บทที่ 2
ทันทีที่ไม้เท้าถูกเก็บขึ้นซาบริน่าก็เอื้อมไปรับ ไม่อยากจะยอมรับฟังคําพูดแสดงความสงสารหรือเห็นใจของเขา และคิดว่าบางที่การกล่าวคํา “ขอบคุณ” จะช่วยให้เขาไปเสียจากตรงนั้นเร็วขึ้น แต่เมื่อมือที่ยื่นออกไปยังว่างเปล่าอยู่ นวลแก้มก็ยิ่งแดงปลั่งขึ้น
มือคู่ที่แข็งแรงสอดเข้าใต้ท้องแขนและพยุงร่างเธอขึ้น ยืนอย่างรวดเร็วก่อนที่ซาบริน่าจะทันร้องทักท้วง ปลายนิ้วของเธอสัมผัสกล้ามเนื้อตรงต้นแขนที่มีเสื้อวินด์เบรคเกอร์คลุมอยู่ กลิ่นระเหยของน้ำเค็มจากมหาสมุทรที่ลอยมาตามสายลมคละเคล้าอยู่กับกลิ่นโคโลญจน์อาฟเตอร์ เชฟและกับกลิ่นกายที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรี ซาบริน่าออกจะเป็นคนค่อนข้างสูงคือห้าฟุตเจ็ดนิ้ว แต่ลมหายใจของเขาก็ยังระรวยอยู่ตรงหน้าผาก ซึ่งแสดงว่าเขาจะต้องสูงกว่าเธอไม่น้อยกว่าหกนิ้ว
ไม้เท้าของเธอซุกอยู่ตรงรักแร้ของเขา ซาบริน่าสัมผัสมันได้
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” เธอพูดห้วน ๆ ดึงไม้เท้ามา
“รู้สึกว่าคุณช่างเป็นคนไว้ตัวเสียเหลือเกินนะ” ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงล้อ ๆ ปล่อยมือที่โอบเอวลง
ซาบริน่าฝืนยิ้ม ดวงตาคู่สีน้ำตาลกลมโตไม่ยอมมองหน้าเขา ด้วยไม่ปรารถนาที่จะให้เขาแสดงความสงสารออกมา
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย” เธอพูดพร้อมกับถอยหลังออกห่าง
ขณะหันหลังให้เขานั้น เธอรอเวลาอยู่เพื่อให้เขาเดินจากไปเสียก่อน มีความรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นไม่ได้ละจาก แผ่นหลังของเธอเลย และก็เดาเอาว่าเขาอยากจะรอดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า เธอไม่ได้บาดเจ็บเป็นอะไรจริงเช่นที่พูด
ด้วยความกลัวว่าเขาจะทําอะไรบางอย่างเพื่อให้ความช่วยเหลือเธอได้เต็มที่เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าเธอมีความจําเป็นจะต้องใช้ไม้เท้าอันนั้น ซาบริน่าจึงก้าวเดินออกไปโดยมิได้ระมัดระวัง เสียงแตรกับเสียงเบรคของรถคันหนึ่งที่ดังขึ้นเกือบจะข้างตัว ทําให้เธอถึงกับยืนตะลึงราวเป็นอัมพาต พร้อมกันกับที่อ้อมแขนแข็งแกร่งปานปลอกเหล็กตวัดลงรอบเอว กระชากร่างให้ถอยห่างออกมา
คราวนี้แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะยังคงความทุ้มอยู่ แต่มันก็มิได้อ่อนโยนสุภาพเช่นในตอนแรก ไม่มีแม้แต่แววแห่งความห่วงใยเมื่อเขาคํารามขึ้นว่า
“นี่คุณคิดจะฆ่าตัวตายหรือไง คุณไม่เห็นหรือว่ารถคันนั้นมันกําลังวิ่งมาทางนี้ ?”
