บทย่อ
มาริสามีความสามารถพิเศษในการมองเห็นวิญญาณ และความสามารถนี้จะหายไปเมื่อมีความรักเธอเป็นคุณหนูสุดเปรี้ยวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนยอมอยู่กับเธอไปตลอดชีวิตได้ จนกระทั่ง...ได้เจอกับเขา‘รัตติ’ ผู้ชายตัวสูง ดวงตาสีแดง ผิวขาวจัดที่ตามติดเธออยู่ตลอดเวลา ทำทุกวิถีทางเพื่อครองหัวใจเธอให้ได้แต่ความรักของเธอและเขาจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น...แวมไพร์ !*********************“พูดบ้าๆ อย่ามาตู่ว่าฉันเป็นแฟนคุณนะ ฉันไม่หน้ามืดคว้าผีดิบอย่างคุณมาเป็นแฟนหรอก” พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ รีบเอามือปิดปากตัวเองพลางเหลือบตามองเขา...เขายังคงครองสติได้ดีเยี่ยม นิ่งงัน ไม่ว่ากล่าว แต่ไอ้ท่านิ่งๆ ของเขานี่แหละที่ทำเธอขนลุกคนอะไร ส่งรัศมีพิฆาตใส่เธอได้โดยไม่ต้องออกแรง“ได้ยินจากคุณพ่อว่าคุณมีสัมผัสที่หก มองเห็นวิญญาณได้ จะเป็นไรไปหากได้แวมไพร์ไปเป็นสามี ชีวิตคุณจะได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”เธอแทบจะตาถลนออกนอกเบ้า“พูดบ้าๆ ฉันอยากใช้ชีวิตแบบผู้หญิงปกติธรรมด๊าธรรมดา ที่แสนสวย แสนน่ารัก ไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคอ แถมห่วงที่ว่ายังเป็นผู้ชายดวงตาสีแดงพิลึกกึกกืออย่างคุณอีก”รัตติกระตุกยิ้มที่มุมปาก เอียงหน้ากระซิบบอกอย่างมีลับลมคมใน“ผู้ชายธรรมดาจะไปเร้าใจเท่ากับคนที่แข็งแกร่งในเวลากลางคืนได้อย่างไร ทุกครั้งก่อนคุณนอน ผมจะกล่อมคุณบนเตียง รับรองฝันดีทุกคืน แนะว่าต้องซื้อเตียงมาสำรองไว้บ้าง เพราะถ้าคุณนอนกับผม ไม่ทันถึงอาทิตย์ ขาเตียงคงหัก...เพราะเวลากล่อมคุณ ผมอาจไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่”
บทที่ 1 เนื้อคู่ดวงตาสีแดง !? (1)
บทที่ 1
เนื้อคู่ดวงตาสีแดง !?
“เอ้า ดื่มอีกสิ” พนิดาส่งแก้วเหล้าให้มาริสาที่กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะดนตรีโจ๊ะๆ ฝ่ายนั้นยิ้ม รับมาดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะส่งแก้วคืนให้
พนิดาวางแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะลุกสะบัดเอว ส่ายก้น ไปกับเพื่อนสาว แสงไฟหลากสีส่องกระพริบวับแวม ผีเสื้อราตรีไม่มีใครยอมใคร วาดลวดลายด้วยความคึกคะนอง
มาริสาสวมชุดสายเดี่ยวสีชมพูอวดเนินอก เอวลอยโชว์หน้าท้องแบนราบ สะโพกผายงามซ่อนอยู่ในกระโปรงรัดรูปสั้นเหนือเข่า มีหนุ่มๆ หลายคนขยับมาเต้นใกล้ๆ เธอ สายตาแต่ละคนมองด้วยความหมายลึกซึ้ง อยากจะจ้วงกินตับแม่สาวนักเที่ยว ส่วนเธอนั้นดูจะไม่สนใจใครเลย นอกจากปลดปล่อยอารมณ์ไปกับจังหวะดนตรี
ทันใดนั้นเอง สายตาก็ไปปะทะเข้ากับผู้หญิงผมยาว ผิวขาวซีด ใส่เสื้อเกาะอก กางเกงขาสั้นเพียงคืบ กำลังเต้นอยู่ในกลุ่มมวลชน
เธอเขม้นมอง สาวคนนั้นเหมือนจะรู้ตัวถึงได้หันมาทางเธอ ในตอนนั้นเองที่เธอตกใจ เพราะใบหน้าที่หันมานั้นขาวเหมือนกระดาษ ไม่มีตาขาว มีแต่ตาดำ
ขนาดเข้าผับก็ยังเจอวิญญาณอีก ชีวิตเธอนี่หนีไม่พ้นเรื่องพรรค์นี้เลยจริงๆ !
