บทย่อ
ซาบริน่า เลน เด็กสาวบริสุทธิ์แสนสวยร่าเริงและดื้อรั้น จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทําให้เธอต้องตกอยู่ในโลกแห่งความมืด ชีวิตต้องว้าเหว่และไร้จุดมุ่งหมาย แต่เธอก็ไม่ปรารถนาให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นคนตาบอด คู่รักของพ่อเธอ-เดบอร่าห์ มอสเล่ย์ สาวขี้หึง อยากได้อะไรก็ต้องการครอบครองไว้เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการตัดภาระต่าง ๆ เธอจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาส่ง ซาบริน่าไปอยู่โรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งซาบริน่าก็ไม่อยากไปอยู่สถานที่แบบนั้น เมื่อเธอได้พบกับเบย์ คาเมรอน บุรุษซึ่งมีเชื้อสายชาวซานฟรานซิสกัน วิถีชีวิตของเธอจึงผันแปรไปจากที่เป็นอยู่ เขาได้แนะนําให้เธอกลับไปทํางานที่ใจรักจนมีชื่อเสียง แต่กระนั้นซาบริน่าก็อดสงสัยในเจตนาที่เบย์เข้ามาใกล้ชิดผูกพันเธอไม่ได้ ว่าเขามีจุดประสงค์อย่างไร? เป็นเพราะสมเพชเวทนา หรือหาความสนุกใส่ตัว
บทที่ 1
เหนือขึ้นไปในท้องฟ้า นกนางนวลตัวหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องขึ้น สายลมแรงจากมหาสมุทรแปซิฟิคกรรโชกอยู่รอบบริเวณท่าเทียบเรือยอร์ชในอ่าวซานฟรานซิสโก เสียงดังก้องมาจากรถเคเบิ้ลคันหนึ่ง ซึ่งกําลังไต่สูงขึ้นไปยังหน้าผาที่สูงชันเหนือไฮด์ สตรีท
คอนติเนนตัลสีฟ้าหลังคาน้ำเงินเข้มเคลื่อนเข้ามายังที่จอดหน้าท่าเรืออย่างงามสง่า คนขับเป็นสตรีสาววัยประมาณสามสิบเศษแต่ต้องจัดว่าสวยมาก หล่อนเบรครถคันนั้นลงระหว่างเส้นสีขาวอย่างแม่นยํา เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ดับเครื่องยนต์ ตอนที่เอื้อมไปจับลูกบิดประตู ดวงตาคู่ สีเขียวขาบเหลือบไปยังใบหน้าของหญิงสาวคนที่นั่งอยู่เคียงข้างอย่างรําคาญ
“ข้างนอกมันออกจะหนาวมากนะซาบริน่า ฉันว่าตอนที่ฉันไปดูว่าคุณพ่อมาหรือยังนี่ เธอนั่งรอในรถจะดีกว่าละมัง”
มันเป็นเสมือนคําปรารภมากกว่าจะเป็นการเสนอแนะ ซาบริน่า เลน ตั้งท่าจะเอ่ยปากคัดค้าน เบื่อหน่ายกับการที่ทุกคนปฏิบัติต่อเธอราวกับเป็นคนไร้สมรรถภาพ ลึกลงไปในใจเธอรู้ว่าจริง ๆ แล้ว เดบอร่าห์ไม่ได้ห่วงใยกับสุขภาพของเธอมากไปกว่าการอยากจะได้อยู่ตามลําพังกับพ่อ
“ยังไงก็ได้ค่ะเดบอร่าห์” หญิงสาวคล้อยตาม มือข้างขวากระชับมั่นอยู่กับไม้เท้าที่ทําด้วยไม้โอ๊คอันนั้น
ความเงียบที่ติดตามมาภายหลังจากเดบอร่าห์ลงจากรถไปแล้วทําให้ประสาทของซาบริน่าตึงเครียดยิ่งขึ้น การที่ต้องอดทนกับสภาพทางร่างกายของตนเอง โดยที่ไม่มีคนรักของพ่อมาคอยเพิ่มความเครียดให้เกิดขึ้นมันก็ยากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเคลื่อนไหวในรูปแบบอื่น
คนรักของพ่อ...มุมปากของเด็กสาวหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันกับวิธีการใช้คําพูดวลีนั้น นับแต่วันที่แม่ตายลง ตอนที่ซาบริน่าอายุเพียงเจ็ดขวบ พ่อมีเพื่อนหญิงมากมาย แต่เดบอร่าห์ มอสเล่ย์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนหญิงคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะซาบริน่าได้รับอุบัติเหตุเมื่อแปดเดือนก่อน เดบอร่าห์ก็คงเป็นแม่เลี้ยงคนใหม่ของเธอไปแล้ว
ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ซาบริน่าครุ่นคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นการดีอย่างที่สุดที่พ่อจะได้พบใครอีกสักคนหนึ่งที่ต้องการจะแต่งงานด้วย แม้ว่าเดบอร่าห์ มอสเล่ย์ จะไม่ใช่หญิงสาวที่ซาบริน่าชอบเท่าไรนัก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสําคัญตราบใดที่เดบอร่าห์สามารถทําให้พ่อมีความสุข
แต่ทว่านั่นมันเป็นก่อนหน้าการเกิดอุบัติเหตุ นั่นเป็นตอนที่เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เธอมีที่อยู่ของตัวเองเป็นอพาร์ตเม้นท์เล็ก ๆ แต่ไม่ว่ามันจะเล็กสักแค่ไหน มันก็ยังเป็นสมบัติส่วนตัว เธอมีงานทําแม้ว่ามันจะไม่ใช่งานที่ทําเงินให้มากมายนัก แต่เธอก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้
แต่เมื่อมาถึงเวลานี้...หัวใจของเธอร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งนัก นับแต่นี้...มันคงจะอีกนานนักกว่าที่ซาบริน่าจะมีโอกาสภาคภูมิใจในตัวเองอีก
“ทําไมถึงต้องเป็นฉันด้วยเล่า ?” ความรู้สึกสงสารตัวเองทําให้ก้อนสะอื้นขึ้นมาอัดแน่นอยู่ในทรวง “ฉันทำความผิดอะไรถึงต้องมารับเคราะห์กรรมอย่างนี้ ทําไมถึงต้องเป็นฉัน ?” เธอร้องอยู่ในใจ
ลําคอของเธอตีบตันปวดร้าวกับคําถามที่ไม่มีคําตอบนั้น ถึงอย่างไรมันก็ยังมีเวลาอีกมากมายที่จะคิด เวลามากมายที่จะคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป และกับคําว่า...ถ้าเพียงแต่...ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้วและไม่อาจทําให้คืนดีได้ เช่นเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญคนแล้วคนเล่าได้บอกกับซาบริน่า และพ่อมาแล้วไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปชั่วชีวิตและไม่มีสิ่งใด นอกเสียจากปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้
ความรู้สึกอยากจะต่อต้านบังเกิดขึ้น ความคลั่งแค้นที่ว่าเธอจะต้องได้แต่นั่งรออยู่ในรถ หรือไม่ก็อยู่บ้านตามแต่ใครคนใดคนหนึ่งจะตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสิ่งดีที่สุดสําหรับเธอ กําลังแทรกตัวของมันขึ้นมาสู่ผิวหน้าของจิตใจ
และความรู้สึกนั้นก็แผ่ซ่านเข้าครอบคลุมจิตใจ ซาบริน่ากําลังคิดอยู่ว่า สมมุติว่า การที่เดบอร่าห์อยากจะอยู่ตามลําพังกับพ่อไม่ได้เป็นเพียงเพราะอารมณ์โรแมนติก แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขาส่งเธอไปอยู่ที่บ้านพักคนพิการเล่า?...บ้านพักคนพิการ...มันเป็นชื่อที่สร้างความรู้สึกสยดสยองให้กับเธอเสมอมา
“ได้โปรดเถอะ พระเจ้า” ซาบริน่าอธิษฐานอยู่ในใจ “ขออย่าให้พ่อเชื่อผู้หญิงคนนั้นเลย ฉันไม่ต้องการไปอยู่ในสถานที่อย่างนั้น ขอให้มันมีทางออกทางอื่นที่ดีกว่าการถูกส่งตัวไปอยู่ที่นั่นทีเถอะ”
เธอรู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องเฝ้าอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงประทานความช่วยเหลือลงมาให้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเธอมีแต่ความเคารพในตัวเอง แต่ขณะนี้เธอจําเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ
และขณะนี้...ในนาทีนี้ เดบอร่าห์อาจกําลังเกลี้ยกล่อมพ่อให้ส่งเธอไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ โดยปล่อยให้เธอนั่งรอฟังข่าวอยู่แต่ในรถ รอเวลาที่จะยอมรับในโชคชะตาซึ่งตัวเองไม่มีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือแม้แต่น้อย แต่ด้วยการให้คนใดคนหนึ่งมาออกคําสั่ง
ซาบริน่าเคยเดินลงไปที่หน้าท่าซึ่งพ่อผูกเรือไว้มานับครั้งไม่ถ้วน ระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไรเลย ถ้าเธอจะใช้เวลาสักหน่อยและทําใจให้เย็นไว้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไปที่นั่นไม่ได้
นิ้วมือเรียวงามบอกความเป็นศิลปินเลื่อนขึ้นกระชับคอเสื้อทูนิคตัวนอกและกับคอปกตลบตัวใน เสียงลมหอนเตือนอยู่ภายนอก เธอยกมือขึ้นลูบเรือนผมเพื่อให้แน่ใจว่า เรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งถูกขมวดมุ่นขึ้นไว้เป็นมวยเหนือศีรษะยังอยู่ในที่ทางเรียบร้อย
เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กําลังกระจายไปทั่วตัว เอื้อมมือไปเปิดประตูรถเหวี่ยงขาเพรียวงามลงบนบาทวิถี เมื่อประตูรถปิดตามหลังและไม้เท้ากระชับแน่นอยู่ในมือ เธอก็ออกเดินช้าไปตามทิศทางที่ตั้งของท่าเรือ ปลายนิ้วแห่งความกลัวกรีดลงตรงไขสันหลัง ประสมประสานอยู่กับความตื่นเต้นกับการผจญภัยในการเดินทางช่วงสั้น ๆ นี้
ความสําเร็จที่ได้รับในครั้งแรก ๆ ช่วยส่งเสริมความกล้าให้เพิ่มขึ้น และทําให้ซาบริน่าเร่งฝีเท้าขึ้นโดยมิได้ตั้งใจทําให้เกิดไปสะดุดเข้ากับสันคอนกรีตเต็มแรงจนร่างถลาล้มลง ไม้เท้ากระเด็นหลุดจากมือ
ความตื่นเต้นเมื่อครู่เลือนหายไปเกือบจะในทันที เหลืออยู่แต่ความกลัว มือไม้ที่สั่นเทาพยายามเอื้อมไปให้ถึง แต่มันก็อยู่ห่างเกินเอื้อม แต่นอกจากความตกใจแล้วเธอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่มีไม้เท้าอันนั้นเธอจะเดินไปที่ท่าเรือได้อย่างไรกันเล่า ?
“บ้า...บ้าที่สุด” ซาบริน่าร้องออกมาด้วยความโมโหในความซุ่มซ่ามของตัวเอง และกับการที่ออกมาจากรถ โดยหวังจะไปรับพ่อให้ถึงที่
ถ้าพ่อพบเธออยู่ในสภาพเช่นนี้ พ่อยิ่งจะต้องมองเห็นน้ำหนักในคําพูดของเดบอร่าห์ที่จะให้จัดการส่งตัวเธอไปอยู่ในมือของผู้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือเธอได้อย่างเต็มที่ หญิงสาวค่อย ๆ ยันกายขึ้นด้วยศอกข้างหนึ่งและพยายามคิดหาลู่ทางที่จะออกไปให้พ้นสภาพนี้ให้ได้
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?” เสียงทุ้ม ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น หางเสียงของเขาแฝงแววขบขันอยู่
ซาบริน่าหันขวับไปทางทิศที่มาของเสียง ใบหน้าแดงเข้มขึ้นเมื่อนึกถึงว่าคนแปลกหน้าคนนี้คงจะได้เห็นท่าทางที่น่าขันของเธอเข้า และเธอยังจะต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอีกด้วย
ใบหน้ารูปไข่ประกอบด้วยคางเรียวแหลมกับโหนกแก้มที่ค่อนข้างสูงเชิดขึ้นทันที
“ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรหรอกค่ะ...เอ้อ...แต่ไม้เท้าของฉันน่ะสิคะ คุณช่วยกรุณาหยิบให้หน่อยได้ไหม ?”
“ได้สิ” แววขบขันหายไปจากน้ำเสียง