บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ความจริงใจ

ค่ำคืนนั้น อินหยงเล่าเรื่องพี่สาวของนางให้ฟังด้วยความชื่นชม บอกว่าพี่สาวที่แก่กว่านางสี่ปี เป็นผู้มีพลังธาตุ และได้เข้าเรียนในสถาบัน ทั้งยังกลายเป็นศิษย์เอกของอาจารย์เวทย์ชื่อดัง เยว่ลู่ฟังจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว

พอตื่นมาตอนเช้า ก็เห็นอินหยงกำลังจะออกจากบ้านพร้อมด้วยห่อข้าว เยว่ลู่จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “นั่นเจ้าจะไปที่ใด”

อินหยงหันมาใช้นิ้วอังริมฝีปากของตนเอง “ชู่ๆ” พร้อมกับชี้นิ้วให้เยว่ลู่ตามออกไปข้างนอก

พออินหยงหันไปปิดประตูบ้านเรียบร้อย นางถึงได้หันมากระซิบบอก “ข้าจะเอากับข้าวไปให้พี่สาว”

“แล้วเหตุใดถึง...” เยว่ลู่เหลือบมองทางบานประตู

“อ้อ เรื่องนี้น่ะหรือ” อินหยงมีท่าทางเศร้าไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าไปหาพี่อินอิง ข้าเลยไม่อยากให้เขารู้”

เยว่ลู่ฟังแล้วก็พอจะเข้าใจ เพราะนางผ่านชีวิตมาโชกโชนกว่าคนตรงหน้ามากนัก “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าจะได้เอาข้าไปอ้างได้”

อินหยงยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน รีบจูงมือเยว่ลู่ออกจากบ้าน

สองเด็กหญิงในชุดเก่าที่มีแต่รอยปะชุน เดินฝ่าหิมะตรงไปยังสถาบันสอนวิชา ตลอดทางที่เดิน อินหยงเล่าถึงเรื่องของพี่สาวไม่ขาดปาก ทำให้เยว่ลู่พอมองออกว่านางรักและชื่นชมพี่สาวของนางมากเพียงใด

ตอนที่ทั้งคู่มาถึงหน้าสถาบัน เป็นเวลาที่นักศึกษากำลังทยอยมาเข้าเรียนพอดี ความแตกต่างของชนชั้น ทำให้ไม่มีใครสนใจเด็กทั้งสอง

อินหยงละมือจากเยว่ลู่รีบวิ่งตรงไปยังประตูด้วยความตื่นเต้น เยว่ลู่เห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าตามไป เพราะนางไม่เคยมีความรู้สึกระหว่างพี่น้อง พอคิดมาถึงตรงนี้ ภาพทารกทั้งสามก็ปรากฏขึ้นในหัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกัน ข้าสัญญา ข้าจะตามหาพวกเจ้า เย่วลู่คิด

“เจ้าอีกแล้วหรือ นางทาสชั้นต่ำ! ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่ามากวนใจศิษย์พี่อินอิงอีก อยากตายนักใช่ไหม หา!”

“โอ๊ย! อย่าทำข้า ข้าแค่เอาข้าวมาฝากให้พี่สาว”

เสียงโวยวายดังมาจากหน้าประตู ดึงความคิดของเยว่ลู่ให้กลับมา เด็กน้อยรีบมองไปตามเสียง ภาพที่เห็นคือเด็กชายวัยสิบสาม สิบสี่ สองคนกำลังตบตีอินหยงอยู่ ไวเท่าความคิด เย่วลู่วิ่งเข้าไปเตะขาอ่อนของคนที่กำลังกระทืบร่างของอินหยงอย่างแรง จนเด็กผู้นั้นต้องกุมขาร้องโอดโอย ก่อนจะรีบพยุงอินหยงให้ลุกขึ้น

เดิมที ภาพที่อินหยงถูกรุมทุบตีไม่เคยมีใครสนใจ เพราะเป็นเช่นนี้เกือบทุกวัน แต่พอเป็นภาพที่ศิษย์ของสถาบันถูกทาสชั้นต่ำทำร้าย เลยกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

