บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 มังกรอัคคี

“ข้าว่ามันไม่ชอบมาพากล” หลังจากที่นายทหารทั้งสองจากไป เฉียนเยว่ลู่ก็เอ่ยกับบิดา เฉียนอ้าวที่พึ่งปิดประตูเสร็จหันกลับมาพยักหน้า “อืม ว่าแต่ตอนเจ้าอยู่ในวังไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเลยหรือ”

เด็กหญิงส่ายหน้า “องค์ชายสิบสี่ผู้นั้น เหมือนจะพึ่งกลับมาวันนี้ เหตุใดถึงรีบจัดทัพนัก แล้วทาสชั้นต่ำอย่างข้าจะไปทำงานอะไรในกองทัพได้ มีแต่จะเป็นตัวถ่วง”

ที่เยว่ลู่เอ่ยมานั้นมิผิด เฉียนอ้าวเองก็คิดไม่ต่างกัน เขาหันไปบอกบุตรสาวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “เยว่น้อย เตรียมตัวเถิด พวกเราต้องหนีแล้ว”

ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งนักที่บิดาของนางจะมีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ และทุกครั้งมักมีเรื่องเลวร้ายตามมาเสมอ เยว่ลู่จึงไม่รอช้า รีบหันกลับไปเตรียมข้าวของ

ส่วนเฉียนอ้าวยกโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องออก เคาะไปตามก้อนอิฐปูพื้นสลับกันไปมา ไม่นาน ก้อนอิฐเหล่านั้นก็แยกออกจากกัน เปิดช่องทางลับใต้ดิน

เฉียนอ้าวผู้นี้ ในอดีตคือนักดาบพเนจรไร้ที่มาที่ไป แต่กลับมีความสามารถลึกล้ำ มิหนำซ้ำยังมีวิชาเวทติดกาย ซึ่งแตกต่างจากผู้อื่น เพราะตามธรรมดาแล้วเด็กทุกคนที่เกิดมาจะถูกพาไปทดสอบหาพลังธาตุตอนอายุห้าปี จากนั้นเด็กที่มีพลังจะถูกส่งไปเรียนวิชาในสถาบัน และสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นนักดาบหรือนักเวทย์

แต่การจะเรียนสายเวทได้นั้นหาใช่เรื่องง่าย ในเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงมีนักดาบมากกว่าหลายเท่า ทำให้นักเวทย์กลายเป็นที่เคารพนับถือและเป็นอัจฉริยบุคคลที่หาได้ยาก

ใครจะไปคิดว่าบ้านอิฐผุพังหลังนี้ จะซ่อนของมีค่าไว้ใต้ดินมากมาย มิหนำซ้ำอิฐธรรมดาที่ใช้ปูพื้นพวกนี้ ที่แท้คือประตูค่ายกลที่ถูกลงเวทอาคมเอาไว้

เฉียนอ้าวเลือกหยิบแหวนมิติออกมาห้าวง ซ่อนไว้ในร่างกายไม่ซ้ำที่ ไม่ได้สวมมันลงบนนิ้ว รอให้เยว่ลู่เดินมายืนเคียงข้าง จากนั้นสองพ่อลูกก็พากันกระโดดลงไปในช่องใต้ดินลับเพื่อหลบหนีออกจากเมือง

นอกกำแพงเมืองทิศใต้ อยู่ๆ หิมะที่ปลกคลุมอยู่ก็ผลุบหายไป ไม่นานก็มองเห็นร่างหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน เมื่อดูลาดเลาดีแล้ว เฉียนอ้าวถึงได้ส่งสัญญาณให้บุตรสาว

เยว่ลู่ตามขึ้นมาจากหลุม ยืนรอให้บิดาร่ายเวทปิดประตูปากหลุมจนเสร็จ นางถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่พอทั้งสองหันหลังกลับมา สองพ่อลูกก็ต้องชะงักค้าง......

