บทที่ 4
เสียงประตูรถถูกเปิดออกทางข้างหลัง ทําให้เธอต้องยุติความคิดสงสัยต่างๆนานาในใจลง เมื่อพ่อประคองร่างให้เข้าไปในที่นั่งตอนหลัง
“ฉันคิดว่าเธอจะนั่งรออยู่แต่ในรถเสียอีก” น้ำเสียงของเดบอร่าห์บอกความไม่พอใจ เมื่อต่างคนต่างเข้านั่งตามที่ของตนเรียบร้อยแล้ว
“ในรถนี่มันร้อนนี่คะ ฉันก็อยากได้รับอากาศข้างนอกบ้าง” ซาบริน่าตอบเรียบ ๆ
“และมันก็ช่วยให้แก้มลูกแดงขึ้นด้วยนะ” แกร้นท์เอ่ยขึ้นอย่างตั้งข้อสังเกต “พ่อว่าหนูควรจะออกข้างนอกให้มากกว่านี้นะ”
ซาบริน่าไม่ใคร่แน่ใจนักว่า นั่นเป็นคําพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพ่อกําลังจะคล้อยตามความคิดเห็นของ ของเดบอร่าห์ที่อยากจะให้ส่งเธอไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งใหม่ที่เธอเคยได้ยินการปรึกษาหารือกันมาแล้ว
“แล้วก็คุณ...คาเมรอนคนนั้นน่ะ” เดบอร่าห์เอ่ยต่อ “เธอเคยรู้จักกับเขามาก่อนแล้วหรือ ?”
“ไม่เคยหรอกค่ะ ทําไมล่ะ ?” ซาบริน่านั่งตัวแข็งไปทันที่เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เต็มที่
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพราะเท่าที่ผ่านมาฉันสังเกตเห็นว่าเธอไม่ใคร่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้าเท่านั้นละ”
“ที่คุณพูดนหมายความว่าตั้งแต่ฉันตาบอดใช่ไหมคะ” ซาบริน่าถามเสียงเข้ม “จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ใช่คนขี้อายอะไรนักหรอกค่ะ ยิ่งกว่านั้นฉันก็เพียงแต่ถามเขาเกี่ยวกับพ่อเท่านั้น”
ความเงียบที่น่าอึดอัดใจเกิดขึ้น ที่จริงเธอไม่ได้คิดจะตอบอย่างตัดรอนเช่นนี้ แต่บางครั้งท่าที่และคําพูดที่บ่งบอกถึงความห่วงใยอันเกินกว่าเหตุของเดบอร่าห์ ทําให้เธอไม่สบายใจและหวาดผวา เช่นเดียวกับคําพูดของคนอื่น ๆ เหมือนกัน
“คุณคิดว่า...” เดบอร่าห์กล่าวต่อซึ่งพอจะช่วยทําลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นลงได้บ้าง “เขาจะเป็นคน เดียวกับคาเมรอนคนที่เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่นั่นหรือเปล่าคะ ?”
