ามา หมวกคลุมถูกปัดออกจากศีรษะให้ตกลงไปห้อยอยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มวัยยี่สิบ ฝ่าเท้าก้าวอย่างมั่นคงไปบนพื้นหินอ่อนมันวาว ผ่านหน้าขุนนางที่ยืนอยู่สองฟากข้างอย่างช้าๆ กระทั่งหยุดห่างจากบัลลังก์ไปสิบก้าว เสวี่ยตงฟ่าน คุกเข่าข้างหนึ่ง ยกกำปั้นแตะที่อก ก้มหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงดังฟังชัด “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “ลุกขึ้นเถิด” “ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสิบสี่ไม่รอช้า หลังจากที่ลุกขึ้นยืน ก็กราบทูลเรื่องสำคัญทันที “ตามที่กระหม่อมได้ส่งสารรายงานมา ว่าพบอสูรธาตุอัคคีอาละวาดในเมืองเทียมฟ้า เวลานี้กระหม่อมทราบแล้วว่าอสูรตนนั้นคือเผ่าพันธุ์ใด มันคือมังกรอัคคี พ่ะย่ะค่ะ” “อ่า” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่องค์ชายสิบสี่รายงานจบ ไม่รอให้ทุกคนได้ทันหายตกใจ เสวี่ยตงฟ่านก็เรียกกล่องเหล็กออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเปิดฝาให้ทุกคนได้ดู และทันทีที่ฝาถูกเปิดออก ความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว “นี่คือเกล็ดของมันพ่ะย่ะค่ะ” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นเกล็ดในกล่อง ก็รู้ได้ว่ามันเป็นของจริง นี่แค่เกล็ดขนาดเท่าฝ่ามือยังมีพลังถึงขนาดนี้ แล้วเจ้าของมัน จะมีพลังขนาดไหน บรรดาขุนนางต่างพากันหันไปมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป็นตาเดียว เพื่อรอการตัดสินพระทัย องครักษ์ที่ยืนด้านซ้ายของบัลลังก์เดินลงมารับกล่องจากองค์ชายสิบสี่เพื่อนำไปถวายแด่องค์จักรพรรดิ ให้ทรงทอดพระเนตร ภายใต้แพขนตาสีขาวโพลน ดวงตาสีเทาส่องประกายเจิดจ้า พินิจเกล็ดสีแดงส้มในกล่องอย่างละเอียด “อสูรระดับตำนาน” จักรพรรดิแดนเหนือรับสั่งอย่างเนิบช้า ไร้ท่าทีตื่นตระหนก ซึ่งผิดกับขุนนางด้านล่างที่พากันแตกตื่น สามเดือนก่อนหน้านี้ เมืองเทียมฟ้าได้ส่งสารขอความช่วยเหลือมาที่เมืองหลวง เรื่องสัตว์อสูรออกอาละวาดจนทำให้ภูเขาน้ำแข็งบางส่วนเกิดการละลาย ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากมันละลายจนหมด ทั้งแดนเหนือคงกลายเป็นทะเลสาบ องค์ชายสิบสี่จึงถูกส่งไปสืบสาวราวเรื่องและจัดการกับอสูรตนนั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ องค์ชายกลับส่งสารกลับมา ว่ามิอาจต่อกรกับอสูรตนนั้นได้ และเล่าถึงหายนะที่สัตว์อสูรตนนั้นได้สร้างเอาไว้ แค่จากคำบรรยายในสารก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาขุนนางมากพอแล้ว ยิ่งมารู้ว่าสัตว์อสูรตนนั้นคือมังกรอัคคีระดับตำนาน จะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาจากแถว ยกกำปั้นชิดอกค้อมศีรษะเล็กน้อย ทูลถามด้วยความร้อนรน “ฝะ..ฝ่าบาท ควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ หากปล่อยเอาไว้ ดินแดนเหนือคงไม่เหลือซากเป็นแน่ พ่ะย่ะค่ะ” องค์จักรพรรดิกวาดพระเนตรไปรอบท้องพระโรง ก่อนจะรับสั่งเสียงดังกังวาน “องค์ชายสิบสี่รับบัญชา” “พ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยตงฟ่านยกกำปั้นชิดอก “จงจัดทัพใหญ่ไปปราบมังกรไฟตนนี้ให้สิ้นซาก!” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วยาม กองกำลังเรือนแสนก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูเมืองจนมืดฟ้ามัวดิน บนกำแพงเมือง ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมหนังสัตว์กันหนาวยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังทหารนับแสนด้วยแววตาสงบนิ่ง เยื้องไปเบื้องหลังครึ่งก้าวมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กยืนอยู่ ดาบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังของคนผู้นี้ส่องประกายเจิดจ้า ทั้งสองคล้ายกำลังรอการมาถึงของใครบางคน “งานนี้พวกเราคงต้องใช้ทาสเป็นตัวล่อ” องค์ชายสิบสี่กล่าวโดยไม่ได้หันกลับไปมองคนเบื้องหลัง “จำนวนเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ” “สักพันคน” “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้” ดินแดนเหนือ อาณาเขตที่แสงอาทิตย์ส่องมาไม่ทั่วถึง บรรยากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยหิมะพร่างพรายอยู่ตลอด เวลานี้ก็เช่นกัน เสวี่ยตงฟ่าน หงายฝ่ามือขึ้นรองรับเกล็ดหิมะที่กำลังจะตกลงมา ท่าทางของชายหนุ่มสงบนิ่งไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าองค์ชายสิบสี่จะไม่ใช่รัชทายาท แต่กลับเป็นโอรสที่มีนิสัยใจคอคล้ายองค์จักรพรรดิมากที่สุดในกระบวนองค์ชายทั้งหมด และที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นอาจารย์เวทย์ระดับสูง ศึกครั้งนี้คือศึกชี้ชะตาของแดนเหนือ การต่อสู้กับอสูรระดับตำนานหาใช่เรื่องง่าย หากทำไม่สำเร็จ ดินแดนที่ถูกขนานนามว่าทุ่งหญ้าขาวแห่งนี้ คงได้จบสิ้น หน้าประตูพระราชวัง ทาสที่พึ่งเลิกงานกำลังทยอยกลับบ้าน มนุษย์เหล่านี้มีทั้งชายและหญิง เป็นชนชั้นระดับล่างสุดที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง เมื่อไม่มีธาตุติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ จึงต้องใช้ชีวิตอย่างทาส งานในพระราชวังอย่างงานเบาจะมีทาสที่ถูกฝึกอบรมดูแลอยู่แล้ว ส่วนงานหนักๆ จะจ้างทาสจากข้างนอกมาทำ อย่างกวาดหิมะ ผ่าฟืน คนเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกพระราชวังส่งเดช ทุกคนถูกจัดให้เข้าออกตามเวลา โดยมีทาสหัวหน้างานเป็นคนดูแล เยว่ลู่คือหนึ่งในนั้น เด็กหญิงหย่อนก้อนผลึกสีม่วงขุ่นระดับต่ำสุดใส่ไว้ในถุงข้างเอว นั่นคือค่าแรงของนางวันนี้ พอก้าวพ้นประตู สองขาเล็กก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว จนเสื้อคลุมกันหนาวที่มีรอยปะชุนปลิวไสว ร่างเล็กวิ่งฝ่าหิมะที่เริ่มจะตกหนักขึ้น เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามตรอกซอกซอย จนกระทั่งถึงบ้านอิฐที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ นางรีบผลักประตูเข้าไปเพื่อหลบเลี่ยงความหนาว เสื้อคลุมเปียกชื้นถูกถอดออกจากร่างพาดไว้บนโต๊ะ ก่อนที่เด็กหญิงจะสาวเท้าไปยังเตาผิง “กลับมา แทนที่จะทักทายบิดาก่อน แต่เจ้ากลับเห็นเตาผิงสำคัญกว่าข้า ช่างน่าน้อยใจนัก” น้ำเสียงตัดพ้อดังขึ้นเบื้องหลัง แต่เยว่ลู่ไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าของเสียงกำลังเสแสร้ง เด็กหญิงจึงเลือกเอ่ยเรื่องสำคัญแทน “ข้าวาดแผนที่ในพระราชวังเสร็จแล้ว” ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มวัยราวยี่สิบแปด รีบหยิบเสื้อคลุมที่เด็กน้อยถอดพาดไว้บนโต๊ะมากางดู ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง กล่าวชมไม่ขาดปาก “ฮ่าๆ เก่งมาก เยว่เอ๋อบ้านเราเก่งจริงๆ” “ไม่ต้องมาชมเลย ท่านอย่าได้ลืมส่วนแบ่งของข้า” “ไม่ลืมๆ บิดาผู้นี้รับรองด้วยเกียรติอันสูงส่ง” วาจากลิ้งกลอกของบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา ทำให้เยว่ลู่ ต้องกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้ หันกลับมาแค่นเสียงใส่ “เฮอะ! อย่างท่านไปมีเกียรติตั้งแต่เมื่อใด? !” “บร๊ะ! นังเด็กคนนี้นี่ เจ้าจะยอมลงให้ข้าบ้างมิได้เชียวหรือ!” เฉียนอ้าวกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก สายตาไม่ละไปจากแผนที่ ร่างเล็กลุกจากเตาผิง สาวเท้ามานั่งเก้าอี้ด้านข้าง ชี้นิ้วไปยังจุดสีแดงบนแผนที่ที่วาดอยู่บนเสื้อคลุม “นี่คือหอสมบัติ ที่นั่นไม่ได้ใช้ทหารเฝ้ายาม ข้าสืบมาแล้ว ชั้นนอกเป็นค่ายกลเวท ส่วนหน้าประตูห้องเก็บสมบัติล้ำค่ามีอสูรร้ายสองตัวเฝ้าอยู่ ท่านพ่อ ท่านคิดว่าจะผ่านเข้าไปได้หรือ” “หึหึ เดี๋ยวเจ้าก็รู้” เฉียนอ้าวหัวเราะในลำคอ แววตาแฝงความเจ้าเล่ห์ สองพ่อลูกแซ่เฉียนคู่นี้ อาชีพหลักคือนักต้มตุ๋น ทั้งยังเป็นหัวขโมยตัวฉกาจ ฉากหน้าแสร้งอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเหมือนชนชั้นทาสทั่วไป แต่แท้จริงแล้ว ซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมายหลายแห่ง ด้วยความที่เป็นคนหัวไว และมีความจำเป็นเลิศ เยว่ลู่จึงเป็นนกต่อให้บิดามาตั้งแต่จำความได้ งานแรกของนางเริ่มเมื่อตอนอายุสี่หนาว คือการหลอกชิงตำราเวทมาจากนักเวทย์ระดับสูง และตั้งแต่บัดนั้น เด็กน้อยก็เริ่มทำงานใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงงานนี้ ยังไม่ทันที่สองพ่อลูกจะได้ปรึกษาหารือถึงเรื่องแผนการ ประตูบ้านก็ถูกเคาะ เฉียนอ้าวรีบตลบเสื้อคลุมพาดไว้ดังเดิม นิ่วหน้ามองไปยังบานประตู “ที่นี่คือบ้านของทาสแซ่เฉียนใช่หรือไม่” เสียงดังกังวานที่แฝงพลังเช่นนี้ เฉียนอ้าวฟังแล้วรู้ทันทีว่าแขกที่มาเป็นทหาร ชายหนุ่มรีบปรับสีหน้าท่าทางเป็นทาสชั้นต่ำผู้นอบน้อม ลากขาข้างหนึ่งคล้ายคนพิการ ค่อยๆ ก้าวเท้าไปเปิดประตู “อ่า ใช่ขอรับ นายท่าน” เฉียนอ้าวค้อมกายด้วยท่าทางหวาดกลัว ไร้พิรุธ ทำให้ทหารที่มาต้องหรี่ตามองไปยังขาข้างหนึ่งของเขา “เจ้าขาพิการหรือ?” “ขอรับ พอดีว่าหน้าหนาวปีนั้น ข้าน้อย” “พอๆ ไม่ต้องสาธยาย” ทหารหนุ่มใบหน้าเข้มรีบเอ่ยตัดบท ก่อนจะมองผ่านร่างสูงเข้าไปในตัวบ้าน “ในบ้านเจ้ายังมีทาสหญิงนาม เยว่ลู่ อยู่ใช่หรือไม่” “ใช่ขอรับ นางเป็นบุตรสาวของข้าน้อยเอง” “ดี องค์ชายสิบสี่มีรับสั่งจ้างงานทาสชั้นนอกจำนวนพันคนให้ไปทำงานในกองทัพที่กำลังจะเดินทางไปเมืองเทียมฟ้า คำสั่งนี้มิอาจขัดขืนได้ ผู้ที่มีรายชื่อจำเป็นต้องไปทุกคน เพราะฉะนั้นบอกให้บุตรสาวของเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าไปรายงานตัวที่หน้าประตูเมือง
เมื่อกะเทยควายกลายเป็นฮูหยิน
“อยากมีผัวโว้ยยยยยยย!” ผั้ว! “โอ๊ย! อิเจ้! ตบทำไมเนี่ย เจ็บนะ!” “สัส! เมิงจะตะโกนหาอะไร ลูกค้ากูตกใจหมด!” “ก็หนูอยากมีผัวนี่” “นี่อีโบ๊ะ! เมิงช่วยดูสาระร่างตัวเองหน่อยได้ไหม ผู้ชายที่ไหนจะมาเอาเมิง!” “อิศักด์ชัย กุชื่อโบรชัวร์” “เอ้า! อินี่ เรียกชื่อจริงกุอีก เดี๋ยวเอาทุเรียนตบหน้าแม่ม” สมบูรณ์เบ้ปากใส่เพื่อนสาวชาวสีม่วง ก่อนจะนั่งมองผ่านกระจกร้านเสริมสวยออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อดูเด็กหนุ่มมหาลัยที่กำลังจับกลุ่มคุยกันต่อ กะเทยร่างใหญ่วัยสามสิบกว่าได้แต่นั่งน้ำลายไหล เดี๋ยวก้มมองตัวเอง เดี๋ยวเงยมองหนุ่มๆ ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ “ถ้ามีเงินเมื่อไหร่นะ มึ้งงงง! กุจะไปเกาหลี ผ่าให้หมด ฮึ!” “บ่นเชี้ยไรอีกอีโบ๊ะ” “โฮ่ว! อิเจ้ บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชื่อโบ๊ะ ไม่ได้ชื่อโบ๊ะ!” “เออ อิสมบูรณ์” “อิ! เจ้! ฮือๆ ชอบทำร้ายน้อง” “เชี้ย! ไม่ต้องมาตอแหลทำสุ้มเสียงแบบนั้น กุขนลุก” “ชิส์!” โบ๊ะ สะบัดหน้ากลับไปมองหนุ่มๆ เหมือนเดิม ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเจ้าของร้านทำผม ชีวิตของสมบูรณ์หรือโบ๊ะ ก็ไม่มีอะไรมาก ขายน้ำเต้าหู้ตอนเช้า นั่งไถโทรศัพท์ตอนสาย พอตกบ่ายก็มารวมตัวกับชาวแก๊งชะนี ห. ไฟเบอร์อยู่ในร้านเสริมสวยของเจ๊หนูอดีตกะเทยนางแบบ ด้วยความที่มีจุดด้อยในเรื่องร่างกาย เพราะเป็นคนร่างใหญ่ เลยได้ฉายาที่หนุ่มๆ ตั้งให้ว่า กะเทยควาย แต่สาวโบ๊ะก็มุมานะที่จะเป็นเมียเบอร์หนึ่งของผู้ชายสักคนให้ได้ ด้วยการเป็นแม่ศรีเรือนที่เก่งทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องทำอาหาร ไปจนถึงงานบ้านงานเรือน แต่ที่โบ๊ะชอบมากที่สุด คือ ดูหนังจีน ซี่รี่ย์จีน ติดถึงขั้นต้องดูทุกวัน อย่างแรกเลยคือชอบผู้ชายผมยาวใส่เกราะ “ว้ายยย! ผัวมาแล้ว อร๊ายยย หล่อสุด ดูๆ อิเจ้ อิเชอรี่ ดูๆ ใส่เกราะแล้วน่าเลียชะมัด ท่านอ๋อง สามี ว๊าว น้องจะรอท่านพี่เจ้าค่ะ อุ๊ยยย! เขิลลลลลล” พอเพื่อนสาวกับลูกค้าในร้านทำผมเห็นกะเทยร่างใหญ่กรี๊ดกร๊าดซ้ำยังยกสองมือปิดหน้าปิดตาราวกับสาวน้อยขี้อาย ก็ได้แต่พากันส่ายหน้าด้วยความตลกขบขัน และเหตุผลอีกอย่างที่โบ๊ะชอบดูหนังจีน เพราะนางเอกมีรูปร่างเล็ก ไว้ผมยาวใส่กระโปรงพริ้วๆ ด้วยความที่อยากเป็นเหมือนนางเอกในหนัง โบ๊ะถึงขั้นเก็บไปฝันอยู่หลายครั้ง ว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้หญิงสวมชุดจีนโบราณ “เบาได้ เบา เมิง! อย่าเสือกเลียจอทีวีกุเหมือนคราวที่แล้วอีกล่ะ เดี๋ยวไฟช็อตตายห่า!” พรึบ! “ว้าย!” เจ๊หนูพูดไม่ทันขาดคำ ไฟทั้งร้านก็ดับพรึบลง พอทุกคนหันมาอีกที คนที่พึ่งจะกรี๊ดกร๊าดเมื่อครู่ก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงอ “เชี้ย! อิโบ๊ะ!!!” รัชศกถงชิ่งปีที่ 13 ด้วยความที่ฮ่องเต้มีราชโองการให้กวาดล้างขุนนางโกงกิน ทำให้หน่วยประจิมจับกุมยึดทรัพย์ขุนนางหลายคน ทั้งผิดจริงและไม่จริงตามใจชอบ เรียกว่าขุนนางคนไหนที่เคยว่าร้ายในตอนที่หน่วยประจิมตกต่ำต้องโดนก่อนเป็นรายแรกๆ และตระกูลฉวีของรองเสนาบดีฉวีซู่หาน คือตระกูลแรกที่โดนเล่นงาน โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะแก้ตัว ครอบครัวถูกยึดทรัพย์ อดีตขุนนางขั้นสามฆ่าตัวตายในคุก ฮูหยินฉวีตรอมใจตาย ทิ้งบุตรีในวัยปักปิ่นให้สู้ชีวิตเพียงลำพัง เดิมที ฉวีมี่อิงมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นถึงบุตรชายท่านโหว แต่เมื่อครอบครัวล่มสลาย ฝ่ายชายกลับถอนหมั้นอย่างไม่เหลือเยื่อใย เด็กสาวที่เป็นเพียงลูกคุณหนูจึงสิ้นหวังจนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย อยู่ๆ ร่างบอบบางที่กำลังจมลงก้นบึ้งของทะเลสาบ ก็พุ่งทะยานขึ้นจากใต้น้ำอย่างรวดเร็ว พอใบหน้าขึ้นสู่ผิวน้ำได้ ก็รีบตะเกียกตะกายกลับเข้าฝั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะหายใจสะดวก เส้นผมก็ถูกกระชากอย่างแรง “นี่! นางมี่อิงคิดตายหนีหรือไร กินนอนบ้านข้าไปตั้งเยอะแล้ว ไม่คิดตอบแทนหรือไร หา! นางคนเนรคุณ!” โบ๊ะมองหน้าเด็กสาววัยราวสิบสี่สิบห้าที่กำลังจิกผมตัวเองด้วยความตกตะลึง ลืมความเจ็บปวดบนหัวไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ยังยกนิ้วจิ้มไปข้างแก้มของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เพี้ย! “เอามือโสโครกของเจ้าออกไป เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้กล้ามาแตะต้องตัวข้า!” พอได้ยินเช่นนั้น โบ๊ะก็เหมือนจะเริ่มตั้งสติได้ เมื่อเส้นผมเป็นอิสระ จึงหันไปมองรอบๆ “เชี้ย! ฝันอีกแล้วเหรอวะ เหมือนจริงฉิบหาย!” เด็กสาวร่างกายเปียกปอนรีบก้มมองตัวเอง ก่อนจะลุกมาหมุนตัว ปากก็พร่ำพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้คนแถวนั้นฟังไม่เข้าใจ ด้วยความที่คิดว่าฉวีมี่อิงอาจโดนผีเข้า เด็กสาวที่พึ่งจิกผมนางเมื่อครู่พร้อมสาวใช้และคนงานในบ้านที่พากันมาออกมาตามหา จึงพากันถอยหลังไปยืนรวมกัน “จะ..