“นี่เจ้า รนหาที่ตาย!” เด็กหนุ่มอีกคนไม่รอช้า พุ่งเข้ามาหาสองเด็กหญิง เยว่ลู่ผลักอินหยงหลบไปด้านข้าง ส่วนตัวเองเบี่ยงตัวหลบหมัดไปด้านซ้ายมือ จากนั้นก็ต่อยเข้าที่ชายโครงของเด็กผู้นั้นอย่างจัง ถึงแม้ขนาดรูปร่างและพละกำลังของทั้งสองจะต่างกันมากก็จริง แต่เยว่ลู่เลือกจู่โจมตรงจุดอ่อน ทำให้เด็กหนุ่มจุกจนตัวงอ

นางไม่สนใจจะรอดูผลงาน รีบเข้าไปดึงมืออินหยง แล้วพากันวิ่งหนีไป

บนหอคอยเจ็ดชั้นภายในสถาบัน บุรุษผมสีดอกเลาเลิกคิ้วมองตามแผ่นหลังของเด็กน้อยทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้สนใจบุรุษผมดำที่หัวเราะเสียงดังอยู่ด้านข้าง

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสฝู ท่านช่างสั่งสอนศิษย์ได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

ฝูซัน หาได้สนใจวาจากระแหนะกระแหนของคนหนุ่ม เพราะความคิดของเขายังจมอยู่กับภาพเมื่อครู่ ศิษย์ของเขา เขาย่อมรู้ดีว่าทั้งคู่มีความสามารถแค่ไหน การที่ถูกทาสชั้นต่ำที่เป็นเพียงเด็กน้อยทำร้ายได้นี่.. มันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่มีทางเชื่อเป็นแน่

“จะว่าไป เด็กนั่นก็น่าสนใจไม่น้อย ตอบสนองได้เร็วขนาดนั้น ต่อให้ไม่มีพลังธาตุ ข้าก็เต็มใจจะรับนางเป็นศิษย์นะ หรือท่านว่าไง ฮ่าๆ” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยจบ ก็หุบพัดในมือเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เรื่องราวบนชั้นเจ็ดของหอคอย เยว่ลู่หาได้รับรู้ พาอินหยงวิ่งหนีมาจนกระทั่งถึงบ้าน ทั้งสองยังไม่ทันได้เข้าไป ก็เจอกับบิดาของอินหยงยืนรออยู่

สภาพหน้าตาของบุตรสาว ทำให้ อินจู่ โกรธมาก ถึงกับคว้าไม้จะเข้าไปตี แต่ถูกภรรยาจับเอาไว้ ส่วนเยว่ลู่รีบดึงอินหยงไปหลบอยู่เบื้องหลังตนเอง

“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่าไปที่สถาบันนั่นอีก เจ้าไม่มีพี่สาวได้ยินไหม!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง ในตาแดงก่ำ แต่ท้ายที่สุดก็ตีลูกไม่ลง จึงได้แต่ขว้างไม้ในมือทิ้ง ยืนหายใจหอบ

อินหยงค่อยๆ ก้าวออกมาจากเบื้องหลังของเยว่ลู่ ก้มหน้าร้องไห้ “ท่านพ่อ ข้าขอโทษ ข้าแค่คิดถึง..”

“หุบปาก! นางทำกับพวกเราไว้อย่างไรบ้าง เจ้าลืมแล้วหรือ เจ้ายังจะไปคิดถึงนางอีกทำไม” อินจู่เอ่ยเสียงสั่นเครือ

เท่าที่ฟังดู เยว่ลู่ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้ พี่สาวของอินหยงคนนั้น น่าจะมีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นึกไป อินหยงก็นับว่าน่าสงสารไม่น้อย แต่นางคงช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้

