บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 อาจารย์

คืนนั้น ทั้งบ้านไม่มีใครได้นอนหลับ เพราะพวกเขารู้ดีว่าพรุ่งนี้จะต้องเจอกับอะไร เยว่ลู่เองก็รู้ ทาสไร้ค่าที่บังอาจทำร้ายชนชั้นสูง โทษคงหนักหนาไม่น้อย

ท่ามกลางความมืด อยู่ๆ อินหยงก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เจ้าต้องหนีไป”

“ไม่จำเป็น” เยว่ลู่ตอบเสียงเฉื่อยชา ก่อนจะดึงอินหยงให้นอนลง แล้วกล่าวขึ้นลอยๆ “หมาป่าฝูงใหญ่ก็จริง แต่ถ้าฆ่าได้เพียงหนึ่ง ก็จะทำให้พวกที่เหลือหวาดกลัวจนไม่กล้าจู่โจม”

เวลายามค่ำคืนเหมือนจะสั้นมากสำหรับคืนนี้ เพราะไม่นานก็เช้า

คนในครอบครัวของอินหยง ต่างบอกให้เยว่ลู่หนี แต่นางไม่ยอมไป เพราะไม่อยากให้ครอบครัวของอินหยงต้องมารับเคราะห์ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน คนจากสถาบันก็มาถึง

เยว่ลู่ยอมตามคนเหล่านั้นไปแต่โดยดี ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว พอมาถึงสถาบัน นางก็ถูกพาตัวไปยังหอคอยเจ็ดชั้น คนเหล่านั้นทิ้งนางไว้ลำพังบนชั้นหกโดยไม่เอ่ยวาจา เยว่ลู่จึงถือโอกาสนี้มองสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งไปเห็นกริชที่วางอยู่บนชั้นวางอาวุธ คิ้วสองข้างขมวดเล็กน้อย พอมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใครจริงๆ นางก็รีบสาวเท้าเข้าไปดู

กริชเล่มนี้ เหมือนกับกริชที่ห้อยอยู่ข้างเอวของนางไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยความสงสัย เยว่ลู่จึงคิดจะชักมันออกจากฝักเพื่อดูว่ามีอักขระหรือไม่ แต่มือของนางยังไม่ทันแตะโดน ก็ต้องชะงักค้าง

“อืม ความรู้สึกไวดี ใช้ได้” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นที่เบื้องหลังทำให้นางต้องหันกลับไปมอง

คนผู้นี้ เหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจในตัวนางสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มยืนหันหลัง มือข้างหนึ่งของเขากำลังเปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางเฉื่อยชา ไม่มีทีท่าว่าจะลงโทษนางเลยสักนิด แต่นางยังไม่วางใจเสียทีเดียว

และเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของนาง “วางใจเถอะ ข้าไม่ได้พาเจ้ามารับโทษหรอก ข้าแค่จะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์”

ได้ยินเช่นนั้นเยว่ลู่ก็ยืนอึ้ง เพราะไม่เคยมีใครรับทาสชั้นต่ำเป็นศิษย์ อย่าว่าแต่รับเลย แม้แต่จะคิดก็คงไม่มี แต่คนผู้นี้กลับ.... ประหลาดเกินไปแล้ว

แม้นางจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็เลือกที่จะปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่ต้องการ”

“หืม?” ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือบนโต๊ะ หันกลับมามองเด็กน้อยอย่างสำรวจ เพราะเขาไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธ

การที่จะได้เข้าเป็นศิษย์ของสถาบัน อย่าว่าแต่ทาสชั้นต่ำเลย แม้แต่เด็กที่มีพลังธาตุยังต้องผ่านการทดสอบเข้ามาอย่างยากลำบาก ยิ่งถ้าต้องการเป็นศิษย์ของอาจารย์สายเวทด้วยแล้ว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่เด็กคนนี้กลับปฏิเสธหน้าตาเฉย

เดิมที เหิงเยว่คิดว่าจะต้องรับมือกับคำประจบประแจงไม่มีที่สิ้นสุดของนาง แต่ไม่นึกว่าจะมาเจออะไรเช่นนี้