เจ้า!” แต่อยู่ดีๆ ร่างบอบบางที่กำลังยิ้มร่าชื่นชมชุดกับรูปร่างของตัวเองก็ล้มลงหมดสติ ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของโบ๊ะจนทำให้เจ้าตัวสลบไสล ฟื้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนตั่งในห้องเก็บของบ้านตระกูลสายรองแล้ว โบ๊ะไม่ค่อยแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ ต้องเรียกว่าดีใจจนเนื้อเต้นจะดีกว่า หนังจีนเอย ซีรี่ย์จีนเอย นิยายจีนเอย ทั้งดู ทั้งอ่านมามากมาย จนพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างมันเหมือนกับในความฝัน ที่โบ๊ะมักจะฝันเห็นอยู่บ่อยๆ เจ้าตัวเลยออกอาการกระดี๊กระด๊า มากกว่าตกใจ “ตอนนี้ฉันคือมี่อิง ฮะๆ ว้าย ยังงี้ก็หาผัวได้แล้วสิ ฮี่ๆ นี่ถ้าอิเจ้ กับอิเชอรี่มาเห็นนะ อิจฉาตายเลย” พอนึกถึงเพื่อนๆ ขึ้นมา โบ๊ะก็นึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองมาที่นี่ เพราะเผลอไปเลียจอทีวีของเจ๊หนูเข้าเลยถูกไฟดูดตาย ช่างเป็นการตายที่น่าสังเวชโดยแท้ “เฮ้อ! ช่างเถิด คิดไปก็เท่านั้น ถือว่าได้เกิดใหม่ก็แล้วกัน ตั้งหน้าตั้งตาหาผัวดีกว่า หึหึ” ใบหน้างามยกยิ้มเจ้าเล่ห์ นั่งเพ้อฝันอยู่พักใหญ่ ถึงได้ดึงสติตัวเองกลับมา ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ ห้องอย่างสำรวจ นึกไปถึงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต คุณหนูฉวีก็มาอยู่กับญาติฝั่งบิดาที่มีแซ่เดียวกัน เมื่อก่อนท่านพ่อของนางเคยให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำชูตระกูลฉวีสายรองนี้จนได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตาและมีฐานะมั่นคง แต่เหมือนว่าคนพวกนี้จะไม่สำนึกบุญคุณ หลังจากที่ต้องจำใจรับฉวีมี่อิงเข้ามา เพราะเกรงจะถูกชาวบ้านนินทา ก็ให้นางนอนในห้องเก็บของเล็กๆ ที่มีเพียงตั่งกับเสื่อผืนหมอนใบและผ้าห่มเก่าๆ ยิ่งพอนางถูกถอนหมั้นจาก ตงว่านไจ๋ บุตรชายท่านโหว ก็ยิ่งถูกคนในจวนรังเกียจ ฐานะของฉวีมี่อิงในจวนตระกูลฉวีสายรองแย่ยิ่งกว่าสาวใช้ระดับล่างสุดเสียอีก ทั้งต้องทำงานหนัก อดมื้อกินมื้อ จากรูปร่างที่เคยสมส่วน มาอยู่ที่นี่เพียงเดือนเดียว ก็กลายเป็นผอมแห้งจนชุดที่สวมใส่หลวมโพรก ก่อนหน้านั้นที่นางอดทน เพราะคิดว่าไม่นานก็จะได้แต่งเข้าตระกูลท่านโหว แต่พอรู้ว่าตังเองถูกถอนหมั้นก็เลยกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่สาวโบ๊ะมีหรือจะสนใจเรื่องชีวิตบัดซบพวกนั้น สองขารีบก้าวออกจากอย่างว่องไว พอเจอกับบ่อเลี้ยงปลาก็เร่งสาวเท้าเข้าไปทันที ถึงแม้ว่าเงาในน้ำจะเลือนรางมองเห็นไม่ค่อยชัดนัก แต่รูปร่างหน้าตาของเด็กสาวที่เห็น ก็สวยยิ่งกว่าในหนัง ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟัน เวลานี้ในหัวกระเทยแปรรูปมีเพียงสองคำเท่านั้น คือ หาผัว
ตำนานรักธิดาสายฟ้า
"อืม.. ถ้าทำอะไรตอนนี้ เจ้าตัวคงไม่รู้หรอก หึหึ" โจจื่อเสียนมองร่างสมส่วนของบุรุษบนเตียงด้วยสายตาหื่นกระหาย มุมปากยกยิ้มชั่วร้าย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนอนตาลอยก็ยิ่งชอบใจ ฝ่ามือลูบไล้ผิวเนียนละเอียดบนแผ่นอกกว้างไปมา "เนียนจริง ลื่นมือชะมัดเลย ฮี่ๆ" เด็กสาวหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ในหัวคิดแผนกลั่นแกล้งผู้อื่นเอาไว้เป็นฉากๆ นิ้วเรียวจิ้มลงบนรอนหน้าท้องแกร่งทีละลูก อดไม่ได้ต้องโน้มตัวลงไปกัดเสียหลายที คุณหนูโจมัวแต่สนุกอยู่กับการรังแกร่างกายผู้อื่น จนไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของอีกคน ที่ยามนี้มันเปล่งประกายระยิบระยับ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่กำลังโดนสะกดเลยสักนิด และหากโจจื่อเสียนมองต่ำลงไปอีกหน่อย ก็คงจะได้รู้ว่าร่างที่ตนเองกำลังกั่นแกล้งนั้น อวัยวะบางส่วนได้ตื่นเต็มตัวแล้ว จู่ๆ ร่างบอบบางก็ถูกพลิกมาเป็นฝ่ายอยู่ล่างอย่างไม่ทันตั้งตัว โจจื่อเสียนกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความประหลาดใจ "นะ..นี่ท่านไม่ได้ถูกสะกดจิตหรือ?" อีกฝ่ายส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะมองสำรวจเนินอกที่โผล่พ้นมาเกือบครึ่งเต้า "มะ..มองอะไร!" โจจื่อเสียนรีบยกสองมือปิดบังสองเต้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพราะสายตาอีกคนมันไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ท่าทางของเด็กสาวทำให้มุมปากของหนานเฟิ่งหวงกดลึกขึ้นไปอีก เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่ได้สังเกตว่าชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนตัวนี้มันรัดรูปเสียจนเห็นส่วนสัดชัดเจนถึงเพียงนี้ "เสียนเอ๋อ พวกเราเป็นสามีภรรยากันมิใช่หรือ" ฝ่ามือหนาจับข้อมือบางออกจากทรวงอก มากดไว้เหนือศีรษะ "พี่เฟิ่งว่าพวกเราควรเข้าหอได้แล้วกระมัง"
ไครว่าค่าโง่งม-ภาค-2
โครม! ซ่า! "ว้ายยย!" สภาพหญิงสาววัยสามสิบกว่าที่ยืนอยู่ข้างตึกสูง เปียกปอนไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นเหม็น ลูกตาดำสองข้างกลอกไปมาคนละทิศละทาง จากนั้น.... "บ้าเอ๊ย! สาดลงมาได้ไงเนี่ย! ไม่นึกถึงคนข้างล่างบ้างหรือไงห๊ะ! ถือว่าอยู่สูงกว่าเหรอไง!" คำด่าทอหยาบคายจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังตามมา ปิงปิงหญิงสาวขาพิการข้างหนึ่ง ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการส่งผักในตลาด ชีวิตลำบากไม่ใช่น้อย มิหนำซ้ำลูกตาดำทั้งสองข้างยังไปคนละทิศละทาง แม้ร่างกายจะพิการแต่ปิงปิงก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และไม่เคยไปขอใครกิน เธอสู้อดทนทำงานทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ชีวิตของเธอก็เหมือนจะยังลำบากไม่พอ ผักที่พึ่งไปแบ่งรับจากสวนมาได้เพียงตะกร้าเดียว ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำถูพื้น เพราะถูกผู้ที่พักอาศัยบนตึกสาดทิ้งลงมาข้างล่าง หญิงสาวเดินลากขาด้วยความหงุดหงิด ปากก็ก่นด่าคำหยาบคายออกมาไม่หยุด ตรงไปยังตีนสะพานข้ามแม่น้ำ จ๋อม ๆ เสียงดังมาจากริมน้ำทำให้ปิงปิงต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปดู "เฮ้อ! ไอ้หมาน้อยเอ๊ย! ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามจังห๊ะ!" ถึงปากจะบ่น แต่เธอก็ยังวางตะกร้าผักลง พยายามเอื้อมมือไปดึงลูกสุนัขที่ตกลงไปในแม่น้ำอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่ขาข้างหนึ่งไม่สมประกอบ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างเล็กร่วงลงไปในแม่น้ำ พร้อมๆ กับสองมือที่คว้าจับลูกสุนัขได้ ปิงปิงรู้ว่าหากไม่มีคนมาช่วยเธอคงต้องตายแน่ๆ จึงตัดสินใจโยนลูกสุนัขขึ้นไปบนฝั่ง สองขาพยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อถีบตัวขึ้นเหนือน้ำ แต่ไม่นานก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ร่างของปิงปิงค่อยๆ จมดิ่งลงไปใต้น้ำ ชีวิตที่ไม่มีห่วงกังวล ย่อมไม่กลัวที่จะตาย สำหรับหญิงสาวพิการที่อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กอย่างปิงปิง สิ่งที่เธอต้องการเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ "ถ้าหากพระเจ้ามีจริง เกิดชาติหน้าฉันขอมีชีวิตดีๆ กว่านี้ได้ไหม ขอร้อง~" สำนักเซียนฉือคุน การคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักเซียนในปีนี้ ผ่านมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว ด่านนี้เรียกว่าด่านทดสอบจิตใจ ว่ากันว่าผู้ที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์จะไม่มีทางผ่านด่านนี้ไปได้ และหากไม่ผ่านการทดสอบในด่านนี้ ที่ผ่านมาอีกสองด่านก็นับว่าสูญเปล่า สำนักฉือคุนนับเป็นหนึ่งในสามสำนักเซียนที่มีชื่อเสียงในดินแดน การทดสอบรับศิษย์ของสำนักฉือคุนในปีนี้ นับว่าเป็นปีที่มีผู้มาเข้ารับคัดเลือกมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเด็กสาว เพราะมีศิษย์เอกที่สร้างชื่อให้สำนักอย่าง หงซาน ที่ได้รับฉายาเพลิงปราบมารเมื่อปีที่แล้ว ศิษย์เอกสำนักฉือคุนผู้นี้ นอกจากจะเก่งกล้าสามารถแล้ว ยังหล่อเหลาจนเป็นที่เลื่องลือและยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาว และหนึ่งในนั้นก็มีบุตรสาวเซียนอย่างอวี้ถิงรวมอยู่ด้วย เดิมทีอวี้ถิงผู้นี้ไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักไหนเลยก็ได้ เพราะตระกูลของนางถือเป็นตระกูลเซียน และเด็กสาวผู้มีสายเลือดเซียนผู้นี้ยังค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไม่น้อย แต่ที่นางตัดสินใจมา เพราะต้องการใกล้ชิดศิษย์เอกสำนักฉือคุน ในเขตอาคมขั้นสูง ผู้ที่มารับคัดเลือกต้องต่อสู้กับภาพหลอนในจิตใจของตัวเอง ส่วนลึกในจิตใจคิดนึกอะไรมันจะปรากฎเช่นนั้น โดยมีเหล่าผู้อาวุโสสำของนักคอยมองผ่านกระจกมิติ แต่ยังมีบางจุดที่กระจกส่องไปไม่ถึง จู่ๆ ร่างเด็กสาวนอนแน่นิ่งตาเหลือกค้างก็ลุกนั่งพรวดพราดรีบหายใจโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย พอเริ่มมีสติกลับคืนมา ดวงตากลมโตกำลังจะมองสำรวจตัวเอง แต่.. "โหว! เป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง เป๋าฮื้อ หมูหัน กุ้งลายเสือ ไก่อบน้ำผึ้ง โว๊ะๆ แพล็บๆ " ปิงปิง ที่เคยเห็นอาหารเหล่านี้แต่ในรูป ถึงกับตาโตเป็นไข่ห่าน เช็ดน้ำลายแทบไม่ทัน โดยลืมมองสภาพตัวเองไปเสียสนิท ร่างบอบบางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโจนใส่โต๊ะอาหารตรงหน้า วาบ! "เหวอ!" ร่างของเด็กสาวที่พึ่งผ่านด่านทดสอบ เซถลาไปล้มทับโต๊ะกรรมการ "โอ๊ย! เจ็บ!ๆๆ" เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณลานกว้าง "อวี้ถิง?" กระทั่งผู้อาวุโสที่ถูกนางล้มทับต้องสะกิดเรียก ปิงปิงมองไปยังคนใต้ร่าง "เฮ้ย!" ดวงตากลมโตเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ ความสับสนมึนงงเริ่มเข้าครอบงำ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่บุตรสาวตระกูลเซียนเป็นตาเดียว ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักคุณหนูอวี้ถิง เด็กสาวผู้มีความงามเป็นหนึ่งผู้นี้ นางไม่เพียงแค่งดงาม พลังยุทธยังถือว่าสูงกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก เสียอย่างเดียว คือนางนิสัยไม่ดี ทั้งยิ่งยโส เอาแต่ใจตัวเอง กดขี่ข่มเหงผู้อื่น แต่ที่ทุกคนยังไม่รู้ก็คือ อวี้ถิงตกตายในด่านทดสอบ เพราะนางไม่เพียงแค่นิสัยไม่ดี แต่ภายในจิตใจมีแต่ความชั่วร้ายซ่อนอยู่ ปิงปิงลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเหลอหลา ตั้งสติอยู่พักใหญ่ "เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่?" เสียงชายชราไว้หนวดเคราเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจแทนที่จะเป็นห่วง เด็กสาวได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ ไม่ใช่ว่าไม่เป็นอะไร แต่ฟังไม่เข้าใจ ด้วยความที่ไม่เคยดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือหนังหา ความคิดเรื่องหลงมิติ ย้อนเวลา ปิงปิงก็เลยไม่มีอยู่ในหัว มิหนำซ้ำก่อนตาย ยังเป็นเพียงแม่ค้าพิการตัวดำ ที่นอกจากทำงานหนักหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยสักอย่าง แถมพอมาตื่นในร่างคนอื่นยังไม่มีความทรงจำของร่างเดิมอีกด้วย เวลานี้ภาพที่ทุกคนเห็นก็เลยเป็นภาพของเด็กสาวที่ยื่นทำหน้าโง่งมอยู่บนแท่นทดสอบ แทนที่จะเป็นเด็กสาวผู้หยิ่งยโส
ใครว่าข้าโง่งม 1
เกิดใหม่? โครม! ซ่า! "ว้ายยย!" สภาพหญิงสาววัยสามสิบกว่าที่ยืนอยู่ข้างตึกสูง เปียกปอนไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นเหม็น ลูกตาดำสองข้างกลอกไปมาคนละทิศละทาง จากนั้น.... "บ้าเอ๊ย! สาดลงมาได้ไงเนี่ย! ไม่นึกถึงคนข้างล่างบ้างหรือไงห๊ะ! ถือว่าอยู่สูงกว่าเหรอไง!" คำด่าทอหยาบคายจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังตามมา ปิงปิงหญิงสาวขาพิการข้างหนึ่ง ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการส่งผักในตลาด ชีวิตลำบากไม่ใช่น้อย มิหนำซ้ำลูกตาดำทั้งสองข้างยังไปคนละทิศละทาง แม้ร่างกายจะพิการแต่ปิงปิงก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และไม่เคยไปขอใครกิน เธอสู้อดทนทำงานทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ชีวิตของเธอก็เหมือนจะยังลำบากไม่พอ ผักที่พึ่งไปแบ่งรับจากสวนมาได้เพียงตะกร้าเดียว ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำถูพื้น เพราะถูกผู้ที่พักอาศัยบนตึกสาดทิ้งลงมาข้างล่าง หญิงสาวเดินลากขาด้วยความหงุดหงิด ปากก็ก่นด่าคำหยาบคายออกมาไม่หยุด ตรงไปยังตีนสะพานข้ามแม่น้ำ จ๋อม ๆ เสียงดังมาจากริมน้ำทำให้ปิงปิงต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปดู "เฮ้อ! ไอ้หมาน้อยเอ๊ย! ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามจังห๊ะ!" ถึงปากจะบ่น แต่เธอก็ยังวางตะกร้าผักลง พยายามเอื้อมมือไปดึงลูกสุนัขที่ตกลงไปในแม่น้ำอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่ขาข้างหนึ่งไม่สมประกอบ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างเล็กร่วงลงไปในแม่น้ำ พร้อมๆ กับสองมือที่คว้าจับลูกสุนัขได้ ปิงปิงรู้ว่าหากไม่มีคนมาช่วยเธอคงต้องตายแน่ๆ จึงตัดสินใจโยนลูกสุนัขขึ้นไปบนฝั่ง สองขาพยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อถีบตัวขึ้นเหนือน้ำ แต่ไม่นานก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ร่างของปิงปิงค่อยๆ จมดิ่งลงไปใต้น้ำ ชีวิตที่ไม่มีห่วงกังวล ย่อมไม่กลัวที่จะตาย สำหรับหญิงสาวพิการที่อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กอย่างปิงปิง สิ่งที่เธอต้องการเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ "ถ้าหากพระเจ้ามีจริง เกิดชาติหน้าฉันขอมีชีวิตดีๆ กว่านี้ได้ไหม ขอร้อง~" สำนักเซียนฉือคุน การคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักเซียนในปีนี้ ผ่านมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว ด่านนี้เรียกว่าด่านทดสอบจิตใจ ว่ากันว่าผู้ที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์จะไม่มีทางผ่านด่านนี้ไปได้ และหากไม่ผ่านการทดสอบในด่านนี้ ที่ผ่านมาอีกสองด่านก็นับว่าสูญเปล่า สำนักฉือคุนนับเป็นหนึ่งในสามสำนักเซียนที่มีชื่อเสียงในดินแดน การทดสอบรับศิษย์ของสำนักฉือคุนในปีนี้ นับว่าเป็นปีที่มีผู้มาเข้ารับคัดเลือกมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเด็กสาว เพราะมีศิษย์เอกที่สร้างชื่อให้สำนักอย่าง หงซาน ที่ได้รับฉายาเพลิงปราบมารเมื่อปีที่แล้ว ศิษย์เอกสำนักฉือคุนผู้นี้ นอกจากจะเก่งกล้าสามารถแล้ว ยังหล่อเหลาจนเป็นที่เลื่องลือและยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาว และหนึ่งในนั้นก็มีบุตรสาวเซียนอย่างอวี้ถิงรวมอยู่ด้วย เดิมทีอวี้ถิงผู้นี้ไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักไหนเลยก็ได้ เพราะตระกูลของนางถือเป็นตระกูลเซียน และเด็กสาวผู้มีสายเลือดเซียนผู้นี้ยังค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไม่น้อย แต่ที่นางตัดสินใจมา เพราะต้องการใกล้ชิดศิษย์เอกสำนักฉือคุน ในเขตอาคมขั้นสูง ผู้ที่มารับคัดเลือกต้องต่อสู้กับภาพหลอนในจิตใจของตัวเอง ส่วนลึกในจิตใจคิดนึกอะไรมันจะปรากฎเช่นนั้น โดยมีเหล่าผู้อาวุโสสำของนักคอยมองผ่านกระจกมิติ แต่ยังมีบางจุดที่กระจกส่องไปไม่ถึง จู่ๆ ร่างเด็กสาวนอนแน่นิ่งตาเหลือกค้างก็ลุกนั่งพรวดพราดรีบหายใจโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย พอเริ่มมีสติกลับคืนมา ดวงตากลมโตกำลังจะมองสำรวจตัวเอง แต่.. "โหว! เป็ดปักกิ่ง หูฉลามน้ำแดง เป๋าฮื้อ หมูหัน กุ้งลายเสือ ไก่อบน้ำผึ้ง โว๊ะๆ แพล็บๆ " ปิงปิง ที่เคยเห็นอาหารเหล่านี้แต่ในรูป ถึงกับตาโตเป็นไข่ห่าน เช็ดน้ำลายแทบไม่ทัน โดยลืมมองสภาพตัวเองไปเสียสนิท ร่างบอบบางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโจนใส่โต๊ะอาหารตรงหน้า วาบ! "เหวอ!" ร่างของเด็กสาวที่พึ่งผ่านด่านทดสอบ เซถลาไปล้มทับโต๊ะกรรมการ "โอ๊ย! เจ็บ!ๆๆ" เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณลานกว้าง "อวี้ถิง?" กระทั่งผู้อาวุโสที่ถูกนางล้มทับต้องสะกิดเรียก ปิงปิงมองไปยังคนใต้ร่าง "เฮ้ย!" ดวงตากลมโตเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ ความสับสนมึนงงเริ่มเข้าครอบงำ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่บุตรสาวตระกูลเซียนเป็นตาเดียว ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักคุณหนูอวี้ถิง เด็กสาวผู้มีความงามเป็นหนึ่งผู้นี้ นางไม่เพียงแค่งดงาม พลังยุทธยังถือว่าสูงกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก เสียอย่างเดียว คือนางนิสัยไม่ดี ทั้งยิ่งยโส เอาแต่ใจตัวเอง กดขี่ข่มเหงผู้อื่น แต่ที่ทุกคนยังไม่รู้ก็คือ อวี้ถิงตกตายในด่านทดสอบ เพราะนางไม่เพียงแค่นิสัยไม่ดี แต่ภายในจิตใจมีแต่ความชั่วร้ายซ่อนอยู่ ปิงปิงลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเหลอหลา ตั้งสติอยู่พักใหญ่ "เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่?" เสียงชายชราไว้หนวดเคราเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจแทนที่จะเป็นห่วง เด็กสาวได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ ไม่ใช่ว่าไม่เป็นอะไร แต่ฟังไม่เข้าใจ ด้วยความที่ไม่เคยดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือหนังหา ความคิดเรื่องหลงมิติ ย้อนเวลา ปิงปิงก็เลยไม่มีอยู่ในหัว มิหนำซ้ำก่อนตาย ยังเป็นเพียงแม่ค้าพิการตัวดำ ที่นอกจากทำงานหนักหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยสักอย่าง แถมพอมาตื่นในร่างคนอื่นยังไม่มีความทรงจำของร่างเดิมอีกด้วย เวลานี้ภาพที่ทุกคนเห็นก็เลยเป็นภาพของเด็กสาวที่ยื่นทำหน้าโง่งมอยู่บนแท่นทดสอบ แทนที่จะเป็นเด็กสาวผู้หยิ่งยโส
ร่านรักฮองเฮา
ข่าวใหญ่ของแคว้นเหลียว ตระกูลคังต้องโทษกบฏ กว่าห้าร้อยชีวิต ตกตายภายในคืนเดียว แม้แต่หมูหมาก็ไม่เว้น ท่ามกลางแสงแดดในยามเที่ยงตรง สตรีผมเผ้ายุ่งเหยิงในชุดกระโปรงสีขาว นั่งอยู่กลางลานประหาร ดวงตากลมโตทอดมองไปไกลอย่างไร้แวว หากสวรรค์ให้โอกาสแก่ข้าอีกครั้ง ข้าขอสาบานจะไม่อ่อนแอเยี่ยงนี้อีก อยู่ ๆ ก็เกิดเมฆดำทมึนปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้าเมืองหลวงแคว้นเหลียว พายุฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ประชาชนที่มารอดูการประหาร ต่างวิ่งหาที่หลบกันจ้าระหวั่น สายลมกรรโชกแรง จนธงที่ปักอยู่รอบๆ ล้มระเนระนาด เปรี้ยง ! ! กลางลานประหาร เสียงฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมกับศีรษะของอดีตฮองเฮาหลุดออกจากร่างด้วยฝีมือเพชฌฆาต ศิลาจารึกห้าร้อยปี ราชโองการของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้นเหลียวส่องแสงเจิดจ้า
กระบี่แม่ลูกอ่อน
กลางหุบเขาพานโฉ ศึกชิงคัมภีร์กระบี่สวรรค์เป็นไปอย่างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นแปดสำนักใหญ่ หรือพรรคเล็ก กระทั่งจอมยุทธที่ห่างหายจากยุทธภพไปหลายปียังหวนกลับมา คัมภีร์สวรรค์ที่หายสาบสูญไปห้าร้อยปี จู่ๆ ก็ถูกค้นพบโดยแม่เฒ่าเก็บผักป่าคนหนึ่ง แม่เฒ่าตาฝ้าฟางขึ้นเขามาเก็บผักป่าไปขายในตลาด วันหนึ่งเกิดไปขุดเจอตำราเล่มเก่าเข้าโดยบังเอิญ จึงเป็นชนวนเหตุให้เกิดการนองเลือดขึ้นในวันนี้ ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายมาเจ็ดวัน ในที่สุดก็ไม่มีใครเหลือรอด เก้าเดือนต่อมา "อุแว้ ๆ" ในกระท่อมติดชายเขา แม่เฒ่าวัยเจ็ดสิบหูตาฝ้าฟางกำลังช่วยล้างเนื้อล้างตัวทารกอย่างชำนาญ ดูก็รู้ว่าเคยกระทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ด้านข้างมีสตรีหน้าตาซีดเซียวนอนอยู่บนแคร่ จับจ้องทารกน้อยไม่วางตา "แข็งแรงดี เสียงร้องดังกังวาน ภายภาคหน้าคงได้เป็นเจ้าคนนายคน" แม่เฒ่าอุ้มทารกมาวางในอ้อมแขนของหญิงสาวบนแคร่ด้วยรอยยิ้ม "เจ้าเตรียมชื่อเอาไว้ให้ลูกหรือยัง" "จิ่นเลี่ยง ลูกชายข้าชื่อ จิ่นเลี่ยง" "อืมดี หนักแน่นสว่างไสว ความหมายดี"
