ตอนที่ 9 เสอเหนียน
มิติแห่งนี้ เป็นพื้นที่ว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา มีเพียงวงล้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่
“สิบสองนักษัตร?” เยว่ลู่ทวนชื่อที่เขียนไว้บนวงล้อ พร้อมกับมองไปตามภาพสัตว์สิบสองช่อง
“สู่เหนียน ภาพหนู” ‘หนิวเหนียน ภาพวัวกระทิง”
“หู่เหนียน ภาพพยัคฆ์” “ทู่เหนียน ภาพกระต่าย”
“หลงเหนียน ภาพมังกร” “เสอเหนียน ภาพอสรพิษเก้าหัว”
“หม่าเหนียน ภาพอาชาโลหิต” “หยางเหนียน ภาพแพะ”
“โหวเหนียน ภาพวานร” “จีเหนียน ภาพไก่ฟ้า”
“โก่วเหนียน ภาพหมาป่า” “จูเหนียน ภาพหมู”
“บันทึกสิบสองนักบวชเกี่ยวอะไรกับสิบสองนักษัตร หรือว่า...” ยิ่งคิด เยว่ลู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ กระทั่งเหลือบไปเห็นคันโยก นางจึงตัดสินใจลองสับคันโยกดู
วงล้อชั้นที่มีภาพสิบสองนักษัตรหมุนวนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หยุดลงที่ภาพของอสรพิษเก้าหัว ร่างของเยว่ลู่เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ไม่กี่อึดใจต่อมา ลำแสงจากภาพก็พุ่งเข้ามาหานาง
เวลานี้ภาพในหัวของเยว่ลู่คือภาพของดาราจักร ที่มีกลุ่มดาวสิบสองนักษัตรเปล่งแสงเจิดจ้า ไม่นานดวงดาวเหล่านั้นก็พุ่งลงไปยังพื้นโลก และก่อเกิดเป็นปราสาทสิบสองหลัง
ในอดีตกาล ก่อนที่มนุษย์จะมีพลังธาตุ มีมนุษย์บางคนยอมสังเวยดวงวิญญาณของตัวเองแลกกับพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดภายในปราสาท เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาถูกเรียกว่านักบวช จนกระทั่งหลายล้านปีผ่านไป เมื่อมนุษย์เริ่มมีพัฒนาการจนมีพลังเป็นของตัวเอง ผู้คนก็เริ่มหลงลืมนักบวชเหล่านั้น
อีกหลายหมื่นปีต่อมา สิบสองปราสาทก็ถูกหลงลืมอย่างแท้จริง ผู้คนรู้เพียงว่า ที่นั่นเป็นที่พำนักของสิบสองนักบวชจากรุ่นสู่รุ่น และมีพลังกล้าแกร่ง แต่ไม่เคยมีใครได้เห็นพลังที่แท้จริง หรือแม่แต่รูปร่างหน้าตาของนักบวชเหล่านั้น
เวลานี้ เยว่ลู่ยืนอยู่ในปราสาทเสอเหนียนหรืออสรพิษเก้าหัว นักบวชผู้ครอบครองธาตุมืด
เยว่ลู่มองเห็นภาพในมิติตั้งแต่ที่มนุษย์ธรรมดาเดินเข้าไปในปราสาท จากนั้นก็ทำพิธีบูชายัญด้วยดวงวิญญาณของตนเอง เพื่ออัญเชิญดวงจิตของอรพิษเก้าหัวให้มาเข้าร่าง และเมื่อใกล้สิ้นอายุขัย ลูกหลานในตระกูลก็จะมารับช่วงต่อพิธีกรรม ทำให้ยังมีนักบวชให้เห็นมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อจากนั้นเยว่ลู่ก็ถูกส่งกลับออกมายืนเบื้องหน้าวงล้อดังเดิม นางไม่ได้คิดจะสับคันโยกเพื่อเข้าไปดูภาพอื่น แต่เลือกที่จะถอนจิตตนเองออกจากตำรา เพราะตอนนี้ นางได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ที่แท้ร่างกายมนุษย์ก็สามารถใช้ธาตุอื่นได้ นางแค่ต้องหาวิธีปลุกเส้นวิญญาณธาตุมืด
เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว เยว่ลู่ก็ยิ่งอยากจะศึกษาเกี่ยวกับพลังของธาตุมืดมากขึ้น นางจึงกลับไปยังชั้นหนังสือ หาตำราที่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจมาอ่าน
ในหอสามชั้นบนเขา รุ่ยเซียนกลับมาเล่าเรื่องบนชั้นหกให้บิดาฟังอย่างละเอียด รวมทั้งเรื่องที่ถูกเยว่ลู่ข่มขู่ แต่ชายชรากลับไม่มีทีท่ากังวล
“เด็กนั่นยังแข็งแรงดีอยู่จริงหรือ” ปรมาจารย์รุ่ยกวงหันไปถามบุตรสาวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เจ้าค่ะ นางยังแข็งแรงดี จริงสิ ท่านพ่อ ในเมื่อท่านทำสำเร็จ ก็หมายความว่า นางเด็กนั่นกลายพันธุ์แล้วใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็แต่งงานกับพี่เหิงเยว่ได้แล้วสิ”
“เรื่องนี้ พ่อยังตอบเจ้าไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นเด็กคนนั้น แล้วอีกอย่าง เจ้าอย่าได้ถามเรื่องนี้กับเหิงเยว่เป็นอันขาด มิเช่นนั้น จะทำให้เขาสงสัย”
“แล้วถ้านังเด็กนั่นไม่ยอมลงจากชั้นหกล่ะเจ้าคะ ลูกมิต้องรอจนแก่เลยหรือ” รุ่ยเซียนรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ยิ่งคิดไปถึงใบหน้าหล่อเหลาของเหิงเยว่ นางก็อยากรีบแต่งงาน
เห็นบุตรีเป็นเช่นนี้ ผู้เป็นพ่อก็ได้แต่ส่ายหน้า “เซียนเอ๋อ ถ้าเจ้าอยากแต่ง ก็แต่งเลยสิ จะสนใจเรื่องพันธสัญญาไปทำไม ความจริง พ่อยังไม่เห็นคู่แต่งงานคู่ไหนเขาทำพันธสัญญากันเลยสักคู่”
“ลูกก็อยากแต่งเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อก็เห็นแล้ว ว่าพี่เหิงเยว่รักและให้เกียรติลูกมากแค่ไหน เขาคงไม่ยอมแต่งกับลูกเป็นแน่ ถ้าพวกเราไม่ได้ทำพันธสัญญากัน”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมารุ่ยเซียนก็ยิ่งกลัดกลุ้ม บิดาของนางก็ไม่แตกต่าง เพราะตัวเขาเองก็อยากได้ตัวเยว่ลู่ใจจะขาด
กลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เยว่ลู่กลับมาจากไปกินมื้อเย็นที่โรงอาหาร นางก็เห็นเหิงเยว่กลับมาแล้ว มิหนำซ้ำยังเรียกนางไปปรนนิบัติ ตั้งแต่ช่วยอาบน้ำ มาจนถึงช่วยเตรียมเสื้อผ้า ไหนยังจะต้องช่วยจัดที่นอน พอเขาจะเอ่ยปากใช้งานนางอีก เยว่ลู่ก็ยกมือเท้าสะเอว มองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ศิษย์รัก เจ้าจะปรนนิบัติอาจารย์สักเล็กน้อยไม่ได้เชียวหรือ อาจารย์อุตส่าห์ทุ่มเทให้เจ้าขนาดนี้แล้ว” เหิงเยว่ทำท่าน้อยอกน้อยใจ จนเยว่ลู่นึกหมั่นไส้ “หึ! เสแสร้ง ไม่ใช่ว่าท่านแค่ใช้ข้าบังหน้าหรอกหรือ ตั้งแต่ท่านรับข้าเป็นศิษย์ นอกจากทิ้งข้าไว้ลำพัง กับใช้ข้าถูหลังแล้ว ท่านเคยสั่งสอนอะไรข้าเสียที่ไหน!”
“เจ้านี่นะ จะยอมลงให้อาจารย์หน่อยไม่ได้เชียวหรือ ก็ได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเรามาทำข้อตกลงกัน ข้าจะให้เจ้าถามเรื่องที่อยากรู้ได้วันละหนึ่งเรื่อง เพื่อแลกกับการที่เจ้าต้องปรนนิบัติข้า ดีหรือไม่” เหิงเยว่เดินไปนั่งที่เตียง พร้อมกับหยิบถุงเท้าติดมือมา แล้วยื่นให้นางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เยว่ลู่ยืนคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงได้ยอมเดินไปหยิบถุงเท้ามาสวมให้เขา พร้อมกับถามคำถามแรก “ข้าอยากรู้วิธีปลุกเส้นวิญญาณธาตุมืด”
“โอ้ แต่ธาตุมืดที่เจ้าได้มาจากปีศาจระดับจักรพรรดินั่น มันค่อนข้างมีพลังมากนะ เจ้าอาจจะควบคุมมันไม่ได้”
พอได้ยินอย่างนั้น แทนที่เยว่ลู่จะสนใจเรื่องที่เขาพูด นางกลับสนใจเรื่องอื่นแทน “ที่แท้แสงสว่างในดวงจิตของข้า ก็เป็นท่านจริงๆ สินะ”
เหิงเยว่ไม่ได้ตอบนางในเรื่องนี้ เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่คำถามเขาเลยได้แต่ยิ้มโอ้อวด ส่วนเยว่ลู่เองก็ไม่ได้คิดจะรอคำตอบ หลังจากสวมถุงเท้าให้เขาเสร็จ นางก็ลุกขึ้นยืน “ท่านควรบอกข้าได้แล้ว”
“ศิษย์น้อย เจ้ารู้ใช่ไหมว่าธาตุมืดไม่ใช่ธาตุของมนุษย์ หากเจ้าควบคุมมันไม่ได้ เจ้าจะกลายเป็นปีศาจ” น้ำเสียงของเหิงเยว่เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างที่เยว่ลู่ไม่เคยเห็น แต่นางหาได้กังวล ตอบเขากลับด้วยท่าทางจริงจังไม่แพ้กัน “ข้าทราบดี ท่านเพียงแค่บอกวิธีมา ที่เหลือข้าจะพิจารณาเอง”
ได้ยินอย่างนั้น เหิงเยว่ก็ยกยิ้ม พร้อมกับยกขาขึ้นมาบนเตียง เอนหลังพิงหัวเตียงด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะบอกเรื่องที่นางอยากรู้ “การปลุกเส้นวิญญาณธาตุมืด ก็ไม่ต่างอะไรกับการปลุกเส้นวิญญาณธาตุอื่น เพียงแต่ก่อนจะปลุกมัน เจ้าจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อน มนุษย์ทั่วไปจะสามารถปลุกเส้นวิญญาณได้สามร้อยหกสิบเส้นซึ่งน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่น แต่หากจะใช้ธาตุมืด เจ้าจะต้องปลุกเส้นวิญญาณให้ได้มากกว่านั้นอีกเป็นเท่าตัว อาจารย์อธิบายเช่นนี้เจ้าพอจะเข้าใจหรือไม่”
เยว่ลู่พยักหน้า พร้อมกับถามต่อ “แล้วข้าจะปลุกเส้นวิญญาณในร่างของตัวเองให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร”
“หึหึ ศิษย์รัก เกรงว่าคำถามนี้ เจ้าคงต้องเอาไว้ถามอาจารย์พรุ่งนี้แล้ว”
“นี่ท่าน!”
เหิงเยว่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ลูกศิษย์ มองท่าทางโกรธเกรี้ยวของนางอย่างนึกสนุก คิดอยากจะแย่ให้นางโกรธอีกสักหน่อย แต่เด็กน้อยกลับเดินหนีออกจากห้อง เขาเลยได้แต่หัวเราะตามหลังนาง
“บิดามันเถอะ! เหตุใดชีวิตข้าต้องมาเกี่ยวข้องกับเขาด้วย” พอเดินพ้นประตู เยว่ลู่ก็สบถออกมาด้วยความหงุดหงิด มิหนำซ้ำ หงุดหงิดจากคนเป็นอาจารย์ยังไม่พอ ยังต้องมาอารมณ์เสียกับเจ้าหนอนน้อยจอมตะกละอีก
