บทที่ 3
ซาบริน่าแสร้งทําเป็นไม่สนใจกับถ้อยคําเยาะหยันนั้นเสีย ความหงุดหงิดรําคาญใจและความโมโหทําให้อารมณ์ขันของเธอปลาสนาการไปสิ้น เธอพยายามจะเดินผ่านร่างสูง ๆ ของคนแปลกหน้าคนนั้น แต่เขาก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าเธอไว้
“รถของคุณคนไหน?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“คอนติเนนตัลสีฟ้าแถวถัดไปข้างหลังคุณนั่นแหละ”
“แต่ตอนที่ผมพบคุณครั้งแรก คุณไม่ได้มีทีท่าว่าจะเดินไปทางนั้นนี่” คําพูดของเขาทําให้สาวน้อยขบฟันแน่น
“ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะเดินไปท่าเรือเพื่อพบกับพ่อ และเดบอร่าห์ แต่เมื่อคุณยืนยันว่าจะตามฉันไปด้วย ฉันก็ยินดีจะไปนั่งคอยเขาในรถมากกว่า” เธอตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน
“หมายความว่าเขาออกไปเล่นเรือ แล้วทิ้งคุณไว้บนรถคนเดียวอย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงที่ถามนั้นเหมือนจะเน้นให้รู้ว่าทั้งพ่อและเดบอร่าห์ออกจะไร้น้ำใจกับเธอมากเกินไปหน่อยเสียแล้ว
“ไม่ใช่หรอก พ่อคนเดียวต่างหากที่ออกไปเล่นเรือ ส่วนเดบอร่าห์กับฉันก็เพียงแต่มารับเท่านั้น ตอนนี้เขาเดินไปที่ท่าและฉันก็กําลังจะเดินตามไปดูว่าทําไมเขาถึงได้กลับมาที่รถกันช้านัก”
“เดเบอร่าห์เขาเป็นพี่สาวคุณหรือไง ?”
“รู้สึกว่าคุณอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของฉันเสียเหลือเกินนะ” เธอถอนใจออกมาอย่างรําคาญ “ไม่ใช่หรอก เดบอร่าห์น่ะเขากําลังจะมาเป็นแม่เลี้ยงของฉัน พอใจหรือยังล่ะที่ได้รู้อย่างนี้ ?”
มือของเขาจับอยู่ตรงปลายศอก นําเธอกลับไปยังทิศที่ซาบริน่ารู้ว่ารถจอดอยู่ เมื่อเดินมาได้สักครู่ไม้เท้าก็ไปถูกบังโคลนเข้า
“แล้วพ่อคุณเขาเล่นเรืออะไรล่ะ ผมจะช่วยไปดูให้ว่าทําไมเขาถึงได้กลับมาช้านัก” คนแปลกหน้าคนนั้นแสดงความเอื้อเฟื้อออกมาอีก
“อ๋อ ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” เธอปฏิเสธออกไปทันที “ทุกวันนี้เขาก็เชื่อมั่นพออยู่แล้วละว่า ฉันจําเป็นจะต้องมีคนดูแลอย่างเป็นการถาวรเสียที ถ้าคุณขืนไปเล่าอะไรให้เขาฟัง ฉันจะไม่มีวันพูดจาเกลี้ยกล่อมให้เขายอมเชื่อได้เลยว่าฉันไม่ต้องการผู้ดูแลหรือที่ถูกผู้คุมขนาดนั้น” ความสะเทือนใจฉาบฉายอยู่ในน้ำเสียงของเธออย่างเห็นได้ชัด “เอาละ ถ้าฉันให้สัญญากับคุณว่าฉันจะไม่ออกจากรถไปไหนอีก คุณจะไปเสียให้พ้นแล้วก็ปล่อยฉันไว้ตามลําพังได้ไหมล่ะ ?”
“ผมว่ามันออกจะสายไปหน่อยแล้วละนะสําหรับการที่จะเก็บเรื่องการพบปะของเราไว้เป็นความลับไม่ให้พ่อคุณรู้” ผู้ชายคนนั้นว่า
“คุณหมายความว่ายังไงคะ ?” ซาบริน่าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคําพูดของเขา
“คนที่ชื่อเดบอร่าห์นะผมเขาสีแดงหรือเปล่า ?”