XPlus เกมส์คลั่งรัก
“ถ้านายเห็นว่าดี ก็จัดการไปเลยเบน ฉันขี้เกียจดู” “เบื่ออีกแล้ว?” เบนเลิกคิ้วถาม “อืม” “เมื่อวาน ฉันเห็นนายเข้าไปเล่น XPlus ตั้งนาน ไม่กลับเข้าไปเล่นอีกล่ะ” “ขี้เกียจ” “เฮ้ย ก็เห็นนายไปนัดผู้หญิงคนนั้นว่าจะแต่งกับเธอวันนี้นี่!” “เหรอ ไม่ยักกะจำได้แฮะ” “ไอ้บ้า เกิดผู้หญิงเขาคิดจริงจังขึ้นมาจะทำไง ยิ่งไปเจอผู้หญิงขี้เหงา ช่างฝัน ดีไม่ดี จะคิดสั้นเอานะ” “มันก็แค่เกมจะอะไรกันนักกันหนา บางที คนที่คุยกับฉัน อาจจะเป็นผู้ชายที่นึกสนุกเหมือนฉันก็ได้ ก็แค่สร้างตัวละครผู้หญิงสวยๆ ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนเสียง ฉันทำออกบ่อยไป ผู้หญิงอย่างที่นายพูดถึง ใครจะมาเล่นเกมวะ ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย พวกเราไปขับรถเล่นกันดีกว่า” “จะไปสนามแข่งเหรอ” “อืม” เบนได้แต่ส่ายหน้ามองเพื่อนที่กำลังลุกไปแต่งตัว จะว่าไป เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจพวกอัจฉริยะเท่าไหร่นัก ทีออนมีไอคิวสูงถึงร้อยเก้าสิบกว่า ทั้งยังมีความเก่งทุกด้าน แต่เจ้าตัวกลับเป็นคนขี้เบื่ออย่างรุนแรง เป็นพวกที่อยู่กับที่ไม่ได้ เหมือนว่าสมองของทีออนจะสั่งการอยู่ตลอดเวลา เจ้าตัวเลยไม่เคยอยู่นิ่ง ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องผู้หญิง ผู้ชายอย่างทีออนไม่เคยมีความรัก มีแต่เรื่องเซ็กส์ที่ทำให้เขาพอใจเท่านั้น แต่ผู้หญิงทุกคนที่ได้เข้าใกล้ นิโคไล ทีออน กลับไม่คิดอย่างนั้น ทุกคนต่างต้องการเข้ามาอยู่ในสถานะคนรักของเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตามที
หนึ่งร้อยราตรี
“ฮึก! โธ่ คุณหนูของบ่าว หากชาติหน้ามีจริง ท่านอย่าได้อ่อนแอเยี่ยงนี้อีกนะเจ้าคะ ฮือๆ” เสียงร่ำไห้และคำอธิษฐานของสาวใช้ดังไปถึงนอกประตูจวน บนเส้นทางหน้าประตูสองบานใหญ่ ลมหนาวพัดโชยเอื่อยผ่านร่างโปร่งใสของหญิงงามนางหนึ่ง ที่กำลังยื่นร่ำไห้อย่างเศร้าโศกไม่แพ้คนด้านใน “พี่อิ่นไม่ต้องห่วง หากข้าได้เกิดใหม่ ข้าจะไม่อ่อนแอเยี่ยงนี้อีก” วิญญาณของจวงหวั่นอี้ยืนมองบานประตูด้วยความเจ็บปวด นางไม่ควรหลงรักจวงจิ้งเหยา หากวันนั้นนางเชื่อฟังบิดามารดา ชีวิตคงไม่ต้องมาลำบากเช่นนี้ เคราะห์กรรมและความอกตัญญูของนาง ก็สมแล้วที่ต้องมารับกรรม “เจ้าอยากจะกลับไปแก้ไขมันหรือไม่?” เสียงแหบแห้งหนาวเย็นดังขึ้นทางเบื้องหลัง ทำให้วิญญาณของหวั่นอี้ตกใจจนต้องรีบหันกลับไปมอง ไม่รู้ว่าบุรุษสวมชุดคลุมสีดำมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด ดวงตาสีแดงแลดูเฉยชาไร้อารมณ์คู่นั้นไม่ได้มองมาที่นาง แต่มองไปยังบานประตู “ท่านมาเอาวิญญาณข้าหรือ?” “ข้าถามว่าเจ้าอยากจะกลับไปแก้ไขมันหรือไม่!” ไม่เพียงไม่ตอบ น้ำเสียงเหยียบเย็นยังถามกลับมาอีกครั้ง ในเมื่อตายแล้วจวงหวั่นอี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว “ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องของท่านพ่อ ท่านแม่” นางตอบได้เพียงแค่นั้น วิญญาณก็เหมือนถูกกระชากอย่างแรง “เจ้ามีเวลาเพียงร้อยราตรีเท่านั้น” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่นางได้ยิน
ดั่งสวรรค์สาป
สองเดือนต่อมา ข่าวการตั้งครรภ์ของฮูหยินใหญ่ตระกูลเหวินก็ดังไปทั่วจวน หลังจากนั้นอีกแปดเดือนนางก็ให้กำเนิดทารกหญิงหน้าตาน่ารักน่าชัง ผิวพรรณขาวใส และที่สำคัญทารกน้อยเกิดมาพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง จนแทบจะกลบกลิ่นคาวเลือด นามที่มารดาผู้ให้กำเนิดตั้งให้เมื่อยามได้เห็นใบหน้าเล็กจ้อยเป็นครั้งแรกคือ ฟางเซียน เทพธิดาผู้มีกลิ่นหอม ตระกูลเหวิน เป็นตระกูลพ่อค้าที่มีฐานะปานกลาง หลังจากผู้เฒ่าเหวินจากไป เหวินซ่งเหยาบุตรชายเพียงคนเดียวก็รับหน้าที่ดูแลกิจการของตระกูล ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทำให้ซ่งเหยาในวัยสิบแปดได้หัวใจบุตรีเพียงคนเดียวของนายอำเภอมาครอบครอง หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงปี ก็ได้บารมีพ่อตาส่งให้การค้ารุ่งเรือง ผูกขาดตำแหน่งการค้าส่ง ค้าขายกับวังหลวง แต่พอครบปี นายอำเภอกลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ยังดีที่ความเฉลียวฉลาดของซ่งเหยาทำให้การค้าขายกับวังหลวงมั่นคงจนอยู่ตัวแล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบกลับเป็นฮูหยินที่พึ่งแต่งเข้ามาอย่างฮุ่ยเจิน เมื่อไร้ซึ่งอำนาจของบิดาคอยสนับสนุน นางก็กลายเป็นหญิงไร้ค่าในบ้านสามี หลังจากคลอดบุตรสาวเมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว ฮุ่ยเจินก็ไม่อยากคิดอะไรอีก เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เฝ้าอบรมเลี้ยงดูฟางเซียนอย่างดี สองแม่ลูกไม่เคยที่จะออกไปพบปะกับผู้คนในเรือนใหญ่ พวกนางใช้ชีวิตในเรือนหลังเล็กท้ายจวนสกุลเหวินอย่างสงบ ยังดีที่เหวินซ่งเหยาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำปลดตำแหน่งฮูหยินเอกของนาง แล้วแต่งตั้งอนุสี่ขึ้นมาแทนที่ หรือไม่บางที อาจเพราะยังหวั่นเกรงอิทธิพลของบิดาที่เสียไปของนางก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ถือว่าสถานะของฟางเซียนในตอนนี้ ก็คือบุตรีในภรรยาเอกเพียงคนเดียวของตระกูล เหวิน ที่ลูกสาวอนุไม่มีทางจะเทียบได้ ยิ่งนับวันความงดงามของฟางเซียนก็ยิ่งสร้างความกลัดกลุ้มให้เหวินฮูหยิน โดยเฉพาะกลิ่นกายหอมยั่วยวนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความใจร้ายใจดำและคำหลอกลวงของซ่งเหยา ทำให้ฮุ่ยเจินสั่งสอนบุตรีให้เป็นคนไร้ใจ รักตัวเองให้มาก และอย่าได้มอบใจให้ชายใดครอบครอง เหวินฟางเซียน เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตากลมโตสุกสว่างราวกับแสงของดวงดาวในยามราตรี รูปร่างอรชรอ่อนแอ่น เอวคอดกิ่วรับกับสะโพกกลมกลึงและช่วงขาเรียวยาว ความงามของนางไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นนอกจากมารดาและสาวใช้เก่าแก่ ด้วยความที่มีมารดามากความสามารถ ถึงแม้ฟางเซียนจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็หาใช่หญิงสาวโง่งม เด็กสาวไม่เพียงงดงามเฉลียวฉลาด แต่ยังมีความชำนาญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หมากล้อม เขียนพู่กัน หรือกระทั่งงานเย็บปัก และที่สำคัญที่สุด ฟางเซียนยังเชื่อฟังทุกคำสั่งสอนของมารดา นางสลัดทิ้งเรื่องสี่คุณธรรมสามเชื่อฟังที่สตรีพึงมีไปสิ้น ชั่วชีวิตนี้ไม่หวังพึ่งพาบุรุษ แต่โชคชะตาคงไม่มีทางยอมปล่อยนางไปง่ายๆ ในเมื่อเกิดมางดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน
ยามอิ๋น
ท่ามกลางความมืด ความเคลื่อนไหวบนร่าง ทำให้ข้าคล้ายจะรู้สึกตัวตื่น แต่ก็เหมือนไม่ใช่ ลมหายใจกระเส่าเป่ารดข้างแก้ม บางอย่างที่กำลังชักเข้าชักออกตรงส่วนนั้นของข้า ทำให้รู้สึกเสียวจนร่างกายเหยียดเกร็ง หายใจถี่กระชั้น สองขาถ่างอ้ากว้าง ฝ่ามือร้อนผ่าวเคล้าคลึงอยู่บนสองเต้าอวบอิ่ม บางคราวก็บีบบี้ยอดอกของข้า บางครั้งก็ก้มลงไปดูดเลีย และบางทีก็แหย่ปลายลิ้นเข้ามาในปาก ทั้งชอนไช ทั้งดูดลิ้นของข้าสลับเวียนวนอยู่อย่างนั้น ข้ารับรู้ทุกอย่าง แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับ กระทั่งดวงตาก็ลืมไม่ขึ้น มันเหมือนฝันแต่ก็คล้ายไม่ใช่ฝัน ในหัวของข้ามึนงงสับสน รับรู้เพียงความเสียวซ่านที่คนผู้นั้นมอบให้ ส่วนที่ขยับอยู่ในรูตรงนั้น บางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า จนข้ารับรู้ถึงแรงครูดจากผนังอ่อนนุ่มภายใน กระทั่งมันเริ่มขยับเร็วขึ้นจนกลายเป็นถี่รัว ทำให้ข้ารู้สึกเสียวมาก จนอยากจะกรีดร้อง ลมหายใจทั้งของข้าและของเขาถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มหดเกร็ง "อร๊าาาาา" ข้าไม่รู้ว่าเสียงครางในลำคอที่ได้ยิน เป็นเสียงของใครกันแน่ แต่ที่รู้ คือข้ารู้สึกเหมือนมีบางอย่างแตกกระจายจากภายใน ในรูตรงนั้นบีบรัดสิ่งแปลกปลอมไม่หยุดจนทำให้เจ้าสิ่งนั้นพองตัว ไม่กี่อึดใจก็กระตุกถี่ๆ ก่อนจะปล่อยความร้อนเข้ามาในร่างของข้า ข้าได้ยินเสียงหอบหายใจดังข้างหู ยามที่คนด้านบนทิ้งตัวลงมาทาบทับบนร่างของข้า ข้าเองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน นอนหอบหายใจไม่นาน ข้าก็ไม่รับรู้อะไรอีก ข้าตื่นมาตอนเช้า พร้อมกับความรู้สึกเมื่อยขบและขัดตรงหว่างขา เลือดพรหมจรรย์ทำให้ข้าตกใจกลัวจนน้ำตาไหล แม้ว่าชุดนอนตัวในยังสวมใส่อยู่ครบ แต่ข้าก็ไม่กล้าเรียกสาวใช้อยู่ดี ทุกอย่างมันตอกย้ำว่าค่ำคืนที่ผ่านมา ข้าสูญเสียความบริสุทธิ์ให้ชายใดก็ไม่รู้ ข้ารู้สึกอัปยศจนไม่อยากสู้หน้าผู้คน หญิงงามอันดับหนึ่งอย่างข้า กลับมีราคีเสียแล้ว ข้าควรจะทำอย่างไรดี สมควรจะต้องผูกคอตายหรือไม่ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งเสียใจ ข้าคือเนี่ยซื่อเซียน บุตรีคนเล็กของบ้านตระกูลเนี่ย ที่งามล่มบ้านล่มเมือง ทั้งครอบครัวต่างหวงแหนข้ายิ่งกว่าไข่ในหิน โดยเฉพาะท่านพ่อและพี่ชายทั้งสามของข้า ไหนจะยังมีท่านอาทั้งสองของข้าอีก บุรุษบ้านข้าล้วนเป็นคนมีความสามารถ ท่านพ่อ แม้จะลาออกจากราชการ แต่ก็ยังมีหน้ามีตาในวงสังคมชั้นสูง เพราะความร่ำรวย ท่านอาทั้งสองของข้า คนหนึ่งเป็นแม่ทัพปราบอุดร ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้ และพี่ชายทั้งสาม พี่ใหญ่เป็นจอหงวนอันดับหนึ่ง นามเนี่ยซื่อซาง พี่รองเป็นหนึ่งในเก้าจอมยุทธ ที่ขึ้นชื่อในยุทธภพ นามเนี่ยซื่อโหย่ว และพี่สามของข้าเป็นพ่อค้าหนุ่มที่ร่ำรวยที่สุดและยังเป็นหมอที่เก่งกาจ นามเนี่ยซื่อหวู่ สตรีบ้านข้าก็หาได้ไร้ชื่อ มารดาคืออดีตหญิงงามอันดับสอง เป็นรองเพียงหญิงงามในภาพวาด ส่วนท่านย่าก็เป็นท่านหญิงตราตั้ง จนกระทั่งมาถึงข้า ที่เป็นหญิงงามอันหนึ่งของแคว้นเตี้ยน แต่หลังจากคืนนั้น ความภาคภูมิใจของข้า ก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว เหลือแต่ความอัปยศอดสูจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คน พร้อมกับความสงสัยที่ติดอยู่ในใจ ชายใดกันแน่ที่กล้าบุกรุกจวนสกุลเนี่ยที่เป็นยิ่งกว่าถ้ำเสือ เข้ามาทำเรื่องเช่นนั้นกับข้าถึงในห้องนอน
หม้ายสาวถึงคราวลุย
บทนำ หญิงหม้ายสกุลซู รัชศกเทียนหวายปีที่สี่ หลังจากตี้จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชได้เพียงสี่ปี แปดอำเภอทางเหนือได้เกิดโรคระบาดใหญ่ และเป็นช่วงที่มีการสอบจอหงวนพอดี พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เปลี่ยนหัวข้อในการใช้ทดสอบกระทันหัน ด้วยพระปรีชาของตี้จงฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้บรรดาขุนนางและหมอหลวงนำคำตอบจากบัณฑิตจากทางเหนือมาร่วมกันวิเคราะห์ดู ทำให้ในปีนั้นบัณฑิตยากจนไร้เส้นไร้สายซ้ำยังอายุน้อยอย่างหลิวเผิงคุนได้ตำแหน่งจอหงวนอันดับหนึ่งไปครอง เพราะบทความของบัณฑิตหนุ่มทำให้ราชสำนักสามารถยับยั้งและรักษาโรคระบาดได้ทันเวลา ซึ่งนับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวง ไม่เพียงได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่รองเจ้ากรมเสนาธิการเท่านั้น หลิวเผิงคุนยังพ่วงตำแหน่งราชบุตรเขยด้วยการสมรสกับองค์หญิงสิบหก พระขนิษฐาร่วมอุทรณ์เพียงองค์เดียวขององค์ฮ่องเต้ตี้จงอีกด้วย นับว่ามีอำนาจวาสนาล้นมือ ผ่านไปสี่ปี เวลานี้ทางเหนือได้เกิดโรคระบาดขึ้นอีกครั้ง ราชบุตรเขยหลิวจึงได้รับพระบัญชาให้เป็นตัวแทนพระองค์เดินทางพร้อมคณะหมอเพื่อไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดด้วยตัวเอง สองเดือนต่อมา ในหมู่บ้านเล็กๆ อำเภอถงกวาน "ท่านพ่อ ท่านแม่ ฝากมู่เอ๋อด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะขึ้นเขาไปรวบรวมสมุนไพรสักสามสี่วัน คาดว่าอีกไม่นานโรคระบาดคงมาถึงอำเภอถงกวานของเราเป็นแน่ หากจะหวังพึ่งทางการเกรงว่าจะช้าเกินไป" "ไปเถิดอาเจียว ไม่ต้องห่วงทางนี้ เจ้าเองก็เหมือนกัน ต้องดูแลตัวเองให้ดี" "ลูกสะใภ้ บนเขานั่นหาใช่ที่ปลอดภัย เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ" สองผู้เฒ่าเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ จนซูเจียวต้องปลอบโยนอีกพักใหญ่ ก่อนจะส่งลูกชายวัยสามขวบให้ทั้งสอง "มู่เอ๋ออยู่กับท่านปู่ท่านย่าอย่าดื้ออย่าซนนะรู้ไหม แม่ไปไม่นานหรอก" เด็กน้อยรับคำอย่างว่าง่าย ซูเจียวแบกตะกล้าขึ้นหลัง คว้าเสียมกับคันธนูขึ้นมาถือไว้ในมือสาวเท้าออกจากลานบ้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้นางถึงรู้สึกกังวลจนไม่อยากไป อยู่ๆ น้ำตาของซูเจียวก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หันกลับไปมองภาพพ่อแม่สามีและลูกน้อย ในใจเริ่มรู้สึกลังเล แต่ก็ต้องตัดใจรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ตลอดสี่ปีนับตั้งแต่ที่สามีเสียไป ซูเจียวก็กลายมาเป็นผู้นำครอบครัวไปโดยปริยาย ทั้งหาเงินหาทองเข้าบ้าน ทั้งปรนนิบัติพ่อและแม่สามี ไหนยังต้องเลี้ยงลูกน้อยที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของบิดา ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน ซูเจียวก็ไม่เคยปริปากบ่น เมื่อห้าปีก่อน ซูเจียวในวัยสิบห้าแต่งให้ซูซานหย่งบุตรชายวัยยี่สิบของบ้านสกุลซู ด้วยฐานะครอบครัวของทั้งสองยากจน พิธีแต่งงานเลยจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หนึ่งปีผ่านไปขณะซูเจียวตั้งครรภ์อ่อนๆ ซูซานหย่งจำต้องเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง ตลอดการเดินทาง ซูซานหย่งมักฝากจดหมายกลับบ้านเสมอ จนกระทั่งผ่านไปหกเดือนก็มีโลงศพถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยจดหมายของสหายบัณฑิตที่ร่วมทางไปกับซูซานหย่ง หัวใจซูเจียวแทบจะแตกสลาย สองผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามีอันเป็นที่รัก เกือบจะทำให้ซูเจียวไม่เป็นผู้เป็นคน ยังดีที่นางยังมีลูกชายไว้ดูต่างหน้าถึงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ เจ็ดวันผ่านไป หญิงสาวหน้าตาธรรมดาด้านหลังมีตะกร้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพร บนบ่าแบกเสียมที่ห้อยกระต่ายป่ากำลังมุ่งหน้าลงจากเขาเพื่อกลับเข้าหมู่บ้าน แต่ฝีเท้านางก็ต้องหยุดชะงักลงกระทันหัน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทิ้งของทุกอย่างลงพื้น "ไม่! ไม่นะ! มู่เอ๋อ! ท่านพ่อ! ท่านแม่!" เปลวไฟที่กำลังลุกท่วมหมู่บ้านทำให้ซูเจียวออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ในหัวมีแต่ภาพเมื่อเจ็ดวันก่อน ยิ่งเข้าใกล้เท่าใด ความหวังของซูเจียวก็ยิ่งเหมือนจะเลือนลางลงทุกที ภาพกองกำลังทหารยืนล้อมหมู่บ้านเข้าปะทะสายตา หญิงสาววิ่งกระเซอะกระเซิงพุ่งเข้าไปยังกำแพงทหารโดยไม่สนใจสิ่งใด เพราะซูเจียวย่อมรู้ดี ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น "หยุดเดี๋ยวนี้!" "ปล่อยข้า!" ร่างบอบบางถูกหยุดเอาไว้ด้วยกำแพงทหารไม่ว่าจะนางจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ สองแขนถูกจับไขว่เอาไว้ด้านหลังพร้อมกับร่างทั้งร่างถูกดลงบนพื้นดิน "พวกเจ้าทำอะไรลงไป! ฮึก! ฮือ.. ปล่อยข้า!" "ทำให้นางหุบปาก แล้วจับโยนออกไปซะ! อย่าปล่อยให้เข้ามาเกะกะ ท่านผู้แทนพระองค์กำลังจะมา!" "ม่ายยยย! ฮือๆ มู่เอ๋อ!!!" พลั่ก! ซูเจียวถูกทุบจนสลบ ร่างไร้สติถูกลากขรูดไปกับพื้นดิน เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ผู้แทนพระองค์จำต้องมีคำสั่งเผาคนทั้งหมู่บ้านที่ติดโรคระบาดทิ้งด้วยความจำใจ เพราะไม่อาจปล่อยให้โรคระบาดลุกลามไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นเมืองถงกวานคงกลายเป็นเมืองล้าง โรคระบาดในครั้งนี้นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วมากนัก ซ้ำยังลุกลามอย่างรวดเร็วทั้งยังผู้ติดเชื้อยังตายภายในเจ็ดวัน ทำให้มิอาจใช้แผนเดิมรับมือ ถึงแม้ว่าวิธีการของหลิวเผิงคุนจะแลดูโหดเหี้ยม แต่กลับได้รับคำชื่นชมจากบรรดาราษฎรในแถบภาคเหนือเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากนั้น โรคระบาดก็ไม่ลุกลามอีก สำหรับชาวบ้านที่ไม่ติดเชื้อ หลิวเผิงคุนคือเทพที่ทุกคนพากันยกย่อง แต่สำหรับผู้ที่สูญเสีย ผู้แทนพระองค์ผู้นี้คือปีศาจเลือดเย็น สี่เดือนต่อมา อารามชี เมืองถงกวาน "นั่นหญิงบ้านี่ ท่านแม่ดู" หญิงอ้วนมองตามนิ้วมือของบุตรสาวไปยังร่างสตรีนางหนึ่ง ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะสกปรกมอมแมม แต่หญิงอ้วนก็ยังพอที่จะจำนางได้ "เห? หญิงหม้ายสกุลซู?"
เรือนเร้นกาม
"อุ๊ก อ๊อก" "อู้วววว ซี๊ดดด อมเข้าไปลึก ๆ อย่าให้โดนฟันนะคุณหนู ไม่อย่างนั้นท่านอดข้าวแน่ อ่าาส์" ในเรือนเก่าซ่อมซ่อหลังเล็กท้ายจวนเสนาบดี ชายวัยกลางคนนั่งถ่างขาบนเก้าอี้ เอวกางเกงกองอยู่บนหน้าขา กลางหว่างขามีศีรษะเล็ก ๆ ของเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามปี กำลังอมท่อนเอ็นเข้าไปในปาก "อ่าส์ ซี๊ดดดด อู๊ววว อย่างนั้น ๆ ดี ๆ หากเจ้าทำดี ข้าจะเพิ่มขนมให้อีก ซี๊ดดดด" เรือนแห่งนี้ คือเรือนบุตรีในภรรยาเอกของเสนาบดี เพราะมารดาที่เสียไปถูกใส่ร้ายว่าคบชู้ แต่ด้วยความเกรงกลัวและต้องอาศัยบารมีพ่อตาซึ่งในสมัยนั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ ทำให้เสนาบดีกว้านไม่กล้าที่จะหย่า จึงขับไล่ไสส่งฮูหยินเอก ให้มาพักอยู่เรือนท้ายจวนพร้อมกับลูกในท้อง จนกระทั่งคลอดบุตรสาว พอนางอายุได้หกปีก็ต้องเสียมารดาไป ต้องอยู่ลำพังกับสาวใช้ ด้วยความจงรักภักดีต่อนายหญิง นางยอมหลับนอนกับพ่อบ้าน เพื่อจะได้มีอาหาร และเครื่องนุ่งห่มมาให้คุณหนูตัวน้อยได้กินได้ใช้ จนกระทั่งหน้าหนาวปีที่แล้ว สาวใช้เสียชีวิตลง พ่อบ้านสารเลว เริ่มลวนลามคุณหนูวัยสิบสอง ต้องการให้นางทำหน้าที่บำเรอกามแทนสาวใช้ผู้นั้น เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ หากนางไม่ทำก็จะต้องอดตาย ยังดีที่ร่างกายนางยังไม่โต ถึงได้ทำเพียงแค่ใช้ปาก เด็กสาวผู้อาภัพต้องยอมทำตามด้วยความไม่เต็มใจ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง "โอ๊วววววว ซี๊ดดดดดดดด" "แค่ก ๆ อ๊อก" "กลืนลงไปอย่าให้หกเชียว เลียทำความสะอาดให้ข้าด้วย เร็ว! เดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอกกับนายท่าน" หลังจากปลดปล่อยเหล่าหนานก็รีบออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว กว้านจินซู เป็นถึงคุณหนูใหญ่ แต่กลับต้องมีสภาพไม่ต่างกับนางโลมข้างทาง ทั้งที่นางยังไม่โตเป็นสาวด้วยซ้ำ อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง นางโลมเลื่องชื่อแห่งหอโคมเขียว ผูกคอตายเพราะถูกชายคนรักหลอกลวง ไน่เอ๋อ หาใช่นางโลมธรรมดา เดิมทีนางเป็นบุตรีของหมอเทวดา ด้วยความงามและความสามารถของนาง ทำให้กลายมาเป็นสตรีขององค์ชายสาม ทุกอย่างก็เหมือนจะดี แต่อยู่มาวันหนึ่ง นางถูกชายคนรักขอให้ปลอมตัวเป็นสายสืบคอยส่งข่าวในหอนางโลม และตั้งแต่บัดนั้น ผู้สืบทอดของหมอเทวดาก็ไม่มีอีกแล้ว มีเพียงนางโลมที่งามล่มเมือง นาม ไน่เอ๋อ นางต้องหลับนอนกับบุรุษมากหน้ามาสี่ปีเต็ม จนกระทั่งมารู้ความจริง ว่าที่แท้แล้วองค์ชายสามแค่หลอกใช้นางเท่านั้น พระองค์ทรงมีคนรักอยู่แล้ว มิหนำซ้ำกำลังจะเข้าพิธีอภิเษก และวันนี้ วันที่ไน่เอ๋อตัดสินใจจบชีวิตตนเอง คือวันที่องค์ชายสามทรงอภิเษกพอดี คำสาบานด้วยความเจ็บแค้น ทำให้ดวงวิญญาณของนางไม่ยอมจากไป โครม... ซ่าาาาาา "นังเด็กขี้เกียจลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!! ข้าจะขายเจ้าให้จวนเสนาบดี ไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวท่านพ่อบ้านจะมาแล้ว ไป!" เด็กน้อยลุกนั่ง มองมือตัวเองไปมา ไม่ได้สนใจเสียงตวาดของหญิงอ้วนที่ยืนเท้าสะเอวใบหน้าถมึงทึง "ยังอีก! นังตัวดี! ถ้าไม่คิดว่าจะเสียราคา ข้าจะตีเจ้าให้ลายไปทั้งตัวเลย เร็ว! ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว!!" มุมปากเด็กน้อยยกยิ้มในตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืนช้า ๆ มองสำรวจหญิงอ้วนตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาไม่หลงเหลือความไร้เดียงสาอีกต่อไป มันเปลี่ยนเป็นแววตาของคนกร้านโลก