บท
ตั้งค่า

3 อยากเป็นเจ้าสัวจริงๆ นะ

“เฮ้อ! ก็ตามที่เล่ามานั่นแหละ...เฮ้อ...” ตลอดการเล่าเรื่องราวอึดอัดที่ตัวเองเจอมาทั้งวัน นี่ไม่ใช่การถอนหายใจครั้งที่หนึ่งหรือสอง

แต่เป็นการถอนหายใจตลอดการเล่านั่นแหละ!

“แล้วแกจะเอายังไงต่อ หาสมัครงานตามที่ป๊าแกบอก...หรือเตรียมมีผัว เหมือนที่แม่แกพูด” เขมจิรา วงษ์รัก พูดในขณะที่เหลือบมองลูกค้าที่ผ่านไปมาหน้าร้าน วันนี้เพื่อนรักของเธออย่างอัจฉรามาหาเธอที่ร้านขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัดกลางคืนมีชื่อ ใจกลางมหานคร ตามปกติที่เคยมาอยู่ทุกวัน

แต่มาวันนี้มีเรื่องเล่าที่ยาวยืดและแสนอึดอัดมาระบายด้วย แม้จะรับรู้และได้ยินเรื่องราวพวกนี้มาด้วยกันตลอดแค่ไหน ก็ยังคงเข้าอกเข้าใจในสถานการณ์ที่เพื่อนรักต้องเจอและพร้อมรับฟังเสมอ

“หึย ข้อหนึ่งก็พอจะทำให้ได้นะ...แต่ข้อสอง...ไม่ไหวว่ะ ไม่มีวันแน่ๆ” แม้ใบหน้าของอัจฉราจะมุ่ยแค่ไหน แต่ความประกายในแววตาเล็กๆ ของเธอ ไม่ได้หมองหม่นตามเลยแม้สักนิด

ผู้หญิงที่มุ่งมั่นและเชื่อในความต้องการของตัวเองอย่างไม่ย่อท้ออย่างเธอ ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะมาทำลายความเป็นเธอข้อนี้ลงได้

“ทำไมวะ มีผัวรวยๆ เลี้ยงก็ดีออก ลูกชายเพื่อนพ่อแกน่าจะรวยทุกคนนะ แต่งงานไปเป็นแม่บ้านเหมือนแม่ ก็จะได้สบาย ไม่ต้องมานั่งทำงานงกๆ ให้มันเหนื่อย ฉันล่ะอยากได้ข้อเสนอแบบนี้มั่งว่ะ...เฮ้อ” เมื่อเพื่อนรักได้ระบายความทุกข์ของตัวเองไปแล้ว เขมจิราก็อยากจะระบายความทุกข์ของตัวเองบ้าง

ตามประสาคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ต่างฝ่ายต่างสามารถเล่าเรื่องราวที่แย่ที่สุดของตนให้กันและกันฟังได้ทุกเรื่อง แบบไม่ต้องห่วงอะไร

“เป็นไรวะ ของขายไม่ค่อยดีเหรอ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้อยากจะฆ่าตัวตาย” เขมจิราหัวเราะพร้อมส่ายหน้าออกมา เมื่อเห็นว่าคนที่ไม่อยากแต่งงาน เปรียบเปรยออกมาแบบนั้น

“แกก็พูดไปนั่น การแต่งงาน มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนี่หว่า”

“แล้วใครบอกว่าฉันคิดว่าการแต่งงานแย่วะ การแต่งงานเป็นเรื่องดี ฉันเองก็อยากแต่งเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้แต่งแล้วต้องมาเป็นแม่บ้าน...ดูแลบ้านงกๆ รอขอเงินผัว ผัวว่าไง ก็ต้องว่างั้น...ฉันต้องใจขาดตายแน่ๆ” เล่าไปเอามือลูบแขนไป แสดงกิริยาทำท่าขนลุกจนเจ้าของร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ถึงกับต้องหัวเราะและส่ายหน้า

“แล้วภาพการแต่งงานในแบบฉบับของแก มันเป็นแบบไหนวะ ถ้าไม่ใช่แต่งงานแล้วมาดูแลผัว แกอยากแต่งงานแล้วยังต้องทำงานเลี้ยงผัว...แบบนั้นเหรอ?” คนติดขำก็ยังคงติดขำ หากแต่คำถามนี้ กลับทำให้อัจฉราคิดตามไปด้วยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน

“เอ...ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าภาพการแต่งงานในหัวของฉันมันเป็นยังไง อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นก็ได้ละมั้ง...” เธอว่าเหมือนไม่อยากจะคิดให้ปวดหัว พอดีกับที่มีลูกค้ามาเลือกเสื้อผ้าพอดี สองสาวจึงต้องหยุดการพูดคุยเอาไว้เพียงเท่านั้น และปล่อยให้แม่ค้าได้ไปทำหน้าที่ของตัวเองก่อน

“แล้วแกจะทำยังไงวะ ไอ้เรื่องความฝันที่อยากจะบริหารกิจการของป๊าให้ก้าวหน้า...และไปไกลมากกว่าเดิม ตามที่แกฝันเอาไว้น่ะ” เมื่อลูกค้าออกจากร้านไปแล้ว พร้อมเสื้อผ้าถุงใหญ่ คนที่ไม่เคยละเลยปัญหาของเพื่อน ก็กลับมาทรุดนั่งข้างเก้าอี้ที่อัจฉรานอนเอนกายอย่างหมดแรงอยู่

“ก็คงต้องสู้ต่ออ่ะ...ก็พยายามหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเงิน เรื่องธุรกิจเพิ่มเติม เข้าสัมมนาบ้าง...แต่ยุคนี้แล้ว โลกไปไวมาก ความรู้แบบเดิมไม่พอแน่ ต้องตามให้ทันด้วย...”