บุรุษในชุดเกราะเหล็กสะพายดาบเล่มใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ไม่ต้องถามไถ่ก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

ราวชั่วยามก่อน องค์ชายสิบสี่ก็มีรับสั่งลงมาให้ทหารลาดตระเวนรอบกำแพงเมืองตรวจสอบอย่างแน่นหนา ทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องออกมาลาดตระเวนด้วยตนเอง เดิมทีเขาไม่คิดว่าจะได้มาเจออะไรแบบนี้ จะมีทาสที่ไหนกล้าคิดจะหนีบ้าง

ทาสที่ไร้พลัง หากออกพ้นกำแพงเมืองไป มีแต่ตายกับตาย ข้างนอกนั่นมีทั้งสัตว์อสูร สัตว์ปีศาจ และอีกหลายเผ่าพันธุ์ ที่รอเขมือบมนุษย์อ่อนแอเป็นอาหาร แต่กลับมีทาสที่คิดหนีออกจากเมืองอย่างสองคนตรงหน้า

สุดท้าย สองพ่อลูกก็ถูกพากลับเข้ามาในเมือง ยิ่งพอรู้ว่าเด็กหญิงคือหนึ่งในทาสพันคน นางก็ถูกกักตัวไว้ในค่ายทหารทันที ส่วนบิดาขาพิการของนางถูกส่งกลับบ้าน

ก่อนจากกัน เฉียนอ้าวได้มอบกริชเล่มเล็กขนาดเท่าฝ่ามือไว้ให้บุตรสาว พร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อใดที่เจ้าเจออันตราย ให้นึกถึงบิดาผู้นี้ กริชเล่มนี้จะปกป้องเจ้าได้ แต่จำเอาไว้ มันใช้งานได้เพียงสามครั้งเท่านั้น บุตรสาวข้า เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี”

จากวันนั้นผ่านมาร่วมเดือนแล้ว พอคิดถึงบิดาขึ้นมา เยว่ลู่ก็เอื้อมมือไปลูบกริชที่ห้อยอยู่ข้างเอว บนพื้นหิมะขาวโพลน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นพวกทาสนับพัน ที่กำลังย่ำเท้าตามกองทัพเรือนแสนเบื้องหน้า

ตั้งแต่ที่ออกจากเมืองหลวง พวกทาสที่ถูกจ้างมาได้ทำแค่งานเล็กๆ น้อย เท่านั้น ซึ่งงานเหล่านี้ ทหารในกองทัพทำกันเองได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทาส การนำมนุษย์ชนชั้นทาสเดินทางมาด้วย รังแต่จะเป็นตัวถ่วง เยว่ลู่หันไปมองทาสหญิงที่เดินอยู่ข้างกาย เห็นใบหน้าของนางยิ้มแย้มอารมณ์ดี จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่สาว ท่านดูอารมณ์ดียิ่ง มีอะไรดีๆ หรือ”

แม่นางน้อยผู้นั้น หันมาตอบด้วยรอยยิ้ม “ย่อมต้องดีอยู่แล้ว นี่เด็กน้อย เจ้าคงไม่เห็นสินะ ว่าหน้าขบวนมีผู้ใดอยู่บ้าง”

เยว่ลู่ส่ายหน้า

“ฮะๆ ข้าก็ว่าอยู่ เพราะหากเจ้าได้เห็นพวกเขา ก็คงจะยิ้มไม่หุบเหมือนข้าเป็นแน่” หญิงสาวยกมือทาบปากหัวเราะ ไม่รอให้เด็กน้อยข้างกายคงความสงสัยได้นาน นางก็กล่าวต่อ “ข้าเห็นองค์ชายสิบสี่ ธิดาพยากรณ์รวมทั้งเจ็ดนักดาบเลื่องชื่อ เจ้ารู้หรือไม่ มันหมายความว่าอย่างไร”

เยว่ลู่ส่ายหน้าอีกครั้ง แม่นางผู้นั้นจึงส่ายหน้าตามบ้าง จากนั้นก็มองมาที่เด็กหญิงคล้ายเห็นนางเป็นตัวตลก “เด็กน้อย เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ องค์ชายสิบสี่ของพวกเราคืออาจารย์เวทย์ระดับสูง และการมีธิดาพยากรณ์อยู่ข้างกาย นั่นก็หมายความว่าพระองค์กำลังจะไปออกศึก เจ้าลองคิดดู ว่าศึกนี้จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด เจ้าจะได้เห็นความสามารถของคนเหล่านั้นด้วยตาตัวเอง แล้วจะไม่ให้ข้าตื่นเต้นอารมณ์ดีได้อย่างไร”

ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดเยว่ลู่ก็เข้าใจ นางจึงยิ้มตอบทาสสาวผู้นั้น แต่ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม เพราะในความคิดของนางแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากเป็นอย่างที่พี่สาวข้างกายว่า การนำทาสไร้พลังติดตามกองทัพมาออกศึกด้วย ก็คงมีอย่างเดียว คือนำมาใช้เป็นเหยื่อ

ดวงตากลมโตหรี่มองไปรอบๆ ขบวน ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นเพียงทาสชั้นต่ำนับไม่ถ้วน มีศึกใดบ้างที่ต้องใช้เหยื่อมากมายถึงเพียงนี้ เยว่ลู่ครุ่นคิดหนัก เผลอยกมือลูบกริชอีกครั้ง ลางสังหรณ์ของนางบอกว่า หนทางข้างหน้านางจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมาก

การเดินทัพฝ่าพายุหิมะก็ว่ายากแล้ว เหล่าทหารยังต้องคอยปกป้องมนุษย์ไร้พลังร่วมพันคนอีก จึงทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้า ใช้เวลาไปร่วมหกเดือน กองทัพถึงได้เข้าเขตเมืองเทียมฟ้า จากนั้นก็ตั้งค่ายที่นอกเมืองห่างไปหลายร้อยลี้

ในกระโจมบัญชาการ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หัวโต๊ะ ร่ายเวทสร้างรูปเสมือนเขตพื้นที่ภูเขาน้ำแข็งที่มีชื่อเรียกตามชื่อเมืองว่าเทือกเขาเทียมฟ้า นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเข้มขึ้นเล็กน้อย เพ่งมองไปยังภาพนั้น

ผ่านไปพักใหญ่ สีนัยน์ตาถึงได้กลับมาเป็นสีฟ้าจางดังเดิม หนี่เช่อละสายตาออกจากภาพ หันไปมององค์ชายสิบสี่ “ข้ามองไม่เห็นมัน”

“เป็นไปได้อย่างไร” หนึ่งในเจ็ดนักดาบ นามลั่วผานเอ่ยถาม

“มันเป็นไปแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังมองไม่เห็นอะไรเลย ที่นั่นมีแต่ความดำมืด” คำตอบของธิดาพยากรณ์สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนในกระโจมเป็นอย่างมาก มีเพียงองค์ชายสิบสี่ที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย เพราะเจ้าตัวพอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่บ้าง เสวี่ยตงฟ่านจึงหันไปกล่าวกับหญิงสาว “ไม่แปลกอะไรที่ท่านจะไม่เห็น มังกรอัคคีตนนั้นมีพลังระดับตำนาน พลังของมันสูงส่งเท่าใดนั้น พวกเราไม่อาจรู้ แม้แต่ข้าเองยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ งานนี้ บางทีอาจพาคนมาตายเปล่า”

“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่นัก จากที่ข้าเคยศึกษามา อสูรธาตุอัคคีจะอ่อนแอเมื่อมาอยู่แดนเหนือ พวกเราอาจใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์” ธิดาพยากรณ์กล่าว

“ท่านมีแผนอย่างไร” หนึ่งในเจ็ดนักดาบนาม ลั่วหาน เอ่ยถามองค์ชายสิบสี่

“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือเผ่าพันธุ์ไหนๆ ล้วนแล้วแต่ต้องการอาหาร พวกเราก็แค่ต้องใช้อาหารล่อให้มันเข้าไปอยู่ในค่ายกล แล้วค่อยจัดการ”

ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการนี้ จากนั้นก็แบ่งหน้าที่กันไปทำภารกิจ