หลังจากที่บิดาของอินหยงสงบลง มารดาของนางก็หันมาชวนเยว่ลู่ให้เข้าไปทานข้าวเช้า

เยว่ลู่ถือโอกาสนี้มอบค่าเช่าให้ครอบครัวของอินหยงในราคาสูง ผลึกวารีระดับต่ำห้าสิบก้อน แม้แต่ในฝันคนทั้งบ้านก็ยังไม่เคยเห็น พวกเขารีบปฏิเสธที่จะรับ แต่เยว่ลู่ก็ยังยืนกรานจะให้ โดยอ้างเหตุผลว่า การที่นางพกพาสมบัติมากมายติดตัวอาจเป็นอันตรายในยามเดินทาง มิสู้แจกจ่ายให้เหลือน้อยหน่อยดีกว่าครอบครัวอินหยงจึงยอมรับไว้แต่โดยดี

ความจริงแล้วนางก็แค่โป้ปดไปอย่างนั้นเอง คงไม่มีโจรที่ไหนจะคาดถึง ว่าทาสเด็กในสภาพโกโรโกโส จะมีผลึกล้ำค่าติดตัวมากมาย เยว่ลู่หาได้มีเพียงถุงข้างเอวอย่างเดียว ตามชายเสื้อชายกระโปรง หรือแม้แต่ภายใต้เสื้อคลุมล้วนมีกระเป๋าลับซุกซ่อนอยู่

หลังจากกินข้าวเสร็จ เยว่ลู่ก็ออกไปหาข่าวเกี่ยวกับกองทัพ นางตั้งใจว่าจะเข้าไปรับจ้างกวาดหิมะในปราสาทของเจ้าเมือง ก่อนจะออกจากบ้าน นางเคยเปิดดูถุงข้างเอวครั้งหนึ่ง เห็นเจ้าหนอนอ้วนนอนท้องกลมหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ ก็รู้สึกหมั่นไส้มันขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตั้งแต่ได้มันมา นอกจากมันจะกินกับนอนแล้ว หาประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้เลย มิหนำซ้ำ มันยังขี้ขลาดเอามากๆ อีกด้วย ยิ่งพอไม่เห็นผลึกอัคคีเหลืออยู่เลยสักชิ้น เยว่ลู่ก็นึกอยากจะจับมันไปย่างกินให้รู้แล้วรู้รอด

ปราสาทของเจ้าเมืองไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนในพระราชวัง งานจึงมีไม่มาก หลังจากที่เข้ามาทำงานได้ไม่ถึงชั่วยามก็ใกล้จะเสร็จ เลยพอมีเวลาให้เยว่ลู่ได้สืบจนรู้ว่าอีกเจ็ดวันองค์ชายสิบสี่จะพากองทัพกลับเมืองหลวง ฉะนั้นนางยังพอมีเวลาคิดหาทางกลับไปพร้อมเขา ในตอนที่เยว่ลู่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีเศษหิมะกระเซ็นขึ้นมาเลอะใบหน้า เด็กน้อยหันขวับไปมอง เห็นฝ่าเท้าใหญ่โตของเจ้าหมียักษ์ตัวเดิมเหยียบลงบนกองหิมะของนาง เยว่ลู่จึงถลึงตาใส่มัน พร้อมกับต่อว่าด้วยความขุ่นเคือง “บัดซบทั้งนายทั้งบ่าว!”

หมีขาวตัวใหญ่ถึงกับยืนอึ้ง เสวี่ยสงที่ไม่เคยคิดจะเอ่ยวาจากับมนุษย์อื่นนอกจากองค์ชายสิบสี่มาก่อน ถึงกับต้องเอ่ยถามนาง “เจ้าด่าข้า?”