“ฉันจะเห็นได้ยังล่ะ” ซาบริน่าร้องออกไปด้วยความเจ็บใจ ไม่อาจผละออกจากอ้อมแขนที่รัดอยู่รอบเอวได้ “ในเมื่อฉันตาบอดอย่างนี้”
เธอได้ยินเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนหน้าที่เขาจะหมุนร่างเธอให้หันมาหา และต้นแขนทั้งสองข้างก็ถูกเขาจับตรึงไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นราวถ่านไฟแรงร้อนเมื่อมันจ้องหน้าเธออยู่และปลายคางที่ก้มต่ำก็ถูกเชยขึ้น ซาบริน่ารู้ดีว่าขณะนี้ ดวงตาที่มองไม่เห็นของเธอกําลังจ้องหน้าเขาอยู่ อย่างน้อยมันก็เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกดีใจที่ไม่เห็นหน้าเขา แววแห่งความเวทนาในสีหน้านั้นคงเป็นสิ่งที่เธอทนดูไม่ได้
“แล้วทําไมคุณถึงไม่บอกให้ผมรู้ตั้งแต่แรก?” น้ำเสียงของเขาบอกความขึ้งโกรธ ซึ่งทําให้เธอถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะโกรธมากมายขนาดนี้ “แล้วทําไมคุณถึงไม่ใช้ไม้เท้าสีขาว”
คราวนี้ซาบริน่ารู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง เธอจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“ทําไมฉันจะต้องใช้ไม้เท้าสีขาวด้วยเล่า ? ทําไมฉันถึงจะต้องสวมแว่นตาดํา ? จําเป็นด้วยหรือที่ฉันวิ่งประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่า...โปรดเมตตาคนตาบอดด้วย ? ทําไมเพียงแค่การตาบอดถึงทําให้ฉันผิดแปลกแตกต่างไปกว่าคนอื่น ๆ ด้วยล่ะ ? ทําไมฉันจึงต้องถูกกันให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างนั้นด้วย...ฉันเกลียดนัก เวลาที่พวกพ่อแม่ชี้มือมาทางฉัน แล้วก็บอกกับลูก ๆ ของตัวว่า... ให้ผู้หญิงตาบอดคนนั้นไปก่อน การที่ฉันไม่ใช้ไม้เท้าสีขาวก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการได้รับความสมเพชเวทนาจากใครทั้งสิ้น”
“ใช่ แต่การที่คุณไม่ยอมใช้ไม้เท้าสีขาวนั่นมันเกือบจะทําให้คุณต้องตายข้างถนนอยู่แล้ว” คนแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าคนขับรถคันที่เกือบชนคุณเมื่อครู่เขาเห็นไม้เท้าสีขาว เขาย่อมจะมีโอกาสเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถมากขึ้น เขาจะลดความเร็วลงเพื่อให้คุณผ่านไปก่อน หรือไม่ก็บีบแตรเพื่อให้คุณรู้ตัวล่วงหน้าว่าเขากําลังขับมาทางนั้น” เขาถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“แต่นี่คุณกลับเดินลงไปในถนนอย่างจองหอง ขืนเดินอย่างนี้บ่อย ๆ ละก้อ อายุไม่ยืนหรอก สักวันหนึ่งจะต้องถูกรถชนตายแน่ จริง...คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คนที่ขับรถชนคุณนั่นสิ เขาคงไม่อาจเข้าใจได้หรอกว่าเพราะเหตุใดคุณถึงไม่ยอมใช้ไม้เท้าสีขาว ทั้งที่มันเป็นเครื่องช่วยชีวิตคุณอย่างดีที่สุด”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจนี่” ซาบริน่าตอบด้วยน้ำเสียงที่อยากจะเอาชนะ “ถ้าคนเราต้องเสียตาไป เขา ย่อมรู้ดีว่ามันเจ็บช้ำเพียงไรที่จะต้องประกาศความเป็นคนตาบอดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา”
“ก็เห็นอยู่แล้วละว่า ทําไมคุณถึงไม่อยากได้รับความสงสารเห็นใจจากคนอื่น” ผู้ชายคนนั้นโต้กลับมา “ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าคุณมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความสงสารตัวเองเท่านั้น”
“คุณออกจะบังอาจมากไปหน่อยแล้วนะ...” ซาบริน่าไม่ยอมให้ตัวเองพูดต่อจนจบประโยค เมื่อกะระยะและยกมือขึ้นตบหน้าผู้ชายคนนั้นเต็มแรง