ทางฝั่งกระโจมพวกทาส กระโจมหลังใหญ่หนึ่งหลัง สำหรับทาสสามสิบคน เยว่ลู่ได้พักรวมกับทาสหญิงอารมณ์ดีนางนั้นโดยบังเอิญ ทำให้นางได้รู้ข้อมูลอะไรมากมายโดยไม่จำเป็นต้องไปสืบหา เวลานี้เด็กหญิงแน่ใจแล้วว่า ทาสพันคนถูกนำมาเป็นเหยื่อล่อแน่นอน แต่จะล่ออะไรนั้น นางยังไม่รู้ แต่ที่รู้คือนางไม่มีทางยอมตายอย่างไร้ค่าเช่นนี้

ยิ่งคิด เด็กหญิงก็ยิ่งนึกเกลียดองค์ชายสิบสี่ตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า ร่างเล็กก้าวออกจากกระโจมที่พัก พลางคิดในใจข้าต้องหาทางเอาตัวรอด

ความจริงพวกทาสถูกสั่งไม่ให้เดินเพ่นพ่าน และห้ามออกนอกเขตกระโจมที่พัก แต่เพราะความสามารถในการพลางตัว กอรปกับความเป็นเด็ก จึงทำให้ทหารเหล่านั้น ไม่ทันสังเกตุเห็น

เด็กหญิงวัยสิบปี เดินสำรวจไปรอบๆ ค่าย โดยไร้ผู้คนสนใจ เสื้อคลุมกันหนาวที่มีแต่รอยปะชุนถูกกระชับเข้าหาร่างเล็กอย่างแน่นหนา พื้นหิมะเกิดรอยย่ำเท้าไปตลอดแนวรั้วไม้

“โอ๊ย!” อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้เยว่ลู่ต้องรีบยกเท้าออก ดวงตากลมโตมองลงไปใต้แอ่งหิมะที่เป็นรอยเท้าของตัวเองเมื่อครู่ด้วยความประหลาดใจ

“มองทำไม ยังไม่รีบช่วยข้าอีก!” เจ้าหนอนสีแดงตัวอ้วนถลึงตากลมโตเกินตัวใส่เด็กหญิงอย่างเอาเรื่อง หากมันมีแขน เกรงว่าคงจะยืนเท้าสะเอวไปแล้ว เห็นอย่างนั้น แทนที่เยว่ลู่จะทำตามที่มันบอก กลับขำพรืดออกมาแทน “ฮะๆ”

“บัดซบ! ไอ้เจ้ามนุษย์หน้าโง่ นี่เจ้ากล้าหัวเราะข้าผู้เป็นราชาเชียวหรือ คอยดูข้าจะเผาเจ้าให้ไหม้เกรียมเลย!” หนอนอ้วนสบถด่าไฟแลบออกจากปาก แต่ท่าทางของมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักกระผีก กลับดูตลกขบขันเสียมากกว่า

เด็กหญิงนั่งลง มองมันใกล้ๆ ก่อนจะใช้มือช้อนเจ้าตัวเล็กขึ้นมาไว้บนฝ่ามือ

“เฮอะ! กลัวข้าขึ้นมาแล้วละสิ” มันยังไม่วายเชิดหน้าใส่

เยว่ลู่มองสำรวจไปทั่งร่างของมันอย่างละเอียดเพื่อวิเคราะห์ว่าเจ้านอนอ้วนสีแดงตัวนี้เป็นเผ่าพันธ์ไหนกันแน่ ความรู้เรื่องสัตว์อสูร สัตว์ปีศาจ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ เยว่ลู่ศึกษามาตั้งแต่จำความได้ รู้มาก พอๆ กับการเป็นนักต้มตุ๋น ถึงแม้ว่านางจะเป็นมนุษย์ที่ถูกธรรมชาติทอดทิ้ง ไร้ซึ่งพลังธาตุมาแต่กำเนิด แต่พรสวรรค์ในการจดจำของนาง กลับเป็นเลิศ