“เฮอะ! ไม่ด่าเจ้าแล้วจะให้ด่าหมาแมวที่ไหนอีก” ตั้งแต่ที่รู้ว่ามันคือสัตว์อสูรขององค์ชายสิบสี่ เยว่ลู่ก็ไม่อยากจะสนใจมันอีก เพราะนางเกลียดเขา เลยพาลเกลียดเจ้าหมีตรงหน้าไปด้วย

“ไม่กลัวข้าจับเจ้ากินหรือ” เสวี่ยสงแสร้งวางท่าดุร้าย หวังจะขู่ให้นางกลัว แต่สิ่งที่มันได้รับคือรอยยิ้มเยาะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มันถึงไม่คิดโกรธเคืองเด็กน้อยตรงหน้า หากเป็นมนุษย์อื่นทำเช่นนี้ คงได้ลงไปนอนในท้องมันไปแล้ว เมื่อมันตัดใจทำร้ายเด็กหญิงไม่ได้ มันจึงกลั่นแกล้งนางแทน โดยการใช้ฝ่าเท้าละเลงกองหิมะของนางจนกระจัดกระจาย กระทั่งเยว่ลู่ทนไม่ไว้ ต้องเอาไม้กวาดมาไล่ตีมัน

ไม่นาน หนึ่งหมีหนึ่งคนก็วิ่งไล่จับกันไปมา ภาพที่หาดูยากเช่นนี้ แม้แต่เสวี่ยตงฟ่านเองยังไม่คิดว่าจะได้มาเห็น เขาถึงกับเลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ

พอเสวี่ยสงเห็นเจ้านาย มันก็หยุดชะงักทันที ทำให้ถูกเยว่ลู่ที่ตามมาทันฟาดด้ามไม้กวาดไปที่ก้น กว่าที่นางจะเห็นบุคคลที่สามก็ไม่ทันแล้ว

องค์ชายสิบสี่ไม่ได้คิดจะเอ่ยอะไร ถึงจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่เด็กตรงหน้าก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจ ร่างสูงเดินผ่านนางไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง

ไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายเอ่ยปาก เสวี่ยสงก็เดินตามไปอย่างรู้หน้าที่ แต่ก่อนไป มันยังอดที่จะหันกลับมามองไม่ได้

ส่วนเยว่ลู่ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความเจ็บใจ เสวี่ยตงฟ่าน! เจ้าตัวบัดซบ! สักวันหนึ่งเถิด ข้าจะเอาคืนให้สาสมเลย หึ!

เยว่ลู่ทำงานจนกระทั่งเย็น รับค่าแรงและกลับออกจากปราสาทของเจ้าเมือง เดินตรงกลับไปยังบ้านของอินหยง

พอนางมาถึง ก็เห็นผู้คนมากมายยืนมุงดูอะไรบางอย่างจนปิดเส้นทาง แต่เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมา ทำให้เยว่ลู่ต้องรีบแหวกฝูงชนเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“กรี๊ด ท่านพี่! ฮึก ฮือๆ ยะ..อย่า ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำร้ายสามีข้า”

“ท่านพ่อ! ฮือๆ พี่ชาย ข้าขอโทษ พวกท่านอย่าทำร้ายท่านพ่อข้าเลย ลงโทษข้าเถิด ท่านจะทำอะไรข้ายอมทุกอย่าง”

เสียงกรีดร้องของอินหยงและมารดา ยิ่งทำให้เยว่ลู่ผลักผู้คนที่ยืนขวางโดยไม่สนใจว่าใครจะเจ็บ กว่าที่นางจะหลุดพ้นกำแพงฝูงชนมาได้ สภาพของอินจู่ก็ย่ำแย่เต็มทน ชายผู้นั้นนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ฝ่าเท้าเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

ในตอนนี้เอง อินหยงและมารดาบังเอิญหันมาเห็นเยว่ลู่เข้าพอดี ทั้งคู่จึงรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้นางหนีไป แต่ไม่เพียงเยว่ลู่จะไม่คิดหนี นางยังเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง

พอเด็กหนุ่มเหล่านั้นหันมาเห็นนาง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด “มาแล้วหรือ นางตัวดี!”

ที่แท้สองในสี่คนนี้ คือคนที่ถูกเยว่ลู่ทำร้ายเมื่อเช้า เด็กชายยกฝ่าเท้าออกจากร่างของอินจู่ หันไปสั่งบุรุษสองคนด้านหลังเสียงเหี้ยมเกรียม “ไปจับมันมาให้ข้า!”