ตั้งแต่เริ่มจำความได้ เธอก็เห็นวิญญาณ เมื่อก่อนเธอยังเด็กทำให้แยกแยะไม่ออกว่าคนไหนผี คนไหนเป็นคน พอโตขึ้นก็เริ่มรู้ เริ่มชิน และเริ่มไม่รู้สึกอะไร อาจมีบ้างที่ใจหาย ตกใจ แต่ไม่กลัว
ดวงจิตที่เกิดจากพลังงานรวมตัวกันไม่สามารถทำอันตรายมนุษย์ได้หรอก มนุษย์ด้วยกันต่างหากล่ะที่ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น
“เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอบอกพนิดา ก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องน้ำ ทำธุระเสร็จก็ล้างมือหน้ากระจกบานใหญ่ พลันนั้นเองที่รู้สึกมีคนเดินมาข้างหลัง เธอเหลือบตามองกระจก...ว่างเปล่า มีเพียงเธออยู่คนเดียวเท่านั้น พอก้มลงล้างมืออีก ก็เหมือนมีคนขยับตัวด้านหลัง ครั้นมองกระจกก็ไม่เห็นมีใคร
เธอถอนหายใจยาว หันหลังกลับไป แล้วก็พบสาวชุดเกาะอก กางเกงขาสั้นยืนอยู่
“เธอเห็นฉันใช่ไหม” สาวปริศนาถาม
“เห็นแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดซะที”
“ยังไม่มีใครรู้เลยว่าฉันตายแล้ว ศพฉันฝังอยู่ในพงหญ้าหลังผับนี่แหละ ลูกชายเจ้าของผับหึงหวง แทงฉันตายแล้วฝังไว้ ตรงนั้นดินจะนูนสูงกว่าบริเวณอื่น ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ”
“อีกแล้วเหรอ ให้ฉันช่วยอีกแล้วงั้นเหรอ” เธอถอนหายใจพรืด
“น่านะ แล้วจะบอกหวยให้”
“ฉันมีเงินอยู่แล้ว ไม่ซื้อหรอกหวยน่ะ”
“งั้นถือว่าเห็นแก่เพื่อนร่วมโลกตาดำๆ คนนี้เถอะนะ” กระพริบตาปิ๊งๆ ส่งให้ เออ...ก็มีแต่ตาดำจริงๆ นั่นแหละ
“ผีอยู่ส่วนผี คนอยู่ส่วนคน อันที่จริงฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องพรรค์นี้เลย”
“ถ้าช่วยฉัน ฉันจะดูดวงให้”
“จะบ้าเรอะ” เธอแหกปาก “มีผีที่ไหนดูดวงบ้าง”
“ก่อนตายฉันดูดวงแม่นนะบอกเลย”
“โอ๊ย ! พอๆ ฉันช่วยก็ได้ แค่นี้ก็จบแล้วใช่ป่ะ”
“เย้ ขอบคุณนะ” วิญญาณสาวฉีกยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็น่าสยดสยองมากกว่าจะน่ารัก มาริสารีบเบือนหน้าหนีไปเจอสาวสองคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ แถมยังกระซิบคุยกันอีก
“น่าสงสารเนอะ สติไม่ดี”
“นั่นดิ เห็นยืนคุยคนเดียวมาพักหนึ่งแล้ว”
มาริสาหน้าแดงก่ำ จ้ำเดินออกจากห้องน้ำทันที ก่อนจะออกจากผับ หาที่ที่เสียงดนตรีไม่ดังมาก แล้วกดโทรออกหาเพื่อนชาย
/ฮัลโหล สวัสดีครับ/
“มาร์ค นี่ฉันเองนะ”
/เออ เห็นชื่อที่เซฟไว้ก็รู้แล้วว่าเป็นเธอ โทรมามีอะไรอีกล่ะ ดึกป่านนี้แล้ว อ้อ...แต่สำหรับเธอคงไม่ดึกสินะ คงลันล้าอยู่ผับหรือที่ไหนสักแห่ง ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ/