นอนอ้วนสีแดงตัวนี้ ดูแล้วเป็นอสูรธาตุอัคคี เพราะตัวของมันร้อนมาก แค่มีมันอยู่บนฝ่ามือยังสามารถขับไล่ความหนาวเหน็บได้ คาดว่าพลังของมันคงมีมิใช่น้อย แต่ตัวมันน่าจะบาดเจ็บ เยว่ลู่คิดอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ที่พื้นมาจนถึงฝ่ามือ เจ้าหนอนอ้วนตัวนี้ยังไม่ได้ขยับตัวเลย มีเพียงปากกับดวงตาเท่านั้นที่ขยับได้

“เจ้าบาดเจ็บหรือ” เด็กน้อยตัดสินใจถามออกไป

“คะ..ใคร ใครบาดเจ็บ ไม่มี!” ดวงตากลมโตของมันกรอกไปกรอกมาอย่างมีพิรุธเต็มที่ แต่เยว่ลู่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เอ่ยถามมันต่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไร”

หนอนสีแดงมองสำรวจใบหน้าของเด็กน้อยอย่างครุ่นคิด คงเป็นความซวยของมัน ที่ต้องมาเจอกับสิ่งมีชีวิตระดับล่างสุดเช่นนี้ เจ้ามนุษย์ตัวเล็กนี่คงไม่มีทางช่วยอะไรมันได้ แต่ก็เอาเถิด มันจะลองถามดูสักหน่อยก็แล้วกัน “เจ้ามีผลึกอัคคีติดตัวมาบ้างหรือไม่”

อันที่จริง สิ่งที่หายากที่สุดในดินแดนเหนือก็คือผลึกอัคคีที่เจ้าหนอนอ้วนขอ อย่าว่าแต่มนุษย์ชนชั้นทาสเลย แม่แต่มนุษย์ชนชั้นสูงก็ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ เยว่ลู่ล้วงมือเข้าไปในถุงข้างเอว หยิบก้อนหินสีขุ่นที่ร้อนที่สุดในนั้นออกมาวางบนฝ่ามือ นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร เสียงกร้วมกร้ามก็ดังขึ้นเสียแล้ว พริบตาเดียวหินก้อนนั้นก็หายไปในพริบตา ส่วนเจ้าหนอนอ้วนแลบลิ้นเลียปากเสร็จ ก็เลอออกมา “เอิ๊ก”

เยว่ลู่ยืนกะพริบตาปริบๆ มองผลึกที่หายไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

ที่นางนำผลึกติดตัวมาก็เพื่อไว้จับจ่ายซื้อข้าวของ และผลึกอัคคีในแดนเหนือก็มีค่ามากมายนัก แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าหนอนจอมตะกละสวาปามไปเรียบร้อยแล้ว ขาดทุน ขาดทุนย่อยยับ เยว่ลู่คิดอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็หรี่ตามองมัน “เจ้ากินของๆ ข้าไปแล้ว ก็ต้องชดใช้!”เด็กหญิงเอ่ยเสียงเข้ม แววตาแฝงความชั่วร้าย

“เฮอะ! ข้าให้เจ้าได้มีโอกาสประจบเอาใจราชาอย่างข้า นั่นก็ถือเป็นค่าตอบแทนแล้ว อย่าได้โลภมากไปนัก” หนอนตัวเล็กพ่นวาจาออกมาอย่างเย่อหยิ่ง

ทว่าหลังจากนั้น .......

“ไอ๊หยาๆ นายหญิงๆ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ตัวข้าผู้นี้ไม่อร่อยหรอก จะให้ข้าชดใช้อะไรก็ยอมทั้งนั้น”

เยว่ลู่ไม่สนใจเสียงคร่ำครวญที่ดังมาจากร่างเล็กอ้วนบนขอนไม้ นางหยิบมีดเล็กขึ้นมาเตรียมจะหั่นเจ้าตัวดีเพื่อทำเป็นอาหาร เด็กน้อยฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี

“นี่ๆ นายหญิงคนดี ฟังข้าก่อน ข้าเป็นมังกรอัคคีนะ ข้าสามารถช่วยเจ้าได้หลายอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ข้าบาดเจ็บ ถ้าข้ากลับมาแข็งแรงเมื่อใด ข้ารับรองจะตอบแทนให้เจ้าแน่นอน ปล่อยข้าไปเถิดนะ”