ทั้งสองรีบเดินเข้ามาจับเยว่ลู่ แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ ร่างเล็กขยับอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่มที่เป็นคนออกคำสั่ง

ความรวดเร็วของนางเกินกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้ แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะถือดาบ แต่การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณยังช้ากว่าเยว่ลู่อยู่หลายอึดใจ พริบตาเดียว ปลายกริชก็แทงเข้าไปที่ขาอ่อนด้านใน พร้อมกับถูกชักออกในทันที ทำให้เลือดพุ่งกระฉูด ในจังหวะที่เด็กคนนั้นก้มตัวเอามือไปอุดบาดแผล เยว่ลู่ก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังอีกฝ่ายพร้อมทั้งเอากริชจี้ไปที่ลำคอ

“คุณชาย!”

“ศิษย์พี่!”

เสียงฮือฮาด้วยความตกใจดังไปทั่วบริเวณ แต่เยว่ลู่ไม่มีเวลามาสนใจ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแลดูน่ากลัวไม่น้อย ใบหน้าเล็กโน้มลงไปกระซิบข้างหูของเด็กหนุ่มเสียงต่ำ “ภายในสามสิบลมหายใจ ถ้าเจ้าไปรักษาไม่ทัน เจ้าจะตาย!”

“จะ..เจ้า! ปะ..ปะ..ปล่อย ข้า”

เยว่ลู่กระโดดลงจากร่างของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ถีบเข้าไปที่ก้น ทำให้เขาถลาเข้าไปหาพรรคพวกที่กำลังยืนอึ้งอยู่ “ยังไม่รีบพามันไปรักษาอีก! หรืออยากให้มันตายจริงๆ”

ทั้งสี่รีบพากันจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับมามอง

ความจริงเรื่องเป็นเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร เด็กที่เรียนเพียงทฤษฎีอยู่ในสถาบัน ย่อมไม่มีประสบการณ์ ผิดกับเยว่ลู่ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก

ตอนนางอายุได้หกหนาว บิดาเคยทิ้งนางไว้กับหมาป่าฝูงใหญ่ แม้แต่มีดสักเล่มก็ไม่ทิ้งไว้ให้ ความหวาดกลัวและการอยากมีชีวิต ทำให้นางรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด แต่หลังจากนั้น นางก็ถูกจับโยนไปกลางฝูงหมาป่าอีกหลายครั้งจนกระทั่งนางฆ่าหมาป่าตัวหนึ่งได้ ความกลัวเหล่านั้นถึงได้หายไป

พอคนเหล่านั้นจากไป เยว่ลู่ก็รีบเข้าไปดูอาการบิดาของอินหยง ทั้งสามรีบพยุงชายหนุ่มเข้าบ้าน นางเช็ดล้างบาดแผลให้เขาด้วยความชำนาญ พอเห็นว่าแผลถูกฟันไม่ได้ลึกเท่าไหร่ ถึงได้วางใจ

“พ่อเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก แค่บาดเจ็บภายนอก ว่าแต่คนพวกนั้นมาตามหาข้าหรือ?”

หลังจากช่วยทำแผลให้บิดาของอินหยงเสร็จ เยว่ลู่ก็หันกลับมาถามเด็กหญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านข้าง

อินหยงพยักหน้าทั้งน้ำตา

“แล้วเหตุใดถึงไม่บอกให้พวกมันไปหาข้า”

“พวกเราทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะสาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากข้า แค่ที่เจ้าช่วยข้าเมื่อเช้า ก็ถือเป็นบุญคุณยิ่งแล้ว จะให้ข้าทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”

เยว่ลู่ได้ยินถึงกับอึ้งไป ความจริงใจเช่นนี้ นางพึ่งเคยเจอ พึ่งจะรู้ว่ายังมีคนที่ยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยง เพื่อปกป้องคนอื่น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel