บทที่ 4 ว่าที่สามี (1)
บทที่ 4
ว่าที่สามี
มาริสามีความอดทนสูงมาก นั่นเป็นเพราะคำว่า ‘พ่อจะให้ทุกอย่างที่หนูเม่นต้องการ’ เธอถึงได้มีสปิริตในการอดทนมากกว่าปกติ เธอทนทำงานที่บริษัทรตีโทมิสัน เป็นเวลากว่าสี่วันแล้ว
ทุกวันต้องโดนสายหยุดหาเรื่อง เพื่อนร่วมงานผู้หญิงก็ไม่มีใครเกลียดชังเธอหรอก แต่ดูเหมือนจะไม่กล้ามีปัญหากับสายหยุด เลยทำได้แค่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ทำเป็นมองไม่เห็น
จากคุณหนูผู้เลอเลิศ ต้องกลายมาเป็นพนักงานต๊อกต๋อย โดนใช้ให้ตากแดดไปซื้อข้าวเลี้ยงเพื่อนร่วมงาน
ช่างเป็นประสบการณ์ที่บัดซบที่สุดในความคิดของเธอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...เพื่อสิ่งที่อยากได้ แม้จะต้องกลายเป็นซินเดอเรลล่าให้คนใจร้ายกลั่นแกล้งก็ไม่เป็นไร รอให้ครบหนึ่งเดือนก่อนเถอะ....เธอค่อยเอาคืนให้สาสม !
ทว่าความซวยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เธอได้ข่าวจากบิดาว่าว่าที่คู่หมั้นของเธอเดินทางกลับถึงเมืองไทยตั้งแต่เช้าแล้ว และตอนเย็นจะมาเที่ยวหา
จะบ้าหรือไง...เธอไม่มีทางยอมไปเจอหน้าอีตานั่นแน่ๆ
มาริสาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องนอน อ้างว่าไม่สบาย
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอกระโดดผึงขึ้นเตียง นอนคลุมโปง
“ขะ เข้ามาเลยค่า” เอ่ยอนุญาตด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ชาลินีเปิดประตูเดินเข้ามา ยกหลังมือวัดอุณหภูมิที่หน้าผากลูกสาว
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”
“หนูเม่นไม่สบายจริงๆ นะคะ” ตบท้ายด้วยการไอโขลก เล่นเอาผู้เป็นแม่ถึงกับเท้าสะเอวฉับเลยทีเดียว
“นี่พอเลยนะหนูเม่น หนูอาจจะตบตาพ่อได้ แต่หลอกแม่ไม่ได้หรอกนะ”
“ละ ละ หลอกอะไรกันคะ” เธอยังคงยืนกระต่ายขาเดียว
“หลอกว่าป่วยไง”
“หนูเม่น...เอ่อ คือ” เธออึกอัก
“ไม่อยากเจอคุณรัตติขนาดนั้นเชียวเหรอ ถึงกับโกหกพ่อ พ่อเขาเป็นห่วงหนูมากนะ” ชาลินีเสียงอ่อนลงนิดหน่อย
“ก็ไม่อยากเจอน่ะสิคะ” เมื่อแผนการพังทลายแล้ว เธอก็เด้งกายลุกนั่ง หน้างอ “นี่มันยุคสมัยไหนแล้วคะ ยังจะมีคลุมถุงชนกันอีก”
“พ่อเขาแค่อยากให้หนูเม่นได้รู้จักผู้ชายดีๆ ”
“คนที่ชื่อรัตติอะไรนั่นน่ะ ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งหลายปี คุณพ่อเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเขาเป็นคนดี”
“ก็ถึงให้หนูเม่นศึกษาดูใจกันไปก่อนไง ถ้าใช่ก็เยส ถ้าไม่ใช่ค่อยปฏิเสธทีหลังก็ได้นี่”
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าหวือ “ยังไงวิธีนี้ของคุณพ่อ หนูก็ไม่เห็นด้วย ขอร้องล่ะค่ะ แค่เห็นผีได้ หนูก็หาความสงบสุขที่แท้จริงไม่เจอแล้ว อย่าให้หนูต้องเจอเรื่องหนักใจไปมากกว่านี้เลย”
แววตาหญิงวัยกลางคนสลดลงเล็กน้อย ก่อนทิ้งก้นลงนั่งตรงขอบเตียง จับมือลูกสาวมาบีบเบาๆ
“แม่เคยหูดี ได้ยินความในใจของทุกคน มันทำให้แม่เป็นทุกข์มากเลยล่ะ รู้ไหมหนูเม่น”
“แล้วเมื่อไหร่คำสาปที่ว่านี้จะหมดลงไปสักทีคะแม่”
“ก็จนกว่าหนูเม่นจะรักใครสักคนอย่างจริงใจนั่นแหละ ความรักช่วยเยียวยาทุกสิ่งได้ แม่เชื่ออย่างนั้น”
“คุณแม่เจอรักที่แท้จริง หนูก็ดีใจด้วย คุณพ่อรักและให้เกียรติเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี แต่คุณแม่คะ ใช่ว่าทุกคนจะได้เจอรักแท้ง่ายๆ อย่างนั้น การที่คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ได้มารู้จักและใช้ชีวิตร่วมกันได้จนแก่เฒ่า มันยากนะคะคุณแม่”
“แม่เข้าใจ” ชาลินีถอนหายใจยาว “แต่เอาเถอะ ชีวิตเป็นของหนูเม่น ครั้งนี้แม่จะปิดตาทำเป็นไม่รู้ล่ะกันว่าหนูแกล้งป่วย”
“ขอบคุณค่ะ” โผโอบกอดผู้เป็นแม่ แม่จูบหน้าผากเธอเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่ออยู่ลำพังคนเดียว เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็กรีดสนั่น เธอรีบรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงมาร์ค”
/พอดีฉันอยากจะเลี้ยงขอบคุณเธอสักหน่อยน่ะ ที่เธอทำให้งานของฉันก้าวหน้าไปได้เยอะเลย ในส่วนของคดีต่างๆ/
“โอ๊ย ไม่เห็นต้องคิดให้มากความ”
/ไม่อยากกินของฟรีเหรอ/
“อยากสิยะ แต่ตอนนี้ฉันมีแขก”
/ไม่เป็นไร งั้นไว้วันหน้า.../ พูดไม่ทันจบ หญิงสาวก็ชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน
“แต่ฉันอยากเจอนายวันนี้เลยนะ มีเรื่องอยากปรึกษานายด้วย”
/แล้วจะเอายังไง/
“สักสี่ทุ่ม มารอรับฉันที่หน้าบ้านด้วย”
/จะแอบไป ไม่ให้พ่อแม่รู้อีกแล้วใช่ไหม/
“เงียบเถอะน่า”
/ถ้าเป็นปกติ ฉันคงคัดค้าน แต่นี่เห็นว่าเธอไปกับฉันหรอกนะ ฉันน่ะไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็น/
“จ้าพ่อคนดี”
/ฉันไม่ได้เป็นคนดี แค่ไม่เคยเห็นเธอเป็นผู้หญิงก็เท่านั้น/
“ว่าไงนะ” เธอเริ่มควันออกหู “แหกตาดูบ้างสิ ฉันออกจะสวยปานนี้ เห็นฉันเป็นเด็กผู้ชายหรือไง”
ผู้กองหนุ่มหัวเราะครืน /หมายถึงเห็นเป็นเพื่อน ไม่เคยมองเป็นอย่างอื่นไง งั้นไว้เจอกันนะเพื่อน/
“โอเค”