ใบมีดที่กำลังจะเฉือนร่างของหนอนอ้วนหยุดชะงักทันที เยว่ลู่แอบยิ้มในใจ ความจริงนางก็แค่ขู่มันไปอย่างนั้น ก็แค่อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วหนอนตัวนี้เป็นเผ่าพันธุ์อะไรแน่ และตอนนี้นางได้รู้แล้ว แต่คนอย่างเฉียนเยว่ลู่ ไม่มีทางยอมเสียเปรียบ “ข้าไม่เชื่อเจ้า!” เด็กหญิงทำท่าจะลงมีดอีกครั้ง ทำให้หนอนอ้วนผวาเฮือก รีบร้องตะโกนเสียงหลง “อ๊า ได้โปรด เชื่อข้าเถิด ข้ายอมทำพันธสัญญากับเจ้าก็ได้ นะๆ ปล่อยข้าไปเถิด นายหญิงคนดี”

ในที่สุด เยว่ลู่ก็ได้สิ่งที่ต้องการ

การที่สัตว์อสูร สัตว์ปีศาจ หรือเผ่าพันธ์อื่นๆ ยอมทำพันธสัญญากับมนุษย์ นั่นหมายถึงการยอมเป็นทาสรับใช้ ความจริงมนุษย์ที่จะทำพันธสัญญาได้นั้น จะต้องเป็นผู้มีธาตุประจำกายแข็งแกร่ง เพราะไม่อย่างนั้น อาจถูกพลังในพันธสัญญาย้อนกลับ จนตกตายอนาถ จึงไม่มีมนุษย์มากนักที่จะกล้าทำพันธสัญญากับเผ่าพันธ์อื่น

“ตกลง ข้าจะทำพันธสัญญากับเจ้า”

เด็กน้อยรู้ดีว่าเจ้าหนอนตัวนี้คิดไม่ซื่อกับนาง ถึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา มันน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่านางต้องตายแน่หากทำพันธสัญญากับมัน แต่เยว่ลู่ไม่มีทางเลือก จากการคาดเดาของนาง องค์ชายสิบสี่คงไม่คิดละเว้นทาสพันคนที่นำมาเป็นแน่ ไหนๆ จะต้องตายอยู่แล้ว สู้นางเลือกทางตายเองดีกว่า พลังของอสูรมังกรอัคคีแม้แต่ตอนที่มันยังเป็นตัวอ่อนยังสามารถเผาปราสาทได้เป็นหลังๆ แต่เจ้าหนอนอ้วนตัวนี้กลับพูดจาภาษามนุษย์ได้ ตามความคิดของเยว่ลู่ มันไม่น่าจะเป็นอสูรธรรมดา

เมื่อเห็นว่าตนเองรอดพ้นภัย เจ้าหนอนสีแดงตัวอ้วนก็รีบพ่นดวงจิตออกจากปากด้วยท่าทางระริกระรี้ประจบประแจงเต็มที่ คล้ายจะรอไม่ไหว “นี่ รับไปๆ ใส่มันไว้บนหน้าผากของเจ้า”

วิธีการผูกพันธสัญญา เยว่ลู่เคยอ่านมาหมดแล้ว จึงไม่ติดใจสงสัยอะไร นางรับดวงไฟสีทองมาจากหนอนอ้วน แล้วนำมากดลงกลางหว่างคิ้ว

หนอนตัวเล็กรออย่างใจจดใจจ่อ ให้ดวงจิตของตัวเองรอยกลับมาแล้วเด็กน้อยตายลง แต่มันรอแล้วรอเล่า ดวงจิตของมันยังไม่เห็นกลับมาเสียที มิหนำซ้ำเด็กสาวยังไม่มีที่ท่าว่าจะตายอย่างทรมาน “บัดซบ! นะ..นี่ นี่มัน.....” ดวงตากลมโตใหญ่เกินตัวของมันแทบจะหลุดจากเบ้า มองหว่างคิ้วของเยว่ลู่ไม่วางตา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel