ตอนที่ 2 วันเวลา
ปีนี้คุณานนท์อยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่ห้า ส่วนเธออยู่ชั้นอนุบาลสอง ปีถัดมาเขาเรียนจบมอปลาย เธอกลับพึ่งเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 ด้วยช่วงวัยที่ห่างกันสิบกว่าปี พอพี่ชายไร่ข้างเคียงจบการศึกษาไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ เขาจึงไม่ได้ไปรับไปส่งนันท์นรีอย่างเคยแล้ว แม้เศร้าจนอยากร้องไห้ แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็พอเข้าใจ
มารดาของเธอบอกว่าพอถึงเวลาตัวเธอเองก็จะต้องเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม ต้องจากบ้านไปเรียนในระดับที่สูงขึ้นเพื่อพัฒนาความสามารถ ดีว่าช่วงปิดเทอมเขากลับบ้านมาช่วยคุณลุงสินคำดูแลไร่องุ่น นันท์นรีจึงมีโอกาสไปเที่ยวหา
ไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะสูงขึ้นอีกแล้ว เธอที่ตัวสูงที่สุดในชั้นเรียนตอนนี้ พอมาลองเทียบกลับพบว่าศีรษะอยู่แค่ช่วงโคนขาของเขา นันท์นรีเขย่งปลายเท้า รู้สึกไม่ยินยอม สีหน้าที่น้อยเนื้อต่ำใจของเธอกลายเป็นที่ขบขันของคุณานนท์ เขาวางฝ่ามือหนาลงยีเส้นผมเธอเล่นก่อนจะเอ่ยหยอกล้อ
“ขอโทษทีนะน้องสาว ยังไงพี่ก็สูงกว่า”
“ขี้โกง รออีกสี่ปีเดี๋ยวหนูนาจบปอหกก็จะสูงกว่าพี่คราม”
“ฮาฮ่า รอเลย รู้ไหมว่าผู้หญิงหมดสูงตอนไหน ระวังเถอะ เมนส์มาแล้วจะเริ่มหยุดสูง”
นันท์นรียู่ปาก เกิดความกังวลขึ้นมาจึงถาม “เมนส์คืออะไรคะ?”
“แค่กๆ อะ…เอ่อ เมนส์ก็คือประจำเดือน จะมาทุกเดือน ไว้ค่อยไปถามน้าหวานนะ”
ไอ้เรื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่สะดวกอธิบายด้วยสิ หนูนาเป็นเด็กปอสองไม่ประสีประสาควรได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เขาก็เรียนมา แต่อายที่จะกล่าวหน่อยๆ มันกระดากปากพิกล จากนั้นประโยคถัดมาของเด็กน้อยก็ทำคุณานนท์หลุดขำตัวโยก
“แล้วพี่ครามเมนส์มาหรือยังคะ คงยังไม่มาใช่ไหม พี่สูงเอาๆ หนูตามไม่ทันแล้ว”
เขาลูบศีรษะของเธอ หัวเราะท้องขดท้องแข็ง ไม่ทราบว่าตลกเรื่องอะไร “ไอ้ตัวแสบ พี่ไม่เป็นเมนส์หรอก ไอ้สิ่งนี้น่ะมีแต่เด็กสาวที่เป็นกัน ของพวกเด็กผู้ชายพอเข้าสู่วัยรุ่นจะเรียกอีกอย่าง ไว้เราค่อยไปเรียนกับคุณครูนะ”
นันท์นรีพยักหน้าแต่ไม่รอให้ผ่านไปนาน พอกลับถึงบ้านก็ถามมารดากับบิดาตอนรับประทานอาหารเย็นว่า “พ่อคะ แม่คะ เมนส์คืออะไรคะ พี่ครามบอกว่าพอโตขึ้นเด็กผู้หญิงจะเป็นกันทุกคน แถมพอเป็นแล้วก็จะไม่สูงอีกหนูนาไม่อยากเป็นเมนส์เลยค่ะ หนูนาอยากสูงกว่านี้” เด็กน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจนกินข้าวมื้อนั้นไม่อร่อยไปทีเดียว
“แค่กๆ โอ๊ย! หนูนาลูก อายุหนูแค่นี้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้หรอกนะ” แม่หวานถึงกับสำลักข้าวที่กำลังตักใส่ปากจนต้องรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มก่อนจะรีบปรามลูกสาวตัวน้อย
“แต่หนูนาอยากรู้ไว้ก่อนนี่คะ”
ลูกสาวตัวน้อยมีสีหน้าคล้ายต้องการบอกว่าหากไม่รู้ก็จะไม่ยอมเลิกถาม เห็นได้ชัดวันนี้สองสามีภรรยาต้องช่วยกันอธิบาย “ตอนนี้หนูพึ่งปอสอง อาจจะยังไม่เป็นหรอก เด็กสาวสมัยนี้จะเป็นประจำเดือนก็ช่วงอายุสิบถึงสิบสองปี หรืออาจจะขึ้นมอต้นนู้น แล้วแต่ว่าใครจะมาเร็วมาช้า”
“หนูนาเข้าใจแล้วค่ะ พี่ครามยังบอกอีกว่า เด็กผู้ชายก็มีเหมือนกัน มันคืออะไรคะ”
มารดาหันไปมองบิดา ไอ้สิ่งนี้ให้พ่ออธิบายดีกว่า กำนันเล็กตีสีหน้าขรึม เริ่มเรียบเรียงคำพูดในหัว “อะแฮ่ม! ของผู้ชายไม่ได้มาทุกเดือน ตื่นมาแล้วต้องซักกางเกงในก็แค่นั้นแหละ กินข้าวๆ”
“หื้ม? ฉี่รดที่นอนเหรอคะ งั้นหนูก็ดีใจแล้วค่ะ หนูแค่เป็นทุกเดือน แต่เด็กผู้ชายต้องฉี่รดที่นอนทุกวัน” เด็กหญิงนันท์นรีถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วจึงตั้งหน้าตั้งตากินข้าวด้วยความอร่อย เพราะยังมีความเชื่อว่ากินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ เธอก็อยากโตเร็วให้ทันพี่ชายข้างบ้านนั่นเอง
บิดาเกือบสำลักข้าว ใช่ที่ไหนกันเล่า จะให้อธิบายกว่านี้ยัยหนูคงถามไม่รู้จักจบสิ้น ลามไปเรื่องที่ไม่สมควรแน่ เขาควรบอกลูกว่ามันคืออาการฝันเปียกเหรอ แล้วถ้าถามว่าฝันเปียกเกิดจากอะไรอีกล่ะ ไม่ต้องยกตัวอย่างประกอบจนเห็นภาพเลยหรือไง เขาก็อยากให้ความรู้ แต่ไม่ทราบจะพูดประมาณไหน สุดท้ายก็ตัดบทโยนไปคุณครูเสียดื้อๆ
และนันท์นรีก็ได้รู้ว่าประจำเดือนเป็นยังไงตอนที่เธอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง มาไม่ช้าไม่เร็วกำลังพอดี
ส่วนสูงของเธอก็เพิ่มมาอีกห้าเซนติเมตรแล้วด้วย ตอนนี้เธอสูง 163 เซนติเมตร น่าจะประมาณช่วงอกของคุณานนท์ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน สองปีที่ไม่ได้เจอหน้า พอนึกถึงก็ให้ห่อเหี่ยวใจ ตั้งแต่ที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่ทราบทำไมชายหนุ่มไม่กลับมาไร่องุ่น เธอถามคุณลุงคุณป้า ได้ความแค่ว่าเขาเปิดธุรกิจทำงานกับเพื่อนอยู่ที่กรุงเทพ อีกไม่นานก็จะกลับมาแล้ว ยังมอบเบอร์โทรให้เธอเผื่อคลายความคิดถึง
นันท์นรีโทรไปในเย็นวันนั้นทันทีเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ไม่คาดว่าพี่ชายที่สนิทสนมกันมานมนานจะใช้น้ำเสียงเหินห่าง เขาบอกว่า “ที่พี่ไม่กลับบ้านเป็นเพราะงานยุ่ง เราเองก็ต้องตั้งใจเรียน ปีนี้พึ่งอยู่มอหนึ่ง อย่าเถลไถล”
แค่ได้ยินเสียงก็ชื่นใจแล้ว ต่อให้มันจะฟังแปลกหูนันท์นรีก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เธอมักโทรไปหาเขาหลังเลิกเรียนทุกวัน บางครั้งชายหนุ่มก็รับ บางครั้งก็บอกว่ายุ่งแล้ววางสายไปเฉยๆ เป็นแบบนี้จนขึ้นมอสอง ช่วงนั้นมีแอพพลิเคชันหนึ่งรูปตัวเอฟกำลังเป็นที่นิยม ครั้นพอสมัครบัญชีผู้ใช้งานได้ เธอจึงลองให้เพื่อนช่วยค้นหาโปรไฟล์ของคุณานนท์ โดยเริ่มเสิร์ชจากชื่อบริษัทที่เขากับเพื่อนร่วมทุนกัน ไม่นานก็ตามจนเจอ
ยังมีอีก หน้าไทม์ไลน์ของชายหนุ่ม มีคนแท็กรูปพร้อมแคปชันน่าตกใจว่า คนของใจ ห้ามมองนะจ๊ะ!
นันท์นรีไม่รอช้าตามส่องโปรไฟล์ของผู้หญิงที่สะสวยปากแดงคนนั้น ครั้นพอไล่ดูก็ถึงกับเหม่อลอย ไอ้รูปที่ถ่ายคู่กับคุณานนท์พวกนี้บาดตาบาดใจเหลือเกิน เธอโตแล้ว กำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น คำว่าแฟนเอย คนของใจเอย ไม่มีทางไม่ทราบว่ามันหมายถึงอะไร
หลังจากนั้นคุณานนท์ก็เปลี่ยนแฟนใหม่และใหม่อีกไม่ซ้ำหน้า เป็นสาวสวยเช่นเคย เธอรู้ว่าเขาชอบคนสวย แถมพวกหล่อนแต่ละนางยังมีไฟหน้าล่อตาล่อใจ นมสะบึ้มแทบจะเท่าหัวเด็ก เธอแตกเนื้อสาวก็ยังมีได้ไม่ถึงครึ่งของมาตรฐานที่คุณานนท์ชอบ เรียกว่าแพ้ยับเยินคาหน้าจอโทรศัพท์เลยทีเดียว
เด็กน้อยก็ได้แต่เฝ้ามองเขาผ่านโลกโซเชียลเช่นนี้ กระทั่งขึ้นมัธยมศึกษาปีที่หก คำถามที่คาใจมาตลอดว่าทำไมนานแล้วคุณานนท์ยังไม่กลับไร่องุ่นเลยสักครั้งก็เฉลย เขาเป็นคนพูดเองเพราะเธอโตจนรู้ความ อีกทั้งเหมือนว่าจะรำคาญกันหน่อยๆ ที่เทียวทักไปหาไปถามไถ่ จึงได้บอกเธอตรงๆ เลย
“พ่อของเราสองคนอยากให้พวกเราหมั้นกัน พี่ไม่เห็นด้วยเลยทะเลาะกับพ่อ ที่ไม่กลับบ้านก็เพราะเรื่องนี้ เธอเข้าใจหรือยัง ต่อไปไม่ต้องทักมาหาพี่อีก เดี๋ยวแฟนของพี่เข้าใจผิด”
เด็กน้อยในวันวานโตเป็นสาว ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยสะพรั่งประกอบกับฐานะทางบ้านที่ดีพอสมควร นันท์นรีจึงกลายเป็นคนดัง สมัยนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นสิ่งที่เรียกว่าเน็ตไอดอล ก็คือไอดอลในโลกอินเตอร์เน็ตที่มีคนชื่นชอบ แฟนของคุณานนท์ทราบว่าเธอมักจะส่งข้อความหาเขา ต่อให้บอกไปว่าเป็นเพียงพี่น้องก็ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายจึงต้องรักษาระยะห่าง
และนันท์นรีก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจ จึงไม่ทักไปรบกวน เพียงแต่คอยตามส่องตามดู ต่อให้รู้ว่าระหว่างตนกับชายหนุ่มอาจไม่มีหวังแล้ว แต่นันท์นรีก็ยังไม่อาจตัดใจ หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเข้าเรียนต่อในตัวเมืองเชียงใหม่ กลายเป็นดาวมหาวิทยาลัยที่มีเพื่อนๆ รุมล้อม มีหนุ่มๆ มากหน้าหลายตามารุมจีบ แต่ก็ไม่มีใครสามารถลบชื่อคุณานนท์ออกไปจากใจดวงน้อยได้ พี่ชายคนนั้นของเธอ ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยมีน้องสาวไร่ส้มในใจเลยสักครั้งก็เถอะ
วันนี้นันท์นรีเก็บของกลับบ้านช่วงปิดเทอม พอลงจากรถได้ยินคนงานในไร่พูดกันว่าลูกชายเสี่ยสินคำกลับมาแล้ว ไม่รอช้าเธอรีบไปดูให้เห็นกับตาทันที
ไม่เจอกันเกือบเจ็ดปี เขาไม่เคยปรากฏตัวที่ไร่องุ่นเลย เกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะกลับมาอยู่บ้านแล้ว….