เวลานี้ เลยไม่รู้ว่าระหว่างอาจารย์เวทระดับสูงขั้นสี่ กับมนุษย์ชนชั้นทาสที่อยู่ลำดับล่างสุด ใครประหลาดใจมากกว่ากัน

แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นถึงอาจารย์เวทย์ ถ้าแม้แต่ทาสชั้นต่ำยังเอามาเป็นศิษย์ไม่ได้ คงได้ขายหน้าไปอีกพันปีเป็นแน่ หลังจากที่ยืนเงียบกันอยู่นาน เหิงเยว่ก็ยิ้มให้เด็กสาวตรงหน้าอย่างอ่อนโยน แต่ประโยคที่เอ่ยออกมา กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง “ถ้าเจ้าไม่ยอมกราบข้าเป็นอาจารย์ ทั้งเจ้าและคนบ้านนั้นก็จะต้องถูกลงโทษ”

“นี่ท่าน!”

“เอาน่า สาวน้อย เป็นศิษย์ข้าสบายจะตาย เจ้าก็อย่าคิดมากนักเลย”

เยว่ลู่โกรธจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความแค้นเคือง แต่เหมือนว่าอีกคนจะไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังพูดจาหยอกล้อนาง “มาเร็วศิษย์รัก รีบยกน้ำชาเถิด ข้าอยากเป็นอาจารย์ของเจ้าใจจะขาดแล้ว”

“เจ้าคนเสียสติ!” เยว่ลู่สบถเสียงลอดไรฟัน ไม่เพียงคนผู้นั้นจะไม่โกรธ ยังแสร้งบ่นหน้าเศร้า “อ่า หยาบคายจัง”

นางไม่รู้จะรับมือคนตรงหน้าอย่างไรดี ขนาดบิดาที่หน้าด้านไร้ยางอายของนาง ยังเทียบคนผู้นี้ไม่ติด พอคิดถึงบิดาขึ้นมา เยว่ลู่ก็ใจเย็นลง นางจึงเริ่มคิดได้

“ได้ ข้าจะยอมเป็นศิษย์ท่าน”

“ดียิ่ง มาเถิด เรามาทำพิธีกราบอาจารย์กัน” เหิงเยว่เดินไปนั่งรอบนเก้าอี้ท่าทางกระตือรือร้น ก่อนจะส่งสายตาให้เยว่ลู่ไปรินน้ำชา

พอนางยกจอกชามาถึง ยังไม่ทันได้นั่งคุกเข่า อยู่ๆ ปลายนิ้วก็เหมือนถูกเข็มแทง ทำให้เลือดหยดลงไปในถ้วยชา เด็กน้อยยังไม่ทันได้ตั้งสติ น้ำชาในจอกก็ลงไปอยู่ในท้องของบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว

“ท่านทำอะไรน่ะ!” เยว่ลู่รีบเอ่ยถามด้วยความตกใจ ที่เห็นเขากล้าดื่มชาที่มีเลือดของนาง

“ก็รับลูกศิษย์นะสิ”

“แต่น้ำชานั่นมัน...”

ยังไม่ทันที่เยว่ลู่จะเอ่ยจบประโยค ร่างบุรุษในชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า “เจ้าทำอะไรน่ะ!” มิหนำซ้ำยังเอ่ยถามประโยคเดียวกับนางไม่มีผิดเพี้ยน

“ก็ทำพันธสัญญาน่ะสิ” แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เหมือนกัน

“นี่ท่าน!” เยว่ลู่

“นี่เจ้า!” บุรุษชุดขาว

“อ่า ไม่เห็นต้องเสียงดังกันขนาดนั้นเลยก็ได้นี่”

อยู่ๆ เยว่ลู่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทีแรกนางก็ตกใจ แต่พอเห็นริมฝีปากของคนทั้งสองขยับ นางคิดว่าพวกเขาคงใช้คาถาปิดกั้นเพื่อไม่ให้นางได้ยิน แต่ที่คนพวกนี้ไม่รู้ก็คือ นางอ่านปากคนได้

ที่แท้แล้ว ชายชุดขาวที่พึ่งมาใหม่เป็นเจ้าของสถาบันซงเจี้ยนแห่งนี้ นามว่าเหิงเย้า และเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคนที่พึ่งกลายมาเป็นอาจารย์ของนาง

เหิงเย้ารับปากที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับปรมาจารย์เวทย์ระดับสูงผู้หนึ่ง โดยการให้เหิงเยว่รับบุตรีปรมาจารย์ท่านนั้นมาเป็นภรรยา แต่เหมือนว่าตอนนี้จะทำไม่ได้แล้ว และท่าทางว่าชายชุดขาวจะโกรธไม่น้อย ทั้งสองโต้เถียงกันนานมาก จนกระทั่งชายชุดขาวจากไป เยว่ลู่ถึงได้กลับมาได้ยินดังเดิม

“เอาล่ะ ศิษย์น้อยของข้า เจ้าอยากเรียนอะไรก็เรียนเองเลยนะ ตำรับตำราในนี้มีครบ หาอ่านเอาเลย อาจารย์จะไปข้างนอกเสียหน่อย” เหิงเยว่ลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้า พร้อมกับหันมาบอกนางด้วยท่าทางอารมณ์ดี เอ่ยจบก็ไม่รอให้นางได้ถามไถ่ หายตัวไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้เยว่ลู่ยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

ไม่นานเยว่ลู่ก็ตั้งสติได้ และขั้นแรกที่นางต้องทำ คือหาทางหนี แต่ก่อนไป นางสมควรต้องหาค่าเสียเวลาสักเล็กน้อย เด็กหญิงมองไปรอบๆ ด้วยแววตาชั่วร้าย

สถาบันซงเจี้ยน คือหนึ่งในสี่ของสถาบันเวทที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับที่สามในดินแดนเหนือ และหอคอยแห่งนี้ คือที่พำนักของอาจารย์ระดับสูงในสถาบัน

ที่นี่มีศิษย์อยู่ราวหกพันคน ซึ่งนับว่าไม่มากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับประชากรของดินแดนเหนือทั้งหมด

หลังจากที่เยว่ลู่อ่านหนังสือแนะนำสถาบันจนเข้าใจ นางก็วางมันลง และมองหาเล่มใหม่มาอ่าน ด้วยความที่เป็นเด็กชอบเรียนรู้ เยว่ลู่จึงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านตำราจนลืมแม้กระทั่งว่าตนเองกำลังคิดจะหนี เพราะตำราเหล่านี้นับเป็นตำราที่ล้ำค่า ไม่เพียงจะมีความรู้เบื้องต้น แต่ยังมีเคล็ดวิชาและตำราคาถาเวทมากมาย จนกระทั่งนางไปเจอตำราความรู้เบื้องต้นของธาตุอัคคี เยว่ลู่รีบหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาจากชั้นวางอย่างกระตือรือร้น

เนื้อหาในหนังสือกล่าวว่า ผู้ที่ถือกำเนิดมาพร้อมธาตุอัคคี จะแบ่งเป็นสามประเภทใหญ่ ซึ่งจะเรียกตามสีของเส้นวิญญาณในร่าง คือ ส้ม แดง ทอง มนุษย์ทั่วไปมักจะเกิดมาพร้อมธาตุอัคคีสีส้ม หลังจากที่ได้ฝึกฝน เส้นวิญญาณจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น จนกลายเป็นสีแดง และสีทอง แต่การจะฝึกถึงขั้นนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดมาพร้อมธาตุอัคคีสีแดงจะได้เปรียบกว่า แต่ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง และถ้ายิ่งเป็นสีทองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

พออ่านมาถึงตรงนี้ เยว่ลู่ก็เผลอยกนิ้วแตะที่หว่างคิ้วของตนเอง นึกสงสัยว่าตนเองเกิดมาพร้อมเส้นวิญญาณสีอะไร แต่นางจำต้องเก็บความคิดนั้นเอาไว้ และหันกลับมาอ่านต่อ ในตำรายังกล่าวถึงวิธีปลุกพลังธาตุเบื้องต้น และยังบอกถึงวิถีทางเลือกของการเป็นสายดาบหรือสายเวท

เยว่ลู่นั่งอ่านตำราเพลินจนกระทั่งแสงสว่างเริ่มจางลง นางถึงได้เงยหน้าขึ้น และเป็นเวลาเดียวกับที่เหิงเยว่ปรากฏตัวพอดี แต่เหมือนว่าชายหนุ่มจะลืมไปแล้ว ว่าตนเองพึ่งรับลูกศิษย์

“เจ้าเป็นใคร”

*__* เยว่ลู่

เด็กน้อยได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ ในหัวเกิดว่างเปล่าขึ้นมากะทันหัน กระทั่งอีกฝ่ายจำได้เอง “อ้อ เจ้าคือศิษย์น้อยของข้านั่นเอง” เขายิ้มให้นาง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องพัก พอเยว่ลู่ได้สติ ก็นึกโกรธขึ้นมา นางรีบวางตำราในมือลง แล้วเดินไปเคาะประตูเสียงดัง

เคาะอยู่หลายทีก็ยังไม่เห็นเขามาเปิดเสียที เยว่ลู่จึงตัดสินใจผลักประตูเข้าไป

การตกแต่งภายในห้องนั้น ทำให้นางตะลึงไปชั่วขณะ เพราะตั้งแต่เกิดมา นี่นับเป็นครั้งแรก ที่นางได้เห็นห้องนอนหรูหราขนาดนี้ เยว่ลู่ถือวิสาสะก้าวเข้ามาในห้อง มองสำรวจไปรอบๆ

นางเดินผ่านเตียงนอนเข้าไปด้านใน จนกระทั่งถึงห้องอาบน้ำ และเจอกับคนที่นางต้องการพบ

ในสระน้ำกว้างขวาง เหิงเยว่กำลังนั่งพิงขอบสระด้วยท่าทางผ่อนคลาย พอเห็นนางเดินเข้ามา แทนที่เขาจะตกใจ กลับกวักมือเรียกให้นางเข้าไปหา “มานี่สิศิษย์น้อย”

เยว่ลู่ขมวดคิ้วมองร่างเปลือยของชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำโดยไม่นึกเขินอาย ก่อนจะเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ

“ถูหลังให้อาจารย์หน่อย”

*__* เยว่ลู่

เด็กน้อยอึ้งไปหลายอึดใจ ก่อนจะโวยวายเสียงดัง “ท่านยังสติดีอยู่หรือเปล่า บังคับรับข้าเป็นศิษย์ แล้วก็ทิ้งข้าไว้ แล้วยังมีหน้ามาใช้ข้าอีก! นี่ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่!”

“อ่า ก้าวร้าวจริงเชียว เอาน่า ถูหลังให้อาจารย์ก่อน เดี๋ยวพออาบน้ำเสร็จพวกเราค่อยคุยกัน”

เยว่ลู่จำต้องกัดฟันเดินไปหยิบผ้าที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด พอหันกลับมาก็เห็นว่าเขาลุกขึ้นมานั่งบนขอบสระรออยู่ก่อนแล้ว ยังดีว่าบั้นเอวไปจนถึงหน้าขามีผ้าผืนเล็กคลุมเอาไว้เลยไม่ได้ดูอุจาดตามากนัก แต่ถึงอย่างนั้น เยว่ลู่ก็ยังได้เห็นรูปร่างของอีกฝ่ายเต็มตา

คนผู้นี้ น่าจะมีอายุราวยี่สิบกว่า ผิวพรรณขาวนวลเนียน รูปร่างสมส่วน ไหล่กว้าง เอวสอบ มีกล้ามพองาม ช่วงขายาวพอดู ส่วนหน้าตาก็นับว่าหล่อเหลาไม่น้อยเลยทีเดียว ขนคิ้วทั้งสองข้างดำสนิทเรียงตัวสวยงามราวกับวาดเอาไว้ จมูกโด่งเป็นสัน กรอบหน้าเรียวยาว แทบจะมองไม่เห็นสันกราม ริมฝีปากหยักได้รูป ผมดำสนิทยาวจนถึงสะโพก

ถ้าหากเยว่ลู่เป็นหญิงสาว บางทีอาจจะหลงรักบุรุษผู้นี้ก็เป็นได้ แต่เผอิญว่านางยังเป็นเด็ก ซ้ำยังเป็นเด็กที่เคยผ่าศพมนุษย์มาแล้ว ร่างงดงามตรงหน้า ในสายตาของนางจึงไม่ต่างอะไรกับศพ

“มองอะไรอยู่ เจ้าอย่าได้คิดเลยเถิดกับอาจารย์เป็นอันขาดเชียว”

คำพูดของชายหนุ่ม เกือบจะทำให้เยว่ลู่ปาผ้าในมือใส่หน้าเขา แต่ก็จำต้องเก็บอารมณ์ไว้ เพราะโต้เถียงกับคนหน้าด้านไปก็ไม่มีวันชนะ นางจึงเดินไปถูหลังให้เขาโดยไม่พูดไม่จา

หลังจากที่ได้รับการปรนนิบัติ เหิงเยว่ก็มีท่าทางอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก ถึงกับฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอ พออาบน้ำเสร็จ เขาก็สั่งให้นางอาบบ้าง จากนั้นตัวเองก็สวมเสื้อคลุม ก้าวออกไปข้างนอก

ในตอนที่เยว่ลู่ก้าวออกมา อาจารย์ของนางก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

“เจ้าไม่มีเสื้อผ้าดีกว่านี้แล้วหรือ?” เหิงเยว่ขมวดคิ้วถามลูกศิษย์

เยว่ลู่ส่ายหน้า ก่อนจะถามเขากลับ “ท่านจะให้ข้านอนที่ไหน แล้วมือเย็นล่ะ”

“โอ้ ข้าลืมไปสนิทเลย เรื่องที่นอน เจ้าหาที่เหมาะๆ นอนข้างนอกได้เลย เครื่องนอนมีอยู่ในตู้ในห้องเก็บของ ส่วนอาหาร เดี๋ยวข้าสั่งให้คนเอาขึ้นมาให้ แต่แค่วันนี้เท่านั้นนะ เพราะต่อไปเจ้าจะต้องทำตามกฎระเบียบเหมือนศิษย์คนอื่น ข้างนอกนั่นมีหนังสือบอกกฎอยู่ เจ้าไปอ่านดูเองก็แล้วกัน”

เยว่ลู่ฟังจบก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก ก้าวออกจากห้อง ตรงไปยังห้องเก็บของ เตรียมเครื่องนอนมาปูไว้ตรงชั้นหนังสือ ไม่นานก็มีคนนำอาหารขึ้นมาส่ง

เด็กน้อยกินข้าวไป ก็มองสำรวจลูกแก้วที่ให้แสงสว่างภายในห้องไปด้วย นางรู้จักไข่มุกราตรีพวกนี้ดี เพราะเวลาที่ไปขโมยของบ้านใคร บิดาของนางมักชอบหยิบมันติดมือมา เวลานี้สิ่งที่เยว่ลู่คิดคือก่อนที่นางจะไป นางตั้งใจจะขโมยไข่มุกไปด้วยสักเม็ด

เยว่ลู่อ่านกฎของสถาบันจนหลับไป ในตอนเช้าที่นางตื่นขึ้นมา ก็เห็นจดหมาย เสื้อผ้า พร้อมด้วยชุดคลุมและเข็มกลัดของสถาบันวางอยู่บนโต๊ะ นางเลือกหยิบจดหมายมาอ่านเป็นอันดับแรก ข้อความในจดหมายไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่บอกให้นางไปเข้าเรียนในชั้นเรียนเหมือนเด็กคนอื่น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel