ตอนที่ 3 อกหักซ้ำซ้อน
ความคิดนี้ทำให้นันท์นรีดีใจจนหน้าแดง แต่แล้วก็คิดได้ว่าตนจะระริกระรี้เกินงามไปหน่อยจึงเบรกกลางทาง ชะงักฝีเท้าไม่รีบร้อนไปเจอหน้าคุณานนท์ เขาเป็นคนสั่งห้ามไม่ให้เธอติดต่อเขาอีกเพราะกลัวว่าแฟนสาวจะเข้าใจผิด เธอควรงอนสักหน่อยถึงจะถูก ไม่ใช่วิ่งแจ้นไปหาราวกับเห็นเขาเป็นเจ้าชายเหมือนเมื่อตอนอายุห้าหกขวบ
งั้นควรเล่นตัวสักวันสองวันค่อยไปหาแล้วกัน นันท์นรีตกลงกับตัวเองได้ก็แข็งใจรอฟังข่าวความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเงียบๆ เดิมทีว่าจะถามจากผู้เป็นพ่อพอให้คลายความประหม่า ทว่าคนงานสาวๆ ในไร่ส้มของเธอหยิบยกเอาหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับลูกชายสุดหล่อของพ่อเสี่ยสินคำมาจับกลุ่มคุยกันอย่างกระตือรือร้นก่อน นันท์นรีจึงแอบสืบจากตรงนี้
พี่นิดหน่อยคนงานที่อยู่กับไร้ส้มฟ้าอุ่นมาตั้งแต่นันท์นรียังเป็นเด็กเอ่ยพร้อมกับกุมแก้ม “ไม่เจอพี่ครามหลายปี เมื่อเช้าดันได้เจอโดยบังเอิญตอนมาหาพ่อกำนัน อายุขึ้นเลขสามแล้วยิ่งหล่อได้ที่ หล่อแบบวัวตายควายล้ม แม่เจ้าโว้ย! ถ้าฉันยังไม่มีผัวนะ ฉันจะไปจีบเช้าจีบเย็น ไม่ได้ไม่เป็นไร แค่มองก็อิ่มแล้ว”
“พี่ครามไม่กลับมาไร่องุ่นเลยตั้งนาน ตอนนี้กลับมาหมายความว่าคืนดีกันกับเสี่ยสินคำแล้วหรือเปล่าพี่นิด” ดาวเพื่อนสนิทและยังเป็นคู่สนทนาของนิดหน่อยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันว่าใช่ พ่อลูกยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอก พี่ครามเป็นลูกชายคนเดียวของเสี่ย แก่ตัวมามรดกจะยกให้ใครถ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ฉันยังได้ยินมาอีกนะว่าพี่ครามมีแผนจะแต่งงาน แม่ชมพูเขาอยากเห็นว่าที่ลูกสะใภ้จะแย่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พากลับมาแนะนำด้วย ต้องเป็นคนสวยฐานะดีเหมือนกันแน่นอน” นิดหน่อยตอบออกไปพลางนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่ใกล้ตัว
“เฮ้อ! วาสนาอ่ะเนอะ คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน น้องหนูนาของเรารู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน” ดาวถอนหายใจพลางนั่งลงข้างเพื่อนสนิทก่อนจะถอนหายใจด้วยความกังวล
“ห๊ะ! น้องหนูนายังชอบพี่ครามอยู่อีกเหรอ ไม่หรอกมั้ง นี่มันก็ผ่านมาหลายปีดีดัก คงตัดใจไปตั้งนานแล้วแหละ ฉันไปส่องเฟสน้องเห็นมีคนหล่อคนหนึ่งถ่ายรูปคู่ด้วยกันประจำ เวลาคอมเม้นท์ก็หวานเรียกกันเค้าเตง แฟนแน่” นิดหน่อยพูดอย่างไม่เห็นด้วย
สองสาวยังคุยกันต่อไปอย่างออกรสชาติ ไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนยืนแอบฟังอยู่ นันท์นรียืนนิ่งอยู่หลังเสาต้นใหญ่ พลางส่ายหน้า ไม่ใช่สักหน่อย นั่นน่ะเพื่อนของเธอต่างหาก และที่สำคัญคือเธอยังชอบคุณานนท์อยู่ ไม่เคยเปลี่ยนใจหรือย่อท้อ ที่น่าเศร้าคือ ยังไม่ทันจะได้สารภาพความในใจก็อกหัก แถมพอมารู้ข่าวการแต่งงานของเขาก็ยิ่งบอบช้ำ กลายเป็นอกหักซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ให้ไปหาก็ไม่อยากไปแล้ว พี่ชายที่แสนดีคนนั้นของเธอกำลังจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
ไหนเคยบอกว่าชอบเธอ ยิ่งโตก็จะยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็จะมีเมีย…ลมปากผู้ชายเจ้าชู้เชื่อไม่ได้
ไม่อยากชอกช้ำไปมากกว่านี้จึงเลือกที่จะไม่ตามส่องตามดูเขาอีก แรกๆ มันอาจยาก จากหนึ่งวันเลื่อนดูความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเช้าเที่ยงเย็น เปลี่ยนเป็นก่อนจะนอนสักครั้ง และไม่ส่องอีกเลยจนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งปี ใช้ความอดทนขั้นสุดหักอกหักใจ เวลาโทรศัพท์คุยกับมารดาก็เลือกที่จะขอให้คนทางนั้นห้ามพูดถึงข่าวงานแต่งของคุณานนท์ แม้แต่กระผีกริ้นเดียวก็ไม่อยากรับรู้ แถมเธอยังไม่ยอมกลับบ้านด้วย อ้างนู้นอ้างนี่ แต่พอขึ้นปีสามต้องฝึกงานที่รีสอร์ทของบ้านตัวเอง ให้หลบก็หลบไม่พ้น นันท์นรีคิดว่าอกหักไม่ถึงตาย ผ่านมานานแล้วตัวเองน่าจะดีขึ้นมากจึงกลับบ้าน
แม่หวานเห็นลูกสาวกลับมาสักทีก็บ่นยกใหญ่ “ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ส่งเงินไปให้ไม่รู้จักซื้อข้าวซื้อปลากินบ้างเลยเรอะ ผอมขนาดนี้ จนจะกลายเป็นกุ้งแห้งอยู่แล้ว”
“ก็ที่มหาวิทยาลัยเขากำลังฮิตเทรนด์ผอมบางกันไงแม่ ลูกสาวแม่ตัวหนาพุงปลิ้นอยู่คนเดียวได้เหรอ” นันท์นรียกมือไหว้ผู้ให้กำเนิด พลางเข้าไปโอบกอดแม่หวานจากทางด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยแก้ตัวออกมา
“ไม่รู้แหละ แม่ชอบอวบๆ หน่อย เทรนด์เทิร์นอะไรไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าพ่อมาเห็นก็ต้องพูดเหมือนแม่นี่แหละ” แม่หวานไปหาข้าวหาปลามาให้ลูกสาวกิน อดไม่ได้ที่จะมองคนตัวผอมน้ำหนักน้อยอย่างเป็นกังวล ยัยหนูชอบกินจุกกินจิกมาก ขนมหวานยิ่งไม่เคยเลี่ยง จู่ๆ มานึกอยากผอมจนหนังแทบติดกระดูก แม่ที่ไหนจะสบายใจ
ลูกสาวมองมาเหมือนมีคำถาม แม่หวานนั่งลงข้างๆกล่าวราวกับอ่านใจคนได้ “อยากรู้เรื่องไอ้เจ้าครามเรอะ”
“เปล่า! หนูนาไม่อยากรู้” เธอทำใจได้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมารดาถามแค่นี้ต้องลนลานด้วย ก็ได้! เธอยังลืมไม่สนิทไง ก่อนจะค่อยเลียบเลียงถามขึ้นด้วยความอยากรู้หน่อยๆ
“แล้ว แม่ไปงานแต่งพี่ครามหรือยัง เมียของเขาสวยไหม สวยกว่าหนูหรือเปล่า”
แม่หวานสีหน้าครุ่นคิด หากต้องตอบแน่นอนว่าใครก็สวยไม่สู้ลูกสาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็พูดได้สิว่าเชื้อพ่อแม่ไม่ดี ทว่ากับแฟนของชายหนุ่มไร่ข้างเคียง คงบอกได้แค่ว่า “ไม่รู้ แม่ยังไม่เคยเจอเลย ปีนี้ไม่ได้ยินว่าจะจัดงานแต่งอะไรนะ คงแต่งปีหน้าล่ะมั้ง ครามพึ่งกลับมาช่วยลุงสินคำดูแลไร่องุ่น ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเลยไม่รีบ”
พี่ครามยังไม่แต่งงาน
แวบแรกดีใจจนสีหน้าออก แต่พอสรุปสุดท้ายยังไงก็อาจจะแต่งกัน นันท์นรีห่อเหี่ยวจนเหม่อ ไม่มีที่ว่างให้เธอเลยสักครั้ง จะแทรกแซงก็กระไรอยู่ ตนไม่ชอบเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของคนอื่น ต่อให้รักฝังจิตฝังใจก็จะไม่ทำผิดเด็ดขาด ในเมื่อเขายังจะแต่งงาน เช่นนั้นก็กลับไปสู่จุดเดิม เป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงกันเช่นที่ผ่านมา
“แม่หวาน แม่หวานอยู่ไหมจ๊ะแม่? คนจากไร่มั่นรักมาส่งปุ๋ยจ้ะ” คนงานด้านนอกตะโกนเข้ามาบอก
“คนจากไร่มั่นรักเหรอ” ได้ยินชื่อไร่องุ่นของชายหนุ่มคนที่ตนเองแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก นันท์นรีแทบจะวิ่งออกไปดู แต่ก็ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ มารดาสอนให้เธอเรียบร้อยสงวนกิริยา ขืนกระโจนโผงผางได้โดนบ่นหูดับแน่
“ไม่ไปหาพี่ครามเรอะ ถึงไม่ได้หมั้นหมายกันแล้ว แต่ก็บ้านใกล้เรือนเคียง ต่อไปเรากลับมาดูแลรีสอร์ทก็จะได้เจอกับพี่เขาบ่อยๆ ตอนนี้หลบหน้า ต่อไปก็คิดจะหลบเรื่อยๆเหรอ” แม่หวานเอ่ยถามเสียงเรียบ
ไม่คิดจะหลบได้ตลอดไป อันที่จริงก็อยากเจอเขาเหมือนกัน นันท์นรีจึงรีบกินข้าวแล้วตามมารดาไปดูปุ๋ยที่ไร่มั่นรักเอามาส่ง น่าเสียดายที่เธอรวบรวมความกล้ามาขนาดนี้ คนมาส่งปุ๋ยกลับไม่ใช่คุณานนท์ เป็นเด็กคนงานในไร่มาแทน พอพวกเขาเห็นนันท์นรีก็ตาลุกวาวราวกับเห็นนางฟ้า
“ว้าวๆ สาวน้อยจากไหนกันแม่หวาน สวยเชียว น้องสาวมีแฟนหรือยังจ๊ะ” ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวแซวนันท์นรี จากนั้นก็ได้ยินเสียงแป๊ะ! คนงานที่อายุมากกว่าซึ่งมาด้วยกันตีกะบาลเข้าให้
“ลูกสาวกำนันเล็กมึงก็กล้าแซว พ่อเขามีปืนนะ ไหวเหรอเอ็งน่ะ”
“หา!!! ลูกสาวพ่อกำนันเล็กเหรอ คนที่ไปเรียนเชียงใหม่คนนั้นเหรอ น้าก็ไม่รีบบอกฉันหน่อย” ชายหนุ่มลูบบริเวณที่โดนตีปอยๆ กลายเป็นที่ขบขันของทุกคนทันที เขายิ้มเก้อเขินมองไปที่นันท์นรีอีกครั้ง
“ฉันพึ่งมาทำงาน ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกสาวกำนันเล็กนี่ อีกอย่างก็สวยขนาดนี้ ให้แซวพอกระชุ่มกระชวยได้ไหมล่ะ” คนงานหนุ่มคนนั้นยังไม่วายเอ่ยต่อรอง มือก็ลูบบริเวณที่โดนตีไปด้วย
“ยังจะมาทำตาหวานใส่เค้า เอ็งนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” ถูกรุ่นพี่ถลึงตาใส่ ก็รีบยกมือไหว้ลากลับไร่แทบไม่ทัน
พอคนส่งปุ๋ยกลับไร่ไป นันท์นรีหมดความกล้าที่เจอหน้าคุณานนท์แล้วจึงไปดูการก่อสร้างรีสอร์ทต่อ ปีนี้เปิดให้พักได้เฉพาะส่วนด้านหน้าซึ่งมีประมาณยี่สิบกว่าหลัง จะสร้างเพิ่มอีกสิบหลังคงเสร็จช่วงกลางปี เธอเรียนจบไม่ต้องไปสมัครทำงานที่อื่นก็จะกลับมาดูแลกิจการที่บ้าน และนั่นย่อมหมายความว่า หากคุณานนท์สืบทอดไร่มั่นรัก ตัวเธอก็จะได้เจอเขาบ่อยๆ หรือในช่วงฝึกงานหกเดือนนี้ ต้องมีสักวันที่จะได้เจอกันบ้างก็เป็นได้
นันท์นรีวางแผนรับมือต่างๆ นาๆ ทว่าไม่ได้เจอคุณานนท์อย่างที่คิด เขามาดูแลไร่ในช่วงก่อนที่เธอจะฝึกงาน หกเดือนนี้กลับไปกรุงเทพเพื่อสะสางธุรกิจทางนู้น คลาดกันไปกันมา จนเข้าสู่ปีสุดท้ายของการเรียน
ในที่สุดก็ได้เจอเขาตอนงานรับปริญญา วันนั้นเพราะลุงสินคำกับป้าชมพูมาแสดงความยินดี เขาจึงได้มาด้วย
เธอจำพี่ชายสุดหล่อคนนี้ได้ในแวบแรก จึงมองเขาซ้ำๆ ราวกับคนที่จากกันไปนานกลับมาเจอสักที
“โตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว” คือประโยคแรกที่คุณานนท์เอ่ยทักเธอ