บทที่ 4 ว่าที่สามี (2)
วางสายแล้วก็นอนแผ่หลา...สำหรับเธอแล้ว การที่ต้องหมั้นหมายกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก เธอรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด เพื่อเป็นการต่อต้านให้พ่อเห็นว่าเธอนั้นก็มีความรู้สึก มีหัวใจ ฉะนั้น...เธอคงต้องเด็ดขาดให้มากกว่านี้
ที่ใต้เตียงมีบางอย่างที่ซ่อนไว้...มันคือผ้าที่มัดต่อกันจนยาว ใช้สำหรับปีนลงทางหน้าต่างหนีพ่อไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ บางทีคืนนี้เธออาจจะต้องใช้ประโยชน์จากมันอีกครั้ง
เธอเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเป้ แล้วนั่งจุมปุกอยู่อย่างกระวนกระวายใจ ชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีรถของใครแล่นออกนอกรั้วไปสักที...หมายความว่ารัตติยังคงคุยกับพ่อที่ห้องรับแขกอยู่สินะ
ท้องฟ้ามีสีดำปกคลุมโดยทั่ว บรรยากาศเยือกเย็น แต่ในใจของเธอกลับร้อนรุ่ม
เธอตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะหนีจากบ้านหลังนี้ไปหาที่อยู่ที่อื่น โดยจะขอรับคำปรึกษาจากมานัต
ที่เธอหนีออกจากบ้านครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าจะทำตัวเป็นเด็กที่ดื้อรั้น เธอจะยังคงทำงานที่ รตีโทมิสัน ต่อไป เพียงแต่อยู่ที่อื่นด้วยลำแข้งของตัวเอง เพราะยังไงซะเธอก็มีเงินเดือนอยู่แล้ว ถึงจะได้แค่หมื่นสองก็เถอะ
เผื่อพ่อจะเข้าใจเธอแล้วเลิกบังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่ชอบนี่เสียที
และแน่นอนว่าสิ่งที่เธอไม่ชอบก็คือ รัตติ ผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง
เวลาล่วงผ่านจนสี่ทุ่มครึ่ง เธอยิ่งกระวนกระวายหนักขึ้น เดินไปเดินมาในห้อง กัดเล็บครุ่นคิด ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง ดึงผ้าม่านที่มัดติดกันจนยาวซึ่งซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา จัดการมัดที่ขอบหน้าต่างแล้วโรยผ้าลงไปอย่างรวดเร็ว
ชะโงกหน้าฝ่าความมืดลงไป...สูงเหมือนกันนะ แต่เอาเถอะน่า เพื่อนคงจอดรถรออยู่หน้ารั้วแล้ว เธอต้องรีบไปให้เร็วที่สุด
รีบหย่อนตัวลงไป แม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่มือก็จับผ้าแน่น อย่าตกลงไปเชียว...ความสูงขนาดนี้อาจทำให้แขนขาหักได้เลยทีเดียว
ขณะตั้งสมาธิแน่วแน่อยู่นั้นเอง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดวงไฟสุกสว่างลอยอ้อยอิ่งอยู่บนน่านฟ้า
“ว้าย ! ผีหลอก” หญิงสาวอุทาน ปล่อยมือจากผ้าทันควัน
“กรี๊ด ! ”
ร่างเธอแหวกอากาศละลิ่วลงสู่เบื้องล่าง แย่แล้ว อีกนิดเดียวต้องกระแทกพื้นแน่ๆ !
เธอหลับตาปี๋ กำมือแน่น แต่ทว่า...เธอไม่ได้หล่นลงพื้นแข็งๆ แต่ตกลงไปในอ้อนแขนของเขาใครบางคน
มาริสาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงจากจันทราที่ส่องลงมาทำให้เธอเห็นเสี้ยวหน้าคมรำไร...หนุ่มลูกครึ่งหล่อจนแทบจะสะกดทุกคนที่เผลอสบตาได้
เขาสวมชุดสีดำสนิท ผมสีน้ำตาลปลายอมส้มแดง และดวงตาคมกล้าที่เหมือนมีพลังอำนาจลึกลับคู่นั้น...เป็นสีแดงอ่อนๆ
“อะ...” มาริสาสั่นไปทั้งตัว พูดไม่ออก
“คิดจะหนีไปไหนอย่างนั้นรึ เจ้าสาวของผม”
“จะ จะ จะ เจ้าสาว....” เธอยิ่งสั่นหนักเข้าไปอีก
“กลัวอะไรผมอย่างนั้นหรือ ผมเพิ่งกลับจากอเมริกา เลยหิ้วของฝากมาเยี่ยมว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้วคุยกันเพลินไปหน่อย ว่าจะกลับล่ะ พอดีเห็นสาวแก่นแก้วกำลังปีนหน้าต่างลงมาพอดี”
“คะ คะ คะ คุณน่ะเหรอเจ้าบ่าวของฉัน” หญิงสาวสั่นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ใช่”
“เป็นไปไม่ได้ เราจะแต่งงานกันได้ยังไง ในเมื่อคุณไม่ใช่คน ! ”
ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะคลี่ยิ้มที่มุมปาก “ถ้าไม่ใช่คน แล้วจะอุ้มคุณอย่างนี้ได้เหรอ”
“ ! ” เธอเบิกตากว้าง ในขณะที่ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงจนปลายจมูกโด่งห่างจากหน้าเธอเพียงคืบ “ถ้าไม่ใช่คน ผมคงกอดคุณแนบอกไม่ได้”
“นี่เรียกว่ากอดเหรอ เรียกว่าอุบัติเหตุต่างหากล่ะอีตาบ้า” มาริสาแหวแว้ด ทว่าเขายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เสมือนไร้ความรู้สึก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่วิบวับราวกับสนุกนักที่ได้ยั่วเย้าต่อมโมโหของเธอ
“และถ้าไม่ใช่คน ผมก็คงจะ...จูบคุณอย่างนี้ไม่ได้แน่”
พูดขาดคำ เขาก็จูบปากเธอที่กำลังเผยอเตรียมโต้เถียงทันที จูบที่ทำเอาเธอหูอื้อตาลาย หน้าชา สมองชา และที่ร้ายกว่านั้น...หัวใจเธอโลดแล่นเต้นโครมครามราวจะปะทุออกมานอกอก