“ใช่ เวลานี้เป็นเวลาเที่ยว ไม่ใช่เวลานอนของฉันหรอก พรุ่งนี้มาตรวจสอบที่พงหญ้าหลังร้านด้วยนะ” เธอบอกชื่อสถานเริงรมย์ไป “ดินจะนูนๆ หน่อย ตรงนั้นแหละมีศพฝังอยู่”
/หา/ มานัตตาสว่าง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง /อีกแล้วเหรอ/
“ใช่ อีกแล้ว คนตายเป็นผู้หญิงผมยาว ลูกชายเจ้าของผับเป็นคนแทงแล้วฝังเพราะหึงหวง ถ้ายังไงก็มาตรวจสอบแล้วอย่าบอกใครล่ะว่ารู้มาจากฉัน”
/เออ รู้แล้วน่า/
“ขอบคุณจ้าผู้กองสุดหล่อ”
/พูดแบบนี้ค่อยน่าชื่นใจหน่อย/
“ฉันแค่ยอ”
/แค่ยอก็ดีใจแล้ว/ ผู้กองหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเงียบเสียงสักพักแล้วพูดขรึมๆ /เมื่อไหร่เธอจะเลิกมีดวงตาเห็นผีได้เสียที/
“ไม่ดีเหรอไง ฉันช่วยคดียากๆ ของนายมาเยอะแล้วนะ”
/ก็รู้ แต่ฉันอยากให้เธอเป็นผู้หญิงธรรมดามากกว่า ฉันรู้ว่าเธอเองก็ไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่หรอกที่มีความสามารถบ้าๆ แบบนี้น่ะ/
มาริสานิ่งไปพักหนึ่ง
“นายนอนต่อเถอะ ฉันจะเข้าไปเต้นต่อ ป่านนี้ดาคงรอแย่แล้ว”
/เที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ยังไงก็ระวังด้วยนะหนูเม่น ถึงเธอจะมีผีเป็นพรรคพวก แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง/
“จ้าคุณพ่อ รับทราบแล้วค่ะ แค่นี้แหละ” เธอกดตัดสาย ก่อนจะเดินกลับเข้าสถานบันเทิงด้วยอาการครุ่นคิด
คำสาปนี้มีมารุ่นต่อรุ่น จะเกิดเฉพาะลูกสาวในตระกูลเท่านั้น
แม่ของเธอมีความพิเศษอยู่ที่หู สามารถได้ยินความในใจของคนอื่นได้
ส่วนเธอมองเห็นวิญญาณ
ความสามารถนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อมีความรัก !
แต่ชาตินี้เธอคงไม่มีวันมีความรักกับใครเขาหรอก ผู้ชายคนไหนจะมารักผู้หญิงประหลาดอย่างเธอ ทั้งชีวิตมีเพื่อนแค่ 2 คนที่ยอมคบหาด้วย คือมานัต ตำรวจหนุ่มหน้าตาดีแต่ขี้บ่น กับเพชรวดี สาวห้าวลุยๆ ไม่ค่อยแต่งหน้า แถมยังเป็นคนดีอยู่ในกรอบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะคบกับคนที่ขยันออกนอกลู่นอกทางอย่างเธอได้
อุตส่าห์มาเที่ยวเพื่อผ่อนคลาย ยังจะมาเจอวิญญาณหมอดูนั่นอีก โอ๊ย ! เครียดชะมัด
เธอกลับไปที่โต๊ะแล้วนั่งดื่มแอลกอฮอล์ หูแว่วได้ยินเสียงกระซิบ...ขนาดดนตรีดังมากๆ เสียงนั้นยังดังเข้ามาในสมองเธออย่างชัดเจน
“ขอบคุณนะ เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะบอกให้ว่าอีกไม่นานเธอจะเจอเนื้อคู่...สามีของเธอถูกโฉลกกับสีแดง เพราะเขามีเส้นผมออกแดง ตาสีแดง และชอบดื่มเครื่องดื่มที่เป็นสีแดง”
มาริสาตวัดสายตาไปมองทางซ้ายมือ เห็นวิญญาณตนนั้นยิ้มหวานให้อยู่ เธอยู่หน้าใส่
หึ...งี่เง่าชะมัด เธอไม่สนหรอกเนื้อคู่ แถมเป็นคำทำนายที่ออกมาจากปากผีอีก ใครเชื่อก็บ้าเต็มที่
หญิงสาวเรียกพนักงานเสิร์ฟ ขอเหล้าเพิ่ม หูแว่วได้ยินคำเตือน
“อย่าไว้ใจเพื่อนของเธอมากนักนะ”
เธอตวัดสายตาไปมองอีกครั้ง อ้าปากพะงาบๆ เป็นใจความว่า “อย่า ยุ่ง กับ ฉัน”
“เป็นอะไรหรือเปล่า เธอดื่มเยอะจัง” พนิดาเลิกเต้น ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
พนิดาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาได้ 1 เดือนแล้ว เจอกันครั้งแรกที่ร้านอาหาร คุยกันถูกคอเลยนัดเที่ยวด้วยกันเรื่อย แน่นอนว่าพนิดายังไม่รู้ความสามารถพิเศษของเธอ ถ้ารู้ก็คงเลิกคบเธอเหมือนคนอื่นๆ ไปแล้ว
“อยากดื่มเยอะๆ น่ะ รู้สึกเครียดๆ ชอบกล”
“เธอก็ดื่มเยอะไปแล้วนะ”
มาริสาฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พูดอ้อแอ้ “เวลาเมามันไม่ต้องคิดมากอะไรดีไง ฉันเลยอยากเมาทุกวัน”
ช่วงนั้นเองที่พนิดาแอบหยิบซองเล็กๆ ซึ่งบรรจุยาผงสีขาวออกจากกระเป๋ากระโปรง คลี่ถุงแล้วเทยาลงไปในแก้วเหล้าอย่างรวดเร็ว
มาริสาเงยหน้าขึ้น พนิดารีบเก็บซองยาอย่างรวดเร็ว แล้วส่งแก้วเหล้าให้
“ฉันยอมให้เธอดื่มเป็นแก้วสุดท้ายเท่านั้นนะ แล้วจะพาไปส่งที่บ้าน”
มาริสารับแก้วมาดื่มรวดเดียว ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พูดอ้อแอ้
“ทำไมฉันถึงใช้ชีวิตเป็นปกติไม่ได้ ทำไมต้องมาเจอคำสาปบ้าๆ ด้วย”
พนิดาไม่รู้หรอกว่าเพื่อนเพ้อถึงอะไร เธอพอใจที่เห็นสภาพมาริสาเป็นเช่นนั้น รออีกไม่ถึงสามนาที มาริสาก็เงยหน้าบอกเธอด้วยสภาพกระปลกกระเปลี้ย
“ฉันร้อนจัง อยากอาบน้ำ พาฉันกลับบ้านหน่อยนะ”
“ได้สิ” พนิดารีบพยุงร่างบางที่ตัวอ่อนเดินขาขวิดออกจากผับ ก่อนจะโทรหาใครสักคน แล้วก็ยืนรออยู่อย่างนั้น
ไม่นานนัก รถเก๋งสีขาวก็แล่นมาจอด
“เธอกลับไปกับเขานะ ฉันจะเต้นต่อ”
“หือ...จะให้ฉันกลับกับครายยย ไม่อาววว เธอนั่นแหละไปส่งฉันหน่อย”
“เอาน่า ไปกับเขาเถอะ” พนิดารีบเปิดประตูทางตอนหลัง แล้วผลักเพื่อนเข้าไปในรถ ก่อนจะปิดประตูทันที
มาริสากระพริบตาถี่ด้วยความมึนงงและพร่าเบลอ เธอเวียนหัวอย่างหนัก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว รถคันที่เธอนั่งได้แล่นออกจากบริเวณสถานเริงรมย์ราวธนูออกจากแหล่ง เธอพยายามเพ่งมองคนขับ...เขาเป็นผู้ชาย สวมหมวกแก๊บ เห็นหน้าไม่ชัด
“บ้านฉันอยู่ไหน คุณรู้ใช่ม้ายยย” ถามด้วยเสียงที่ยานคางแปลกๆ
“รู้สิครับ”
“งั้นขับให้เร็วกว่านี้หน่อยน๊า” ร่างบางเอนลงนอนตะแคงที่เบาะ ทำไมนะ...ทำไมเธอถึงร้อนไปหมดอย่างนี้ อยากโดนกอด...อยากให้ผู้ชายสักคนมากอดเหลือเกิน
เธอยันตัวลุกนั่งอีกครั้ง มองไปรอบๆ แถวนี้ไม่มีรถเลย เธออยู่ที่ไหนกัน
“ที่นี่ไม่น่าจะใช่ทางไปบ้านฉันน๊า คุณรู้ทางไปบ้านฉันแน่เร้อออ” แม้จะพยายามบังคับเสียงให้ปกติ แต่มันก็ไม่ปกติอยู่ดี...
“ผมซื้อคุณมาแล้ว ด้วยเงินพันห้า เราจะไปสนุกกันที่โรงแรม แล้วถึงจะไปส่งคุณที่บ้านนะ”
ดวงตาคู่โตเบิกโพลง “ซื้อฉัน ? พันห้า ? ”
“ใช่”
“คนสวยๆ แถมยังซิงอย่างฉันเนี่ยนะค่าตัวพันห้า ไอ้บ้า ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้” ตอนนี้เธอรู้สึกว่าสติยังพอเหลืออยู่บ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้ตายสิ...ทรมานชะมัด แต่ที่แน่ๆ เธอต้องพยายามหนี “จอดเดี๋ยวนี้นะ”
“ปล่อยให้โง่ เธอน่ะสวยถูกใจเลยรู้ไหม”
“อะ ไอ้บ้า ปล่อยฉันลง” เธอพุ่งไปเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไปทันที ทั้งที่รถยังวิ่งอยู่ เธอรู้ดีว่านี่เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นมาก แต่เธอยอมเสี่ยงตายดีกว่าโดนใครก็ไม่รู้ข่มขืน
ร่างบางกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นลูกรัง หัวหมุนติ้ว ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะวูบดับไป
ประวิตรรีบจอดรถลงมาดูด้วยความหัวเสีย
“บ้าเอ้ย จะตายหรือเปล่าวะ” ยังไม่ทันจะจับโดนผิวเนื้อของคนที่แน่นิ่งไป เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างโฉบมาด้านหลัง
ด้วยความตระหนกรีบหันไปมอง ก่อนจะขนลุกซู่...บุรุษร่างสูงเพรียวในชุดสีดำสนิท เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ผมสีน้ำตาลอมส้มเหลือบแดง แสงจันทราส่องกระทบดวงตาสีแดงเพลิง
“เฮ้ย ! ” ถอยกรูด เริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “กะ แก...ผีหรือคนวะ”
ผู้นั้นไม่ตอบ กลับแยกเขี้ยวยาวคมวับให้เห็น วินาทีนั้นเองที่เขารีบวิ่งไปที่รถหมายจะหนี แต่ไม่ทันเสียแล้ว...มือแข็งปานคีมเหล็กกระชากเสื้อเขาจากทางด้านหลัง
“ปะ ปล่อย ปล่อยฉันนะ”
ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความเมตตา คมเขี้ยวสองเขี้ยวฝังไปที่แอ่งชีพจร พลันนั้นตัวของประวิตรเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ดวงตาเหลือกค้าง ไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดจากลำคออีก ก่อนจะค่อยๆ ทรุดฮวบลงกองที่พื้น แน่นิ่งไป
ชายหนุ่มหันมองไปทางมาริสาซึ่งยังคงไร้สติ ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดตรงมุมปาก แล้วเดินตรงไปหาหญิงสาว คุกเข่าลงพินิจวงหน้างามตลอดจนเรือนร่างอวบอัดนั้น ก่อนที่วงแขนแข็งแกร่งจะโอบรัดเธอขึ้นอุ้มแนบอก จากนั้นก็พาเธอเดินหายไปในความมืด