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะลดมือลงด้วยซ้ำก็รู้สึกเจ็บตรงแก้ม แม้มันจะไม่รุนแรงนัก แต่มันก็สร้างความตกใจให้กับเธออย่างล้นเหลือ
“คุณกล้าดียังไงถึงมาตบหน้าคนตาบอดอย่างฉัน” เธอร้องออกไป แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้ต่างไปกว่าเสียงกระซิบเลย
“อ้าว ก็คุณเป็นคนที่ไม่ต้องการสิทธิพิเศษอะไรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?” เขาเยาะให้ “หรือคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะเที่ยวตบหน้าใคร ๆ เขา เพราะรู้ว่าไม่มีใครกล้าตบกลับให้บ้างเมื่อรู้ว่าคุณเป็นคนตาบอดอย่างนี้ ผมว่าคุณน่าจะไตร่ตรองเสียใหม่ให้ดีนะว่าจะเอายังไงกันแน่”
ซาบริน่ามีความรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนักที่ต้องกล้ำกลืนคําพูดของตัวเอง
“คุณเป็นคนใช้ไม่ได้และร้ายกาจอย่างที่สุด” เธอพูดพร้อมกับหันหลังตั้งท่าจะเดินออกจากตรงนั้น
“อย่ารีบร้อนนักสิ” มือแข็งแรงเอื้อมมาจับไหล่เธอไว้ทําให้ไม่สามารถเดินต่อไปได้ “คุณนี่มันแย่กว่าเด็กเล็กๆ ที่เพิ่งหัดเดินอีกนะ” เขาร้องอย่างหงุดหงิด “คุณไม่ได้ยินเสียงรถที่กําลังแล่นมานั้นหรือไง แล้วรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกําลังจะเดินไปทางไหน คุณรู้จักทิศทางที่กําลังจะเดินไปแล้วหรือไง ?”
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ” ซาบริน่าร้องเสียงเครียด “ฉันจะเป็นยังไงมันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะต้องมาเกี่ยวข้องด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย” แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้บอกความเสียใจเลยแม้แต่น้อย “แต่ผมได้รับการ อบรมสั่งสอนมาว่า มวลมนุษย์ทั้งหลายล้วนเป็นเสมือนพี่น้องจะต้องช่วยดูแลซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณ จะพอใจหรือไม่ก็ตาม ผมก็จําเป็นจะต้องดูแลให้คุณไปถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัย เอาละอยากจะไปทางไหนก็ไปได้เลย” น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงความห่วงใยหรือยินดียินร้ายอะไรด้วย “แต่ผมจะเดินตามไปข้างหลังเป็นเพื่อนด้วย”
เธออยากจะกรีดร้องแสดงความเหลืออดออกมา แต่ท่าทางที่ไม่ย่นย่อของอีกฝ่ายหนึ่งบอกให้รู้ว่าถึงร้องไปก็เสียกําลังเปล่า เธอไม่อาจเดินต่อไปยังท่าเรือโดยมีเขาเป็นผู้คุมอยู่อย่างนี้ได้ ไม่ต้องการให้พ่อมีความรู้สึกว่ามันไม่เป็นการปลอดภัยเลยที่จะทิ้งเธอไว้แต่เพียงลําพังแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ทันทีที่พอเห็นผู้ชายคนนี้เข้า คําถามต่าง ๆ นานาจะต้องเกิดตามมาและจะต้องมีการเล่าเรื่องหรืออธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ซึ่งซาบริน่าไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น
เธอหันหลังเดินกลับไปตามทิศทางที่เพิ่งผ่านมาอย่างไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย
“ที่จริงคุณไม่จําเป็นต้องมาลําบากกับฉันเลย ฉันเพียงแต่จะเดินกลับไปที่รถเท่านั้น” เธอพูดเสียงแข็ง
“แล้วก็คงจะขึ้นนั่งและขับออกไปเลยนะ” แม้เขาจะพูดเสียงเบา แต่เธอก็ยังจับความขบขันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงได้อย่างชัดเจน