บทย่อ
บทนำ หญิงหม้ายสกุลซู รัชศกเทียนหวายปีที่สี่ หลังจากตี้จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชได้เพียงสี่ปี แปดอำเภอทางเหนือได้เกิดโรคระบาดใหญ่ และเป็นช่วงที่มีการสอบจอหงวนพอดี พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เปลี่ยนหัวข้อในการใช้ทดสอบกระทันหัน ด้วยพระปรีชาของตี้จงฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้บรรดาขุนนางและหมอหลวงนำคำตอบจากบัณฑิตจากทางเหนือมาร่วมกันวิเคราะห์ดู ทำให้ในปีนั้นบัณฑิตยากจนไร้เส้นไร้สายซ้ำยังอายุน้อยอย่างหลิวเผิงคุนได้ตำแหน่งจอหงวนอันดับหนึ่งไปครอง เพราะบทความของบัณฑิตหนุ่มทำให้ราชสำนักสามารถยับยั้งและรักษาโรคระบาดได้ทันเวลา ซึ่งนับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวง ไม่เพียงได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่รองเจ้ากรมเสนาธิการเท่านั้น หลิวเผิงคุนยังพ่วงตำแหน่งราชบุตรเขยด้วยการสมรสกับองค์หญิงสิบหก พระขนิษฐาร่วมอุทรณ์เพียงองค์เดียวขององค์ฮ่องเต้ตี้จงอีกด้วย นับว่ามีอำนาจวาสนาล้นมือ ผ่านไปสี่ปี เวลานี้ทางเหนือได้เกิดโรคระบาดขึ้นอีกครั้ง ราชบุตรเขยหลิวจึงได้รับพระบัญชาให้เป็นตัวแทนพระองค์เดินทางพร้อมคณะหมอเพื่อไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดด้วยตัวเอง สองเดือนต่อมา ในหมู่บ้านเล็กๆ อำเภอถงกวาน "ท่านพ่อ ท่านแม่ ฝากมู่เอ๋อด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะขึ้นเขาไปรวบรวมสมุนไพรสักสามสี่วัน คาดว่าอีกไม่นานโรคระบาดคงมาถึงอำเภอถงกวานของเราเป็นแน่ หากจะหวังพึ่งทางการเกรงว่าจะช้าเกินไป" "ไปเถิดอาเจียว ไม่ต้องห่วงทางนี้ เจ้าเองก็เหมือนกัน ต้องดูแลตัวเองให้ดี" "ลูกสะใภ้ บนเขานั่นหาใช่ที่ปลอดภัย เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ" สองผู้เฒ่าเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ จนซูเจียวต้องปลอบโยนอีกพักใหญ่ ก่อนจะส่งลูกชายวัยสามขวบให้ทั้งสอง "มู่เอ๋ออยู่กับท่านปู่ท่านย่าอย่าดื้ออย่าซนนะรู้ไหม แม่ไปไม่นานหรอก" เด็กน้อยรับคำอย่างว่าง่าย ซูเจียวแบกตะกล้าขึ้นหลัง คว้าเสียมกับคันธนูขึ้นมาถือไว้ในมือสาวเท้าออกจากลานบ้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้นางถึงรู้สึกกังวลจนไม่อยากไป อยู่ๆ น้ำตาของซูเจียวก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หันกลับไปมองภาพพ่อแม่สามีและลูกน้อย ในใจเริ่มรู้สึกลังเล แต่ก็ต้องตัดใจรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ตลอดสี่ปีนับตั้งแต่ที่สามีเสียไป ซูเจียวก็กลายมาเป็นผู้นำครอบครัวไปโดยปริยาย ทั้งหาเงินหาทองเข้าบ้าน ทั้งปรนนิบัติพ่อและแม่สามี ไหนยังต้องเลี้ยงลูกน้อยที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของบิดา ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน ซูเจียวก็ไม่เคยปริปากบ่น เมื่อห้าปีก่อน ซูเจียวในวัยสิบห้าแต่งให้ซูซานหย่งบุตรชายวัยยี่สิบของบ้านสกุลซู ด้วยฐานะครอบครัวของทั้งสองยากจน พิธีแต่งงานเลยจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หนึ่งปีผ่านไปขณะซูเจียวตั้งครรภ์อ่อนๆ ซูซานหย่งจำต้องเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง ตลอดการเดินทาง ซูซานหย่งมักฝากจดหมายกลับบ้านเสมอ จนกระทั่งผ่านไปหกเดือนก็มีโลงศพถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยจดหมายของสหายบัณฑิตที่ร่วมทางไปกับซูซานหย่ง หัวใจซูเจียวแทบจะแตกสลาย สองผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามีอันเป็นที่รัก เกือบจะทำให้ซูเจียวไม่เป็นผู้เป็นคน ยังดีที่นางยังมีลูกชายไว้ดูต่างหน้าถึงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ เจ็ดวันผ่านไป หญิงสาวหน้าตาธรรมดาด้านหลังมีตะกร้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพร บนบ่าแบกเสียมที่ห้อยกระต่ายป่ากำลังมุ่งหน้าลงจากเขาเพื่อกลับเข้าหมู่บ้าน แต่ฝีเท้านางก็ต้องหยุดชะงักลงกระทันหัน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทิ้งของทุกอย่างลงพื้น "ไม่! ไม่นะ! มู่เอ๋อ! ท่านพ่อ! ท่านแม่!" เปลวไฟที่กำลังลุกท่วมหมู่บ้านทำให้ซูเจียวออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ในหัวมีแต่ภาพเมื่อเจ็ดวันก่อน ยิ่งเข้าใกล้เท่าใด ความหวังของซูเจียวก็ยิ่งเหมือนจะเลือนลางลงทุกที ภาพกองกำลังทหารยืนล้อมหมู่บ้านเข้าปะทะสายตา หญิงสาววิ่งกระเซอะกระเซิงพุ่งเข้าไปยังกำแพงทหารโดยไม่สนใจสิ่งใด เพราะซูเจียวย่อมรู้ดี ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น "หยุดเดี๋ยวนี้!" "ปล่อยข้า!" ร่างบอบบางถูกหยุดเอาไว้ด้วยกำแพงทหารไม่ว่าจะนางจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ สองแขนถูกจับไขว่เอาไว้ด้านหลังพร้อมกับร่างทั้งร่างถูกดลงบนพื้นดิน "พวกเจ้าทำอะไรลงไป! ฮึก! ฮือ.. ปล่อยข้า!" "ทำให้นางหุบปาก แล้วจับโยนออกไปซะ! อย่าปล่อยให้เข้ามาเกะกะ ท่านผู้แทนพระองค์กำลังจะมา!" "ม่ายยยย! ฮือๆ มู่เอ๋อ!!!" พลั่ก! ซูเจียวถูกทุบจนสลบ ร่างไร้สติถูกลากขรูดไปกับพื้นดิน เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ผู้แทนพระองค์จำต้องมีคำสั่งเผาคนทั้งหมู่บ้านที่ติดโรคระบาดทิ้งด้วยความจำใจ เพราะไม่อาจปล่อยให้โรคระบาดลุกลามไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นเมืองถงกวานคงกลายเป็นเมืองล้าง โรคระบาดในครั้งนี้นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วมากนัก ซ้ำยังลุกลามอย่างรวดเร็วทั้งยังผู้ติดเชื้อยังตายภายในเจ็ดวัน ทำให้มิอาจใช้แผนเดิมรับมือ ถึงแม้ว่าวิธีการของหลิวเผิงคุนจะแลดูโหดเหี้ยม แต่กลับได้รับคำชื่นชมจากบรรดาราษฎรในแถบภาคเหนือเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากนั้น โรคระบาดก็ไม่ลุกลามอีก สำหรับชาวบ้านที่ไม่ติดเชื้อ หลิวเผิงคุนคือเทพที่ทุกคนพากันยกย่อง แต่สำหรับผู้ที่สูญเสีย ผู้แทนพระองค์ผู้นี้คือปีศาจเลือดเย็น สี่เดือนต่อมา อารามชี เมืองถงกวาน "นั่นหญิงบ้านี่ ท่านแม่ดู" หญิงอ้วนมองตามนิ้วมือของบุตรสาวไปยังร่างสตรีนางหนึ่ง ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะสกปรกมอมแมม แต่หญิงอ้วนก็ยังพอที่จะจำนางได้ "เห? หญิงหม้ายสกุลซู?"
บทนำ หญิงหม้ายสกุลซู
รัชศกเทียนหวายปีที่สี่ หลังจากตี้จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชได้เพียงสี่ปี แปดอำเภอทางเหนือได้เกิดโรคระบาดใหญ่ และเป็นช่วงที่มีการสอบจอหงวนพอดี พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เปลี่ยนหัวข้อในการใช้ทดสอบกระทันหัน
ด้วยพระปรีชาของตี้จงฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้บรรดาขุนนางและหมอหลวงนำคำตอบจากบัณฑิตจากทางเหนือมาร่วมกันวิเคราะห์ดู
ทำให้ในปีนั้นบัณฑิตยากจนไร้เส้นไร้สายซ้ำยังอายุน้อยอย่างหลิวเผิงคุนได้ตำแหน่งจอหงวนอันดับหนึ่งไปครอง เพราะบทความของบัณฑิตหนุ่มทำให้ราชสำนักสามารถยับยั้งและรักษาโรคระบาดได้ทันเวลา ซึ่งนับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวง
ไม่เพียงได้ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่รองเจ้ากรมเสนาธิการเท่านั้น หลิวเผิงคุนยังพ่วงตำแหน่งราชบุตรเขยด้วยการสมรสกับองค์หญิงสิบหก พระขนิษฐาร่วมอุทรณ์เพียงองค์เดียวขององค์ฮ่องเต้ตี้จงอีกด้วย นับว่ามีอำนาจวาสนาล้นมือ
ผ่านไปสี่ปี เวลานี้ทางเหนือได้เกิดโรคระบาดขึ้นอีกครั้ง ราชบุตรเขยหลิวจึงได้รับพระบัญชาให้เป็นตัวแทนพระองค์เดินทางพร้อมคณะหมอเพื่อไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดด้วยตัวเอง
สองเดือนต่อมา ในหมู่บ้านเล็กๆ อำเภอถงกวาน
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ฝากมู่เอ๋อด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะขึ้นเขาไปรวบรวมสมุนไพรสักสามสี่วัน คาดว่าอีกไม่นานโรคระบาดคงมาถึงอำเภอถงกวานของเราเป็นแน่ หากจะหวังพึ่งทางการเกรงว่าจะช้าเกินไป"
"ไปเถิดอาเจียว ไม่ต้องห่วงทางนี้ เจ้าเองก็เหมือนกัน ต้องดูแลตัวเองให้ดี"
"ลูกสะใภ้ บนเขานั่นหาใช่ที่ปลอดภัย เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ"
สองผู้เฒ่าเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ จนซูเจียวต้องปลอบโยนอีกพักใหญ่ ก่อนจะส่งลูกชายวัยสามขวบให้ทั้งสอง "มู่เอ๋ออยู่กับท่านปู่ท่านย่าอย่าดื้ออย่าซนนะรู้ไหม แม่ไปไม่นานหรอก"
เด็กน้อยรับคำอย่างว่าง่าย
ซูเจียวแบกตะกล้าขึ้นหลัง คว้าเสียมกับคันธนูขึ้นมาถือไว้ในมือสาวเท้าออกจากลานบ้าน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้นางถึงรู้สึกกังวลจนไม่อยากไป
อยู่ๆ น้ำตาของซูเจียวก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หันกลับไปมองภาพพ่อแม่สามีและลูกน้อย ในใจเริ่มรู้สึกลังเล แต่ก็ต้องตัดใจรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดสี่ปีนับตั้งแต่ที่สามีเสียไป ซูเจียวก็กลายมาเป็นผู้นำครอบครัวไปโดยปริยาย ทั้งหาเงินหาทองเข้าบ้าน ทั้งปรนนิบัติพ่อและแม่สามี ไหนยังต้องเลี้ยงลูกน้อยที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของบิดา ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหน ซูเจียวก็ไม่เคยปริปากบ่น
เมื่อห้าปีก่อน ซูเจียวในวัยสิบห้าแต่งให้ซูซานหย่งบุตรชายวัยยี่สิบของบ้านสกุลซู ด้วยฐานะครอบครัวของทั้งสองยากจน พิธีแต่งงานเลยจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