“ผมว่าก็น่าจะใช่นะ เพราะคงไม่มีคนอื่นที่จะมีเรือใบไว้เล่นอย่างเขาได้หรอก” พ่อของเธอตอบ “ที่จริงพวกคาเมรอนนี่เขาเป็นตระกูลเก่าแก่ในซานฟรานซิสโกทีเดียว”
ถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นเชื้อสายชาวซานฟรานซิสกันแท้จริง ซาบริน่ารู้เรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์อันเต็มไปด้วยสีสันของเมืองนี้อยู่ ก่อนหน้าที่จะมีการพบแร่ทองคําขึ้นในปี 1849 ซานฟรานซิสโกเป็นเพียงเมืองท่าเล็กๆที่มีชื่อเรียกขานกันว่า “เยอร์บา บูอีน่า” ซึ่งแปลว่า “สมุนไพรชนิดดี” หรืออะไรทํานองนั้นและตั้งอยู่ในอ่าวแห่งนี้ ซึ่งเป็นอ่าวที่เหมาะแก่การทําท่าเรือสําหรับเรือเดินทะเลทั้งหลายที่อ้อมปลายแหลมแห่งอเมริกาใต้ไปบรรจบกับแหล่ง เหมืองทองคําในแคลิฟอร์เนีย หลังจากที่มีการพบแร่ทองคําเกิดขึ้น อ่าวแห่งนี้ก็เป็น “ประตูทอง” สําหรับนักบุกเบิก เป็นจํานวนมากในสมัยนั้น
แต่ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว น้อยคนนักจะได้พบสินแร่อันมีค่าเป็นจํานวนมากๆ แต่ความเจริญทั้งหลายน่าจะเกิดด้วยสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่คนเหล่านั้นนําติดตัวมาด้วย มีคนเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสําเร็จในการขุดค้นพบแร่ทองคํา และคนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาจากแคลิฟอร์เนียและเนวาด้านั่นเองที่สร้างนครซานฟรานซิสโกแห่งนี้ขึ้น จนกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมาถึงสมัยปัจจุบัน
ตระกูลคาเมรอนเป็นตระกูลหนึ่งที่ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในเมืองแห่งนี้มาแต่ดั้งเดิม ผู้คนมักจะหัวเราะกันเมื่อกล่าวว่า ครั้งหนึ่งตระกูลนี้เคยมีอํานาจครอบครองเมืองซานฟรานซิสโกไว้จนหมดสิ้น แต่มาถึงสมัยปัจจุบันพวกเขาสามารถครอบครองได้เพียงหนึ่งในสี่ของเมืองเท่านั้น และเนื่องจากเขาอยู่ในตระกูลสูงเกินกว่าจะก้าวลงมาพบกับคนเดินดินธรรมดา ๆ ได้ ดังนั้นซาบริน่าจึงพอจะเข้าใจอยู่ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเป็นคนที่พูดจาก้าวร้าวโอหังนัก
แต่ก็นั่นแหละ...สาวน้อยถอนหายใจออกมาเบาๆ มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าที่จะไปคิดถึงเรื่องของเขา เขาไม่ใช่คนประเภทที่ใคร ๆ จะเดินเข้าไปชนได้ง่ายนัก โดยเฉพาะกับคนที่มีประวัติความเป็นมาของตระกูลสูงเช่นนี้
แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว เธอออกจะชอบน้ำเสียงของเขาอยู่ไม่น้อย ซาบริน่าออกจะเห็นด้วยกับตัวเองในเรื่องนี้อยู่ เธอชอบน้ำเสียงนั้น ตอนที่เขาออกคําสั่งให้เธอทํานั่นทํานี่ เสียงทุ้ม ๆ นุ่มนวลนั้นฟังแล้วอบอุ่นแล้วสบายใจ มันบอกถึงความเป็นชายชาตรีที่มีความคิดรอบคอบสุขุม และมันทําให้เธอบังเกิดความอยากรู้ต่อไปด้วยว่าเขาจะอายุสักเท่าไหร่กันแน่ ?
และนี่คือปัญหาสําคัญประการหนึ่งที่เกิดจากการมองไม่เห็น เธอจําเป็นต้องพึ่งพาอาศัยความคิดเห็นของผู้อื่นที่จะช่วยตัดสินเกี่ยวกับคนใหม่ ๆ ที่เธอจะต้องพบปะอยู่เสมอ แต่ในระยะหลัง ๆ เธอสามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้น และเธอเริ่มทบทวนความประทับใจที่ได้รับจากการพบปะกับเบย์ คาเมรอนในครั้งนี้
เธอรู้ว่าเขาเป็นคนค่อนข้างสูง ถ้าจะมากกว่า 6 ฟุต ก็คงอีกสักประมาณหนึ่งนิ้ว ตอนที่เขากระชากร่างให้เธอพ้นออกมาจากรถคันนั้น เธอรู้สึกว่าปะทะอยู่กับแผงใหญ่กว้าง หน้าท้องแบนราบและสะโพกที่ค่อนข้างแคบ ถ้า จะตัดสินจากความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแล้ว ต้องนับว่าเขาเป็นคนที่มีเรือนร่างสง่างามทีเดียว
กลิ่นไอของน้ำเค็มที่ติดกาย ทําให้พอจะรู้ได้ว่า อย่างน้อยเขาจะต้องออกไปเล่นเรือใบซึ่งขณะนี้ผูกไว้ตรงหน้าท่าบ่อยครั้ง และวันนั้นก็คงจะกลับมาแล้วอย่างน้อยก็เที่ยวหนึ่ง เพราะกลิ่นที่ติดตัวมายังแรงอยู่ ซึ่งนั่นย่อมพอจะบอกให้รู้ได้อีกว่าเขาเป็นคนชอบทะเลหรืออย่างน้อยก็ชอบบรรยากาศในที่แจ้ง หรือไม่ก็ทั้งสองประการ กลิ่นกรุ่นจากเรือนกายกับกลิ่นอาฟเตอร์-เชฟที่เขาใช้ ย่อมบอกให้รู้ถึงลักษณะนิสัยประจําตัวของเขาอยู่
ตอนที่เธอโมโหอย่างมากจนไม่ได้สัมผัสกับอารมณ์ขันของเขาเลย ก็ยังจะเดาได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนอารมณ์ดีไม่น้อย และมันเพียงแต่อําพรางอยู่ในน้ำเสียงและท่าทางเยาะหยัน สําหรับไหวพริบปฏิภาณนั้นจะสามารถวัดได้จากมารยาทในการพูดจาและความเฉลียวฉลาดในการหาเหตุผลมาเป็นข้ออางกับพ่อว่า เพราะเหตุใดเขากับซาบริน่าจึงยืนคุยกันอยู่ตอนที่พ่อกลับมา
ถ้าบุคคลผู้นี้ประกอบธุรกิจ เขาจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดแหลมคมอย่างชนิดที่ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบได้ ทรัพย์สมบัติของตระกูลย่อมจะปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่ในมือเขา ถ้ามันจะไม่เพิ่มขึ้นมาอีก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สาวน้อยก็เอนหลังลงพิงกับเบาะพร้อมรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยอันบ่งบอกถึงชัยชนะ ข้อมูลที่เธอกําลังวิเคราะห์อยู่นี้ อย่างน้อยมันก็มากพอแล้วสําหรับการพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว มันก็ยังมีอีกสองสิ่งที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับตัวเขา สําหรับเรื่องอายุนั้นสามารถกําจัดเขตลงมาได้ว่าจะต้องอยู่ระหว่างสามสิบกับห้าสิบซึ่งพิเคราะห์จากน้ำเสียงและคําพูดแบบผู้ใหญ่กับสภาพทางร่างกาย
สําหรับประการที่สองนั้นคือ รายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา อาทิสีสันของเรือนผม ดวงตาและอื่น ๆ แต่ถึงอย่างไรสําหรับตอนนี้ซาบริน่าก็ชื่นชมกับความคิดของตัวเองไม่น้อยอยู่แล้ว
เธอนั่งนิ่งขึงไปเป็นครู่ มันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เธอไม่อาจรู้ได้ นั่นก็คือเขาแต่งงานแล้วหรือยัง ซึ่งสำหรับเรื่องนี้แม้เธอจะมองเห็น แต่เพียงการพบกันแค่ครั้งเดียวมันก็ไม่อาจทําให้เธอรู้ได้เช่นกัน นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่มีความซื่อสัตย์มั่นคงพอที่จะสวมแหวนแต่งงานไว้ในนิ้วนางข้างซ้ายเท่านั้น แต่เท่าที่ผ่านมาดูเหมือนเธอจะไม่สัมผัสกับโลหะใด ๆ บนมือของเขาเลย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอจะต้องเดือดร้อนกังวลใจว่าเขาจะแต่งงานแล้วหรือไม่ เธอเพียงแต่ทดลองฝึกความจําและการรู้จักสังเกตในสิ่งต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสเท่านั้น และก็ออกจะพอใจในผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น้อยเลย