“ใช่”
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นผมเห็นจะต้องบอกให้คุณรับรู้ไว้ ขณะนี้มีผู้ชายคนหนึ่งกําลังเดินออกมาจากประตูท่าเรือพร้อมกับผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งเดินเคียงข้างมาด้วย เขากําลังมองทางนี้ด้วยสีหน้าที่บอกความร้อนใจอยู่” นั่นคือคําตอบ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบไปเสียเถอะ ก่อนที่พ่อฉันจะมาเห็นคุณเข้า” เธอแทบจะอ้อนวอน
“ก็ตอนนี้เขาเห็นผมแล้วนี่ ฟังนะคุณ ถ้าผมเป็นพ่อคุณ ผมจะต้องระแวงสงสัยอย่างหนักทีเดียว ที่มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาพูดจาปราศรัยกับลูกสาว แล้วจู่ ๆ พอเห็นเขาเข้าก็รีบเดินผละจากไป เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดผมอยู่รอเขาตรงนี้ก่อนดีกว่า” ผู้ชายคนนั้นตอบ
“อย่านะ” ซาบริน่าร้องทักท้วงออกไป แต่สําหรับผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ดูเหมือนเขาไม่สนใจฟังเอาเสียเลย
“นี่ คุณเลิกทําสีหน้าราวกับว่าผมกําลังขอให้คุณทําอะไรบางอย่างที่มันไม่สมควรเสียทีเถอะ แล้วก็ยิ้มเข้าไปด้วย” น้ำเสียงทุ้มๆของผู้ชายคนนั้นบอกความขบขันอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเขาจะสบายใจเหลือเกินที่เห็นเธอมี สีหน้าท่าทางกระวนกระวายเช่นนี้ อาการลังเลปรากฏขึ้น ก่อนหน้ารอยยิ้มจะฉาบขึ้นบนเรียวปาก
“ซาบริน่า” เสียงเรียกของพ่อทําให้จิตใจดีขึ้นอย่างมาก ความห่วงใยที่พ่อมีต่อเธอนั้นมากมายและมั่นคงเสมอมา “เบื่อไหมที่ต้องนั่งรอพ่ออยู่อย่างนี้ ?”
เธอหันหน้ามาทางเสียงนั้น พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ รู้ดีว่าขณะนี้พ่อกําลังจับตามองดูปฏิกิริยาที่กําลังเกิดขึ้นกับเธออยู่
“สวัสดีค่ะพ่อ” เธอพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติอย่างที่สุด “ไปเล่นเรือสนุกไหมคะ ?”
“จะมีอะไรสนุกกว่านี้อีกเล่า ?” เสียงที่ตอบมานั้นปนหัวเราะอยู่
ซาบริน่าแทบจะสัมผัสความรู้สึกได้ว่า ขณะนี้พ่อกำลังหันไปมองหน้าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นอย่างสงสัย เนื่องจากเธอมัวแต่พะวงกับการขับไล่เขาให้ออกไปพ้นๆเสียจากที่นั้น จึงไม่ได้คิดหาข้อแก้ตัวไว้ เพื่ออธิบายให้พ่อเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ปรากฏว่าเธอไม่จําเป็นต้องแบกปัญหานั้นไว้เลย
“คุณคงเป็นพ่อของซาบริน่าสินะครับ เขาเพิ่งถามผมอยู่เดี๋ยวนี้เองว่า เห็นเรือเลดี้ซาบริน่าเข้ามาหรือยังตอนที่ผมออกไปเดินเล่นตรงท่าเรือ ผมกําลังจะเอาเรือใบขนาดสองเสาของผมชื่อเดม ฟอร์จูน...ลงต่อจากคุณพอดีเลยครับ และผมก็ขอแนะนําตัวเองเสียเลยว่าผมชื่อเบย์ คาเมรอน” คนแปลกหน้าคนนั้นกล่าวกับพ่อ
“ส่วนผม...แกร้นท์ เลนครับ” พ่อตอบออกไป ความแปลกใจในตอนแรกดูจะเลือนหายไปหมดสิ้นเมื่อมีการแนะนําตัวกันอย่างเป็นทางการเช่นนี้
ตลอดเวลาที่บุรุษทั้งสองสนทนาวิสาสะกันอยู่นั้น ซาบริน่ามิได้รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าเธอนั่งกลิ้นลมหายใจไว้ และขณะนี้กําลังลอบระบายมันออกมาอย่างโล่งอก ขณะนี้เธอรู้แล้วว่าคนแปลกหน้าคนนั้นมีชื่อว่าเบย์ คาเมรอน ซึ่งทําให้เธอพอจะรู้ว่าเขาเป็นคนมีหัวนอนปลายตีนอยู่บ้าง เธอคิดอย่างโล่งอก
และเธอก็ออกจะมั่นใจว่าในท่าเทียบเรือแห่งนี้จะไม่มีเรือลําอื่นที่ชื่อเลดี้ ซาบริน่าไปได้นอกจากลําของพ่อ แต่มันออกจะน่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้สามารถจะเอาสองมาบวกสองได้อย่างว่องไว พ่อจะต้องตั้งชื่อเรือตามชื่อของเธออย่างแน่นอน และมันก็เป็นเหตุผลที่น่าปรบมือให้เสียด้วยกับการที่เขาเข้ามาพูดจากับเธออยู่ในขณะนี้
เมื่อเธอรู้สึกว่ามือของพ่อเอื้อมมาแตะไหล่เธอก็หันไปทางนั้นพร้อมกับยิ้มให้
“หนูไม่ได้เป็นห่วงพ่อเท่าไรนักใช่ไหม ซาบริน่า ?” เสียงพ่อถามล้อ ๆ
“ไม่ห่วงเลยค่ะ นักเดินเรือเก่าแก่อย่างพ่อจําเป็นด้วยหรือคะที่จะต้องมีใครเป็นห่วง แม้ว่าพ่อจะไม่มีลูกเรือฝีมือดีอย่างหนูคอยเป็นผู้ช่วยอีกแล้วก็ตาม” เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เอ้อ...นั่นสินะ” คําพูดอย่างไม่เต็มใจจะยอมรับของพ่อทําให้ซาบริน่าอยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก เธอไม่ได้ ตั้งใจจะเตือนความจําของพ่อถึงเมื่อครั้งที่เขาและเธอเคยอยู่ร่วมกันกลางทะเลครั้งละหลาย ๆ ชั่วโมงเลย ก่อนหน้าที่ มันจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จนเธอถึงกับตาบอดในที่สุด
“พวกผู้หญิงมักจะเป็นกังวลเสมอละครับ เมื่อผู้ชายซึ่งเป็นหลักอยู่ในบ้านต้องออกไปลอยเรืออยู่กลางทะเล” ผู้ชายที่ชื่อเบย์ คาเมรอนเอ่ยขึ้นในท่ามกลางความอึดอัดนั้น
“มันเป็นธรรมชาติของเราอยู่แล้วนี่คะ” เดบอร่าห์เอ่ย ขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบของเธอ “และพวกคุณที่เป็นผู้ชายก็ชอบที่จะให้เรารู้สึกอย่างนั้นด้วย”
“ถูกต้องทีเดียว เดบอร่าห์” พ่อของเธอคล้อยตามอย่างเห็นด้วย “คุณคาเมรอน ผมขอแนะนําให้คุณรู้จักกับ เดบอร่าห์ มอสเล่ย์ คู่หมั้นผม”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณมอสเล่ย์ แต่ผมเห็นจะไม่รบกวนเวลาคุณอีกต่อไปแล้ว เพราะคุณยังมีธุระอื่นที่จะต้องทําต่อไปอีกอย่างแน่นอน” เบย์ เมคารอนตอบ
“ขอบใจมากนะ ที่คุณอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนซาบริน่า” พ่อของเธอกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจ
“ค่ะ คุณคาเมรอน” ซาบริน่าเสริม ไม่ใคร่เต็มใจนัก เพราะรู้อยู่ว่าเขาไม่ได้ยอมตามใจเธอง่าย ๆ “ฉันต้องขอขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” แม้จะมองไม่เห็น ซาบริน่าก็จับหางเสียงที่กลั้วหัวเราะของเขาได้อยู่ เพียงแต่ว่าพ่อกับเดบอร่าห์ไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ตามไปด้วยเท่านั้น เขารู้อยู่แก่ใจว่าเธอกําลังขอบใจเขาเรื่องอะไร “หวังว่าเราจะได้พบกัน อีกนะครับ สวัสดี”
หลังจากที่ทุกคนกล่าวคําล่ำลากับเขาแล้ว ซาบริน่าก็เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปอยู่ เธอออกจะสงสัยอยู่ครามครันว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทําให้เขากับเธอได้พบกันให้พ่อฟัง อาจจะเป็นเพราะเขาสงสารเธอหรือไม่ก็ถึงกับเวทนาบ้างกระมัง เพราะจริง ๆ แล้วเขาได้แสดงความหยาบคายและโอหังใส่เธอไม่น้อย