น้ำเสียงที่ไม่เคยหมดหวังของอัจฉรา ทำให้เขมจิราพยักหน้าพร้อมตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ

“สู้ๆ นะ...ฉันเชื่อว่า ไม่ว่าจะยังไง แกก็จะหาวิธีทำให้มันสำเร็จจนได้ ไม่ว่ามันจะดูยากแค่ไหนก็ตาม” เจ้าของไหล่บอบบางยิ้มกว้าง เหลือบมองมือที่อยู่เคียงข้างแบบนี้มาเสมอ

ตั้งแต่ตอนที่เธอสู้กับที่บ้านด้วยการไปขอทุนเรียนบริหารธุรกิจ จนพวกท่านยอมให้เรียนในที่สุด ทั้งๆ ที่บิดาพูดกรอกหูให้เธอเรียนอะไรก็ได้ ที่จะได้เป็นข้าราชการ ได้มีงานประจำทำมั่นคงมาเสมอ

เธอไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าของธุรกิจอย่างพ่อเธอ ถึงได้อยากให้เธอไปทำในสิ่งที่คนมีงานประจำ เขาอยากจะลาออกกันอยู่ทุกวี่วัน

“ขอบใจแกมากเลยนะ ขอบใจมากจริงๆ” แล้วคนที่มีขนาดตัวเท่ากัน ก็ถูกโอบกอดแน่นเชิงขอบคุณ เขมจิราตบไหล่เพื่อนรักเป็นเชิงบอกว่า ยินดีเสมอเบาๆ

“แล้วนี่ แกจะทำยังไงไปก่อน ไปสมัครงานให้ป๊าแกสบายใจก่อน หรือจะทำยังไงดี” คนที่มีคำตอบในใจแล้ว พูดมันผ่านแววตามา ซึ่งแน่นอนว่าเขมจิราพอจะเดาได้

“ก็คงต้องแบบนั้น อาจจะไปหาสมัครงานก่อน แล้วระหว่างนี้ ก็ค่อยหาวิธี ที่จะเข้าไปฮุบกิจการป๊า...แล้วบริหารเองอย่างเต็มที่” คนติดเล่นพาเพื่อนหัวเราะได้อีกรอบใหญ่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจังอีกครั้งว่า

“และก่อนจะไปถึงตรงนั้น ฉันจะต้องหาสูตรความสำเร็จแบบกึ่งสำเร็จเอามาใช้ เพราะถ้าจะให้ไปเล่นเองเจ็บเอง จนได้สูตรของตัวเองมาได้ คงจะใช้เวลานานน่าดู” คนที่พอจะรู้เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดของเพื่อนรักมาบ้าง พยักหน้าเชิงเข้าใจ

“เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จ ที่ไม่มีสูตรสำเร็จนี่ไง...ที่กินครั้งไหน ก็เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเสมอ” ว่าพร้อมชูห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้เพื่อนรักดู ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องส่ายหน้าใส่เหมือนที่ผ่านมา

“ความสำเร็จแบบกึ่งสำเร็จหมายถึงอะไรวะ?”

“ก็หมายถึง ความสำเร็จที่มีคนลองมาก่อนแล้วไง เขาเจอมาจนสรุปออกมาได้ และต้องเป็นความสำเร็จที่ใหม่ ไม่ใช่เก่าแล้วด้วยนะ”

“อ๋อ หมายถึงความสำเร็จของคนที่เขาสำเร็จมาอยู่ก่อนแล้ว แล้วแก...จะเอาความสำเร็จของเขา มาปรุงต่อในธุรกิจของตัวเอง อย่างนั้นใช่ไหม?” แม่ค้าที่บริหารร้านของตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนอย่างเขมจิรา เข้าใจได้อย่างง่ายดาย

แม้จะไม่ได้มีฝันที่ใหญ่ แต่เธอก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และต้องหาความรู้พวกนี้เพื่ออ่านเพิ่มเติมมาเสมอ

“สมกับที่เป็นแม่ค้าที่ขายของดีที่สุดของตลาดจริงๆ เพื่อนฉัน เข้าใจอะไรง่ายดายและทะลุปรุโปร่งด้วย!”

“เอ๊ะ เดี๋ยว...เมื่อเช้าเห็นมีข่าวแชร์ในติ๊กต่อก ว่าตอนนี้คนที่รวยที่สุดในโลกไปอยู่ที่จีนแล้วนะ ชื่ออะไรนี่แหละ...แป๊บๆ เดี๋ยวค้นดูก่อน” เขมจิรารีบค้นหาอย่างกระตือรือร้น ซึ่งแน่นอนว่าคนที่สนใจข่าวอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ก็กระตือรือร้นด้วย

สมแล้วที่สองสาวเป็นเพื่อนรักนักซัพพอร์ตกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าขนาดของความฝันของทั้งสอง ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน

คนหนึ่งอยากจะมีธุรกิจขนาดใหญ่ เข้าตลาดหลักทรัพย์ ส่วนอีกคน แค่ได้มีธุรกิจเล็กๆ ที่ดูแลคนเดียวได้ ก็สบายใจและมีความสุขแล้ว

“นี่ไง...ยังหนุ่มอยู่เลยนะ ในประวัติเขาบอกว่า เริ่มจากธุรกิจที่บ้านล้มเพราะพ่อตาย ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น...ถึงขึ้นมามีสินทรัพย์อันดับหนึ่งของโลกได้...”

“โห จริงเหรอ?” อัจฉรารีบคว้ามาอ่านบ้าง แววตาเป็นประกายแห่งความชื่นชม

“ถ้าฉันได้เข้าสัมมนาของเขา หรือฟังเคล็ดลับบางอย่าง ฉันก็จะเอามาต่อยอดง่ายละ...นี่แหละความสำเร็จแบบกึ่งสำเร็จที่ฉันตามหา!”

“ขอบใจมากนะแก!” แล้วคนดีใจก็รีบขอบคุณเพื่อนรักเป็นการใหญ่ ความยิ้มจนตาปิดของเธอ บดบังความเปล่งประกายสดใส จากนัยน์ตามุ่งมั่นคู่นั้นไม่ได้เลย

เสียงฝีเท้าที่ย่ำอยู่บนลู่วิ่ง สัมพันธ์กับจังหวะการหายใจของเรือนร่างกำยำ เปลือยท่อนแขนสองข้าง ในชุดเสื้อกล้ามสีดำ กับกางเกงออกกำลังกายขาสั้น

ปลีน่องแข็งแรงของเขา รองรับร่างกายส่วนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ลงตัวกัน เหงื่อชุ่มตัวที่อาบผิวขาวเนียนละเอียด เสริมให้ร่างนี้มีเสน่ห์มากขึ้น

“สรุปผู้หญิงที่คุณชุนต้องการ เป็นไปตามนี้นะครับ” น้ำเสียงเข้มแข็ง ที่ติดไปทางหอบเล็กน้อย ของคนที่วิ่งอยู่บนลู่ข้างๆ ทำให้แววตาสงบของคนออกกำลังกายแต่เหมือนนั่งสมาธิ สีหน้าไม่ได้รู้สึกรู้สา เหมือนไม่ได้เหนื่อยแต่อย่างใด มีประกายตอบรับขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ เฉิน เฟ่ย ได้สรุปคุณสมบัติผู้หญิงที่เขาต้องการมาให้อ่านแล้ว แต่เจ้านายยังไม่ได้ตอบรับ เขาก็เลยขอย้ำเอาคำตอบอีก

“อืม” เขาตอบรับง่ายๆ นึกไปถึงคุณสมบัติผู้หญิงที่ตัวเองต้องการ เชิงวาดภาพให้ชัดมากขึ้น

“ขอสรุปให้ฟังอีกครั้งนะครับว่า...เป็นสาวไทย ทำงานบ้านเก่ง ทำอาหารอร่อย หน้าตาใช้ได้ เรียบร้อย อยู่ในโอวาท และมีคุณสมบัติตรงตามคำถาม 10 ข้อ ที่คุณชุนได้คิดขึ้น ถูกต้องนะครับ”

อันที่จริงคุณสมบัติผิวเผินนั่น เขาไม่ได้คิดเองหรอก แต่เป็นการดูสถิติว่าผู้ชายส่วนใหญ่ อยากอยู่กับผู้หญิงประเภทไหนที่สุด

ก็แน่ล่ะ เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการคบหาผู้หญิงนี่ เขาจะรู้ได้ยังไง...ว่าผู้หญิงแบบไหนที่เขาควรจะมาเอาเป็นภรรยา

แต่คำถาม 10 ข้อ ที่เขาเป็นคนคิดขึ้นต่างหากล่ะ ที่พอจะวัดอะไรได้ ส่วนที่เขาเลือกผู้หญิงไทย เพราะมารดาเขาเป็นคนไทย

ใช่ การได้พูดคุยหรือพบเห็นสาวไทย มันทำให้เขาเหมือนได้อยู่ใกล้มารดาที่เสียชีวิตไป พร้อมๆ กับบิดาเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนั่นแหละ

“อืม” เขายืนยันด้วยน้ำเสียงทุ้มในลำคออีกครั้ง ในขณะที่กดเพิ่มความเร็วของลู่วิ่งไปด้วย จนเฉิน เฟ่ย อยากจะหายใจหอบแทน

“แล้วเรื่องเชิญไปให้แรงบันดาลใจนักธุรกิจรุ่นใหม่ล่ะครับ คุณตัดสินใจว่ายังไง?”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel