ตอนที่ 4 หนูนาจะจีบพี่คราม
เขาสูงชะลูดท่วมศีรษะเธอ รูปหล่อวัวตายความล้มอย่างที่คนเขาพูดกัน ใบหน้าสลักเสลานี้มองมุมไหนก็ชวนชมไปเสียหมด จมูกโด่ง ดวงตาคมกริบ แขนขายาว ไหล่หนาผ่าเผย ผิวสีแทนขับความเป็นชายหนุ่มให้เข้มข้นโดดเด่น บุคลิกก็สุขุมกว่าเมื่อก่อน ไม่หยอกเล่นให้เด็กน้อยกะโหลกกะลาเขินอายเหมือนอย่างเคย แต่พวงแก้มของนันท์นรีกลับยังแดงระเรื่อ เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าฝังใจกับคนๆ นี้ทำไมนักหนา ทั้งที่เขาไม่เคยชายตาแลกันสักครั้ง กลับยังเพ้อเจ้อหาเขาทุกวัน
ดีใจที่ได้เจอ เวลาเดียวกันก็ปวดใจแปล๊บๆ แอบรักข้างเดียวนี่มันมีผลต่อสุขภาพจริงๆ
นันท์นรีมองไปด้านหลังคุณานนท์ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่นานไม่เห็นเงาของใครบางคนก็เอ่ยปากถาม “มากับแค่คุณลุงคุณป้าเหรอคะ แล้วพี่สะใภ้ของหนูนาไม่มาด้วยเหรอ”
นี่เป็นคำถามปกติ แต่ไม่ทราบทำไม จู่ๆ สีหน้าราบเรียบของคุณานนท์ดูเหมือนจะเย็นชาลง บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึมราวกับมีเมฆฝนปกคลุม นันท์นรีมึนตึ๊บขนลุกเกรียว หญิงสาวในชุดบัณฑิตจบใหม่ยืนเก้กังกระอักกระอ่วนทันที หรือว่าพี่ครามเขาทะเลาะกับเมียเลยไม่พามา นั่นก็อาจเป็นไปได้
“เอ่อ…งั้นมาถ่ายรูปกันดีกว่าค่ะ”เธอไม่เคยเจอคุณานนท์เวอร์ชันนิ่งสงบสยบทุกการเคลื่อนไหวมาก่อน ครั้นจะทำตัวสนิทสนมกับเขาก็กลัวว่าจะลำบากใจ จึงไม่ถามเซ้าซี้ เพียงชวนมาถ่ายรูปด้วยแล้วฉีกยิ้มร่า ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
งานรับปริญญาเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน หลังจากพลบค่ำก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย นันท์นรียังไม่กลับไร่ส้มที่เชียงรายทันที เธอนัดกับเพื่อนไปเที่ยวทะเลหนึ่งสัปดาห์เต็ม ถึงอย่างไรก็เรียนมาด้วยกันตั้งสี่ปี ฝ่าฝันทุกบททดสอบจนจบยกแก๊ง ก่อนแยกย้ายไปทำงานจึงอยากใช้เวลาตรงนี้ให้สุดเหวี่ยงไปเลย
ทริปเที่ยวช่วยให้นันท์นรีลืมใบหน้าที่เคร่งขรึมของคุณานนท์ได้ชั่วขณะหนึ่ง พอกลับมาถึงบ้านยังไม่ทันเตรียมใจ มารดาก็แจ้งข่าวใหญ่ข่าวด่วน กลัวแต่เรื่องซุบซิบที่ไปได้ยินมาจะไม่มีใครให้แบ่งปันอย่างไรอย่างนั้น นันท์นรีพึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ซักถามไม่อยากรู้ แม่หวานก็คร้านจะกระตุ้นลูกสาวจึงรีบเล่า
“ป้าชมพูของลูกบอกว่าพี่ครามเลิกกับแฟนแล้ว และน่าจะจบกันไม่ดีด้วย เพราะหลังจากกลับมาอยู่บ้าน พี่ครามของลูกไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเลย ป้าชมพูยังบอกอีกว่าเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้ว แม่น่าจะรู้เร็วกว่านี้”
“รู้เร็วรู้ช้าเขาก็ไม่ชอบลูกสาวแม่หรอกจ้ะ” สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ดีใจ แต่ภายในกลับรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่กักเก็บเอาไว้เลิกกับแฟนแล้ว ไชโย! คงไม่กลับไปคืนดีกันหรอกใช่ไหม ไม่ได้ๆ ตอนนี้พี่ครามกำลังอ่อนไหว ถ้าเธอไม่แทรกเข้าไปแล้วเขาเกิดอยากกลับไปหาคนเก่าขึ้นมา งั้นก็คงต้องรอไปอีกหลายปีสิ หรืออาจจะเสียโอกาสมองเขาแต่งงานจริงๆ ก็ได้
“ใครจะไปรู้อนาคตล่ะ อ้อ! ลืมไป เรายังมีน้ำเหนืออยู่ ตาครามก็อายุไม่น้อยแล้ว จะหมดความรู้สึกก็ไม่แปลกหรอก เด็กสาวเองก็ย่อมต้องการความสดใหม่เหมือนกัน” แม่หวานเอ่ยขึ้นพลางนั่งลงไปบนเตียงของลูกสาวเพียงคนเดียว
“พี่ครามอายุยังไม่เยอะสักหน่อย แม่ก็พูดเกินไป”
จ้าๆ ไม่เยอะเลย ห่างกันสิบสามปี สงสัยจะเป็นดังคำกล่าวอายุก็แค่ตัวเลข ลูกสาวบรรลุนิติภาวะแล้ว รักชอบคนที่แก่กว่าหน่อยจะเป็นไรไป อยากรู้ก็แต่หนูนาตัดใจจากเจ้าหนุ่มไร่องุ่นได้จริงๆ แล้วหรือเปล่า เพื่อนสุดหล่อที่มักจะกลับมาด้วยกันช่วงปิดเทอม ตกลงว่าอยู่ในสถานะไหน ป่านนี้ยังไม่มีแฟน ไม่ใช่รอใครบางคนอยู่หรือ
แม่หวานได้แต่ยิ้มไปกับคำพูดของลูกสาว ส่วนในใจนั้นไม่เห็นด้วยอย่างแรง
อากาศยามบ่ายในฤดูหนาวไม่ร้อนเท่าไร เดือนนี้คือเดือนมกราคม ท้องฟ้าหม่นมัว ชั้นก้อนเมฆไร้รูปร่างมีแสงแดดอ่อนส่องผ่าน ต้นหญ้าในทุ่งเขียวทอดยาวมีม้ากว่ายี่สิบตัวกำลังแทะเล็มอาหารอยู่กระจายไปทั่วทุ่ง ชายหนุ่มนอนอยู่ใต้ต้นไม้ประจำถิ่น ใบหน้าถูกปิดไว้ด้วยหมวกคาวบอยสีน้ำตาลเข้ม ท่วงท่าเอื่อยเฉื่อยเอ้อระเหย แต่กลับดูน่าค้นหาเป็นอย่างมาก
เสียงฝีเท้าย่องเบาเข้าใกล้ แม้จะหลับตาแต่ก็ไม่ได้นอนหลับจริงๆ ชายหนุ่มจึงรอให้คนที่มาแสดงตัวก่อน เนิ่นนานแต่กลับไม่พูดอะไร บุคคลนิรนามแค่ย่องมาหยุดอยู่ที่ข้างตัวเขาเท่านั้น “มีธุระด่วน?”
“มะ…ไม่มีค่ะ แค่อยากมาหาพี่ครามเฉยๆ”
คุณานนท์ยกหมวกคาวบอยขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงหวานใสเรียกความสนใจจากเขา ชายหนุ่มจึงมองดูรองเท้าคัชชูสีครีมคู่เล็กที่อีกคนใส่มา ก่อนจะเลื่อนหมวกออกจ้องให้เต็มตาสักหน่อย นันท์นรีเม้มปากขวยเขิน เอียงอายพอประมาณก็ข่มความประหม่าลงไป เริ่มถามในสิ่งที่ตัวเองตระเตรียมไว้
“มีคนบอกว่าพี่ครามชอบมานอนเฝ้าม้ากินหญ้าที่ทุ่ง หนูนาก็เลยมาหาค่ะ”
คุณานนท์เจอกับนันท์นรีเมื่อตอนไปงานรับปริญญาของเธอ แต่เขาอยู่ไม่นานก็กลับ จึงยังรู้สึกไม่คุ้นตากับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหญิงสาว ผิวพรรณของเธอขาวผ่องเป็นยองไย คิ้วเรียวเส้นโค้ง ดวงตากระจ่างเหมือนธารน้ำธรรมชาติ แก้มเนียนปากอวบอิ่ม จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ตอนเด็กมีแววว่าจะโตมาสวยก็สวยซะจนทำให้สะพรึงจริงๆ
“เรียนจบแล้วกลับมาดูแลรีสอร์ทเหรอ” คุณานนท์ลุกขึ้นนั่ง
“ใช่ค่ะ พี่ครามก็จะอยู่ที่นี่เลยใช่ไหมคะ หนูนาจะได้เจอพี่บ่อยๆ”
“อืม” คุณานนท์ตอบสั้นๆ ในลำคอ เสียงของเขาทุ้มใหญ่เข้ากับบุคลิกที่จริงจัง สายตาคมกริบทอดมองไปยังฝูงม้า
คุยกันได้หลายประโยคแล้ว พบว่าเขาอารมณ์คงที่ นันท์นรีจึงริอยากขยับบทสนทนาขึ้นไปอีกขั้น “วันนั้นหนูนาถามหาพี่สะใภ้ แต่พี่ครามไม่ตอบ เพราะว่าเลิกกันแล้วใช่ไหมคะ”
สายตาทะลุทะลวงหันกลับมา อดีตที่ไม่น่าจดจำถูกกระตุ้น ทว่าคุณานนท์ก็ยังสงบนิ่ง อดทนตอบคำถาม “เลิกแล้ว”
เขาเหมือนจะเห็นแววดีใจในดวงตาของหญิงสาว แต่ก็ไม่สนว่ามันหมายความยังไง จนเมื่อนันท์นรีเอ่ยประโยคถัดไป คิ้วดกดำดุจน้ำหมึกจึงขมวดเข้าหากัน ราวกับได้ยินเรื่องแปลกประหลาดเข้า
“อย่าไร้สาระ กลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานนู้นไป”
“หนูไม่ได้ไร้สาระสักหน่อย หนูนาชอบพี่มาตั้งนานแล้ว ในเมื่อพี่ยังไม่มีใคร งั้นต่อแต่นี้หนูนาจะจีบพี่นะคะ”
“เด็กอยู่ส่วนเด็ก อย่ามาปีนเกลียว พี่ไม่ชอบ” ยิ่งหน้าสวยๆ ไร้เดียงสาด้วยแล้ว เขายิ่งรำคาญ ตนคิดกับหนูนาแค่น้องสาวมาโดยตลอด ต่อให้ตอนนี้เธอจะโตแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มาบอกจะจีบเจิบอะไร อยากโดนเขาไล่ตะเพิดเรอะ
นันท์นรีโดนบ่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่กลับไม่มีท่าทีเกรงกลัว “คอยดูเถอะ หนูนาจะทำให้พี่ชอบหนูนาให้ได้”
เธอพูดแล้วก็วิ่งกลับไป ทิ้งให้คุณานนท์ถอนหายใจรำคาญอยู่คนเดียว อย่าว่าเขาไม่ชอบสาวๆ สวยๆ ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม แฟนที่คบหาก็มีแต่ระดับนางฟ้าโฉมงามหยาดเยิ้ม และเพราะมันมีแต่อย่างนั้นไง แถมทุกคนก็นิสัยเหมือนกันหมด แรกๆ อ่อนหวานไร้เดียงสา หลังๆ มาเผยธาตุแท้พลิกตลบเป็นคนละคน
เขาเบื่อแล้ว อยากเจอแบบปกติธรรมดาแต่จริงใจบ้าง ไม่ต้องสวยมาก ขอแค่ไม่พิลึกหรือนิสัยแย่ก็พอ อายุตนไม่ใช่น้อยๆ กับนันท์นรีจะไม่โดนหาว่าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน สมภารกินไก่วัดเอานะสิ เห็นเธอมาแต่อ้อนแต่ออก บอกตามตรงว่ากลืนไม่ลง ที่ปฏิเสธการหมั้นหมายคราวนั้น ที่ได้แตกหักกับพ่อ ก็เพราะจดจำไว้ในสมองว่าเธอคือน้องสาว อยู่ๆ ยัยเด็กคนนั้นกลับมาบอกจะปีนเกลียวจีบเขา จะไม่ดุเธอได้ยังไง
วิ่งมาตั้งนานจนพ้นระยะสายตาของชายหนุ่ม นันท์นรีหอบเหนื่อยเกือบจะเป็นลม ในที่สุดสิ่งที่เก็บไว้ในใจมาตลอดยี่สิบสามปีก็ได้สารภาพออกไปแล้ว มันโล่งแปลกๆ ขณะเดียวกันก็ตื่นตระหนกหัวใจสั่นรัว
เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะพี่คราม จนกว่าจะถึงที่สุด คนที่ถูกมองว่าเป็นน้องสาวคนนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่