“นี่ๆ ผลึกในนี้หมดแล้ว เจ้าช่วยเอามาให้ข้าอีกได้ไหม” เสียงของมัน ยิ่งทำให้เยว่ลู่เดือดดาล นางจึงล้วงมือเข้าไปหยิบเจ้าจอมหนอนอ้วนออกมาจากถุงข้างเอว “จากนี้เจ้าจะต้องทำงานแลกผลึก”
“ไอ๊หยา สารรูปอย่างข้าจะไปทำงานอะไรได้ พี่สาวคนดี ท่านอย่าได้ใจร้ายนัก” หนอนอ้วนที่ถูกจับห้อยหัวดิ้นไปดิ้นมาบ่นอุบอิบ แต่เด็กน้อยกลับไม่สนใจ เยว่ลู่ยกยิ้มชั่วร้าย “งานที่ข้าจะให้เจ้าไปทำ เหมาะกับเจ้าแน่นอน”
“เห? งานอะไรหรือ” หนอนอ้วนหยุดดิ้นทันทีที่ได้ยิน มองมาที่เยว่ลู่ตาโต
“หึหึ” เด็กหญิงหัวเราะชั่วร้าย ก่อนจะเอ่ยเน้นทีละคำ “เป็นสายลับ”
หลังจากที่ตกลงกันได้ เยว่ลู่ก็เข้าสมาธิปลุกเส้นวิญญาณธาตุอัคคีในร่างอย่างไม่ต้องกังวลอีก เพราะถึงอย่างไร นางก็ไม่มีทางปิดบังอาจารย์ผู้นั้นของนางได้อยู่ดี
การปลุกเส้นวิญญาณสองเส้นแรกนั้น ดูเหมือนจะง่าย แต่พอมาถึงเส้นที่สาม มันกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด และยิ่งเยว่ลู่ใช้วิธีไม่เหมือนใครก็ยิ่งเป็นไปได้ยาก จนกระทั่งเช้า เส้นวิญญาณเส้นที่สามพึ่งจะเริ่มก่อเป็นรูปร่าง
เยว่ลู่ลืมตาขึ้นมาด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ “วิธีนี้ ช้ามากจริงๆ”
“ศิษย์รัก เข้ามาหาอาจารย์หน่อย” นางยังไม่ทันได้ขยับตัว เสียงของเหิงเยว่ก็ดังออกมาจากห้องนอน ทำให้เยว่ลู่ต้องกลอกตามองบนด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมเข้าไปปรนนิบัติเขาล้างหน้าล้างตาอยู่ดี
หลังที่ช่วยเขาแต่งตัวเสร็จ เยว่ลู่ก็เอ่ยถามคำถามที่นางถามค้างเอาไว้เมื่อวาน “ข้าจะเพิ่มเส้นวิญญาณในร่างได้อย่างไร”
เหิงเยว่หันกลับมายิ้มให้ลูกศิษย์ แต่ไม่ได้ตอบนางในทันที เขาเดินไปหยิบของบางอย่างจากกล่องที่วางอยู่บนชั้นวางของ จากนั้นก็เอากลับมายื่นให้นาง แต่ทั้งสีและกลิ่นของมัน กลับทำให้เยว่ลู่ผงะถอยหลังไปก้าวใหญ่ “โอสถนี่มัน?” นางจำสีและกลิ่นของเม็ดยาที่ปรมาจารย์รุ่ยกวงป้อนให้นางกินวันนั้นได้ดี เยว่ลู่จึงจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ผิดแล้ว นี่หาใช่โอสถเลือดที่ตาเฒ่านั่นปรุง มันเป็นโอสถที่ใช้ปรับแต่งร่างกายที่ข้าปรุงขึ้นเอง ส่วนผสมของมันคล้ายกันก็จริง แต่การปรุงแต่งไม่เหมือนกัน”
เหิงเยว่เอ่ยจบก็พยักหน้าให้ลูกศิษย์ลองหยิบเม็ดยาในมือไปดูใกล้ๆ เยว่ลู่จึงตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา
พอมองดูใกล้ๆ เยว่ลู่ถึงเห็นความแตกต่าง
“ศิษย์น้อย เจ้าเห็นหรือยัง ว่ามันไม่เหมือนกัน”
“อืม ไม่เหมือนกันจริงๆ เม็ดยานี่มีสีแดงสด แต่เม็ดยาของตาเฒ่านั่นสีแดงเหมือนเลือด”
เมื่อเห็นนางเข้าใจ เหิงเยว่ก็อธิบายต่อ “สรรพคุณของมัน คือปรับแต่งร่างกาย และการปรับแต่งร่างกายนั้น มันย่อมต้องมาพร้อมกับความทรมาน อาจารย์อธิบายเช่นนี้เจ้าเข้าใจใช่ไหม ส่วนจะใช้มันหรือไม่นั้น เจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”
เยว่ลู่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ดีมาก ศิษย์รัก ยาอยู่ในกล่องนั่น ถ้าเจ้าอยากใช้เมื่อไหร่ก็มาหยิบไปได้เลย ส่วนตอนนี้อาจารย์จะออกไปข้างนอกเสียหน่อย” เอ่ยจบเหิงเยว่ก็สาวเท้าออกจากห้อง แต่ก่อนจะพ้นประตูออกไป อยู่ๆ เขาก็หันกลับมามองเยว่ลู่ “นี่ศิษย์น้อยของข้า ระวังตัวหน่อยล่ะ อย่าปล่อยให้ใครจับเจ้าไปได้อีกเชียว อาจารย์ขี้เกียจตามไปช่วย เข้าใจไหม”
เยว่ลู่ได้แต่พยักหน้ารับอย่างงงๆ มองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปตาปริบๆ อะไรคือขี้เกียจตามไปช่วย พอนึกได้ เยว่ลู่ก็ก่นด่าตามหลังไม่เหลือชิ้นดี
เช้านี้ก่อนลงไปกินข้าว เยว่ลู่ได้ส่งเจ้าหนอนอ้วนไปทำงานสายลับ และดูเหมือนว่าเจ้าหนอนน้อยจะชอบงานนี้เป็นพิเศษ มันถึงกับตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ และที่แรกที่เยว่ลู่ส่งมันไปคือปราสาทของเจ้าเมือง ที่พำนักขององค์ชายสิบสี่ สิ่งที่มันได้เห็นได้ยินจะถูกส่งกลับมายังเยว่ลู่ผ่านทางจิต
เมื่อเจ้าหนอนอ้วนออกไปแล้ว เยว่ลู่ก็ลงไปทานข้าวและเข้าเรียนตามปกติ นางเลือกที่จะอยู่ในที่ที่มีคนมาก เพื่อความปลอดภัย
จะว่าไปการเรียนในชั้นเรียนก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว นอกจากจะได้ความรู้ใหม่ๆ แล้ว เยว่ลู่ยังได้เรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป
ในคาบเรียนหนึ่ง อาจารย์ให้เด็กๆ ลงไปกลางสนาม แล้วให้ปลุกพลังของตัวเอง เยว่ลู่มองเห็นบางคนสามารถเรียกพลังธาตุออกมาบนฝ่ามือได้ อย่างบนฝ่ามือของเด็กชายที่นั่งข้างเยว่ลู่ มีก้อนอิฐขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ ส่วนของคนอื่นจะมีแค่ขนาดหัวแม่มือ เยว่ลูกมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ถึงแม้นางจะยังทำอย่างพวกเขาไม่ได้ แต่นางก็รู้สึกตื่นเต้น เด็กนักเรียนในห้องยี่สิบสี่นี้ นอกจากเยว่ลู่แล้ว ยังมีอีกสามสี่คนที่ยังปลุกพลังไม่ได้เช่นกัน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เยว่ลู่นั่งเรียนเพลินจนกระทั่งระฆังเลิกเรียนดังตอนไหนก็ยังไม่รู้ พออาจารย์สั่งเลิก นางถึงได้เดินออกจากห้องมาพร้อมเด็กคนอื่น แต่ทุกคนก็พากันหยุดชะงักที่หน้าประตู ทำให้เยว่ลู่ที่อยู่หลังสุดพลอยต้องหยุดตามไปด้วย
“นั่นใช่ศิษย์พี่รุ่ยเซียนหรือไม่”
เสียงกระซิบกระซาบดังต่อๆ กันมา ทำให้เยว่ลู่รู้ทันที ว่าเหตุใดเด็กเหล่านี้ถึงหยุดเดิน
“เด็กๆ ขออาจารย์ออกไปหน่อยเร็ว” อาจารย์หญิงที่พึ่งเก็บของเสร็จตะโกนออกไป เยว่ลู่จึงนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเสนอตัวช่วยอาจารย์ผู้นั้นถือของ พอเส้นทางแหวกออก เยว่ลู่ก็เดินไปพร้อมกับอาจารย์ ทำให้รุ่ยเซียนได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางด้วยความแค้นเคือง
ระหว่างทางที่เดิน เยว่ลู่ก็แสร้งหันไปถามอาจารย์เรื่องบทเรียน อีกฝ่ายจึงชวนนางกลับไปที่พัก เพื่อจะได้สอนนางเพิ่มเติม และนั่นก็เข้าทางเด็กน้อยพอดี เพราะนางไม่แน่ใจว่าเหิงเยว่กลับมาหรือยัง จึงไม่อยากเสี่ยงที่จะกลับไปอยู่บนชั้นหกเพียงลำพัง