หนึ่งปีผ่านไปขณะซูเจียวตั้งครรภ์อ่อนๆ ซูซานหย่งจำต้องเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง ตลอดการเดินทาง ซูซานหย่งมักฝากจดหมายกลับบ้านเสมอ
จนกระทั่งผ่านไปหกเดือนก็มีโลงศพถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยจดหมายของสหายบัณฑิตที่ร่วมทางไปกับซูซานหย่ง
หัวใจซูเจียวแทบจะแตกสลาย สองผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามีอันเป็นที่รัก เกือบจะทำให้ซูเจียวไม่เป็นผู้เป็นคน ยังดีที่นางยังมีลูกชายไว้ดูต่างหน้าถึงอยู่มาได้จนถึงวันนี้
เจ็ดวันผ่านไป
หญิงสาวหน้าตาธรรมดาด้านหลังมีตะกร้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพร บนบ่าแบกเสียมที่ห้อยกระต่ายป่ากำลังมุ่งหน้าลงจากเขาเพื่อกลับเข้าหมู่บ้าน แต่ฝีเท้านางก็ต้องหยุดชะงักลงกระทันหัน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทิ้งของทุกอย่างลงพื้น
"ไม่! ไม่นะ! มู่เอ๋อ! ท่านพ่อ! ท่านแม่!" เปลวไฟที่กำลังลุกท่วมหมู่บ้านทำให้ซูเจียวออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ในหัวมีแต่ภาพเมื่อเจ็ดวันก่อน
ยิ่งเข้าใกล้เท่าใด ความหวังของซูเจียวก็ยิ่งเหมือนจะเลือนลางลงทุกที ภาพกองกำลังทหารยืนล้อมหมู่บ้านเข้าปะทะสายตา หญิงสาววิ่งกระเซอะกระเซิงพุ่งเข้าไปยังกำแพงทหารโดยไม่สนใจสิ่งใด เพราะซูเจียวย่อมรู้ดี ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
"หยุดเดี๋ยวนี้!"
"ปล่อยข้า!"
ร่างบอบบางถูกหยุดเอาไว้ด้วยกำแพงทหารไม่ว่าจะนางจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ สองแขนถูกจับไขว่เอาไว้ด้านหลังพร้อมกับร่างทั้งร่างถูกดลงบนพื้นดิน
"พวกเจ้าทำอะไรลงไป! ฮึก! ฮือ.. ปล่อยข้า!"
"ทำให้นางหุบปาก แล้วจับโยนออกไปซะ! อย่าปล่อยให้เข้ามาเกะกะ ท่านผู้แทนพระองค์กำลังจะมา!"
"ม่ายยยย! ฮือๆ มู่เอ๋อ!!!"
พลั่ก!
ซูเจียวถูกทุบจนสลบ ร่างไร้สติถูกลากขรูดไปกับพื้นดิน
เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ผู้แทนพระองค์จำต้องมีคำสั่งเผาคนทั้งหมู่บ้านที่ติดโรคระบาดทิ้งด้วยความจำใจ เพราะไม่อาจปล่อยให้โรคระบาดลุกลามไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นเมืองถงกวานคงกลายเป็นเมืองล้าง
โรคระบาดในครั้งนี้นับว่าร้ายแรงกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วมากนัก ซ้ำยังลุกลามอย่างรวดเร็วทั้งยังผู้ติดเชื้อยังตายภายในเจ็ดวัน ทำให้มิอาจใช้แผนเดิมรับมือ
ถึงแม้ว่าวิธีการของหลิวเผิงคุนจะแลดูโหดเหี้ยม แต่กลับได้รับคำชื่นชมจากบรรดาราษฎรในแถบภาคเหนือเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากนั้น โรคระบาดก็ไม่ลุกลามอีก
สำหรับชาวบ้านที่ไม่ติดเชื้อ หลิวเผิงคุนคือเทพที่ทุกคนพากันยกย่อง แต่สำหรับผู้ที่สูญเสีย ผู้แทนพระองค์ผู้นี้คือปีศาจเลือดเย็น
สี่เดือนต่อมา อารามชี เมืองถงกวาน
"นั่นหญิงบ้านี่ ท่านแม่ดู"
หญิงอ้วนมองตามนิ้วมือของบุตรสาวไปยังร่างสตรีนางหนึ่ง ถึงแม้เนื้อตัวของนางจะสกปรกมอมแมม แต่หญิงอ้วนก็ยังพอที่จะจำนางได้
"เห? หญิงหม้ายสกุลซู?"