บทที่ 3 ข่าวร้าย VS ข่าวดี (2)
“ฮ๊ะ !! ” นี่เป็นข่าวร้ายกว่าเรื่องงานเป็นไหนๆ “อะไรนะพ่อ”
“ก็ลูกทั้งหยิ่งทั้งเชิด เจ้าอารมณ์ ขี้วีน ใครจะอยากได้ไปเป็นเจ้าสาว พ่อกลัวลูกขึ้นคานถึงต้องจัดการเรื่องนี้ให้ ว่าที่สามีของลูกชื่อรัตติ เขาไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เล็ก เพิ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน”
“โอ๊ย หนูไม่เอา” เธอขยี้ผมจนยุ่งเหยิง
“อย่าขัดใจพ่อ”
เสียงเยียบเย็นนั้นทำให้เธอหุบปากโดยอัตโนมัติ ได้แต่เก็บงำความขุ่นเคืองไว้ในใจ หึ...ว่าที่สามีงั้นเหรอ เธอนี่แหละจะทำให้ผู้ชายที่ชื่อรัตติหนีกระเจิดกระเจิงกลับเมืองนอกแทบไม่ทันเลยล่ะ !
3 วันหลังจากนั้น มาริสาก็ต้องระเห็จตัวเองไปทำงานที่บริษัท ‘รตีโทมิสัน’ ซึ่งเป็นการรวมชื่อของสามีภรรยาผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา...คุณรติกาญจน์ หญิงสาวชาวไทยที่จับผลัดจับผลูได้แต่งงานกับโทมิสันหนุ่มชาวตะวันตก
ทั้งคู่แต่งงานกันมานับสิบปีกว่าจะมีบุตร ทว่าเคราะห์ร้าย...ลูกชายอายุได้ไม่กี่ปี คุณรติกาญจน์ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
โทมิสันเลี้ยงลูกน้อยตามลำพังจนเติบใหญ่ เขาไม่ยอมแต่งงานใหม่ ทุ่มเทเวลาทุกวินาทีให้ลูกและงานจนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเป็นเศรษฐีติดอันดับ 1 ใน 20 ของประเทศไทย
เขาส่ง ‘รัตติ’ ไปเรียนที่เมืองนอกตั้งแต่อายุ 14 ปัจจุบันอายุได้ 35 ปีแล้ว
แน่นอนว่ามาริสาไม่ได้อยากจะสนใจชีวประวัติของว่าที่เจ้านายคนใหม่ที่ผู้เป็นพ่อกรอกใส่หูเพื่อให้เธอรู้ข้อมูลพื้นฐาน ไม่อยากสนด้วยว่าโทมิสันจะรวยแค่ไหน และรัตติจะรูปหล่อเพียงใด
เธอก็แค่จำเป็นต้องมาทำงานที่นี่ตามคำสั่งของพ่อก็เท่านั้น
นึกว่าจะได้เป็นเลขาผู้ทรงประสิทธิภาพของ CEO ใหญ่ หรือเป็นผู้จัดการแผนกเด่นๆ สักแผนกหนึ่ง ทว่าไม่คิดเลยว่า...
“นี่มันอะไรกัน” หญิงสาวโวยวายเสียงดังลั่น กวาดตามองไปรอบๆ ห้องซึ่งมีคอกแบ่งไว้เป็นโซน แต่ละโซนมีพนักงานประจำที่อยู่แล้ว ต่างก็เงยหน้ามองเธอเป็นจุดเดียว “มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า” เธอหันไปถามพนักงานฝ่ายบุคคลที่พาเธอมาตรงนี้
“ไม่ผิดแน่ค่ะ คุณโทมิสันแจ้งไว้ว่าถ้ามีคนชื่อมาริสามาบริษัท ให้พามาทำงานที่นี่”
“พนักงานฝ่ายการตลาดนี่นะคืองานของฉัน” เธอยังไม่คลายความเกรี้ยวกราด
“เอ๊ะ ก็คุณมาริสามาสมัครงานก็เพราะหวังเงินเดือน มีสิทธิ์โวยวายด้วยหรือคะ มีงานให้ทำก็ดีเท่าไหร่แล้วค่ะ” ริก้าเริ่มหงุดหงิด
“เงินเดือนเท่าไหร่”
“ตอนสัมภาษณ์งาน เขาไม่ได้แจ้งหรือคะ”
มาริสาเริ่มโมโหหนักขึ้น เธอไม่เคยสัมภาษณ์และไม่เคยสมัครงาน ทุกอย่างพ่อของเธอเป็นคนจัดการให้ “ฉันถามก็อย่ามาย้อน”
“12,000 ค่ะ” ตอบแบบไม่เต็มใจนัก
“อะไรนะ หมื่นสอง” มาริสาเสียงดัง “ทำไมได้น้อยอย่างนี้”
“ถ้าอยากได้เยอะๆ คุณมาริสาคงต้องเปิดบริษัทเองแล้วล่ะค่ะ”
“กล้ายอกย้อนฉันเหรอ” หญิงสาวเสียงเขียว “ยืนรอฉันตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมาเคลียร์”
“จะเคลียร์อะไรอีกล่ะแม่คุ๊ณณ”
มาริสาไม่ฟังเสียง เดินพรวดไปยืนห่างจากคนอื่นแล้วโทรหาปริวัทน์ผู้เป็นพ่อทันที
/ว่าไงลูก เข้ากับเพื่อนๆ ร่วมงานได้ดีไหม/ น้ำเสียงร่าเริงดังมาตามสาย
“พนักงานฝ่ายการตลาด”
/หืม ? อะไรนะลูก/
“คุณพ่อให้หนูมาเป็นพนักงานเงินเดือนหมื่นสอง ?”
/คนเราจะไปถึงจุดสูงสุดได้ก็ต้องผ่านจุดต่ำสุดก่อนสิลูก การที่หนูเม่นทำงานกับพนักงาน จะทำให้หนูเข้าใจลูกจ้างมากขึ้น และประสบการณ์นี้จะทำให้หนูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งได้แน่ๆ/
“แต่ว่า...”
/เลิกงอแงซะที หนูเม่นไม่ใช่เด็กแล้วนะ/
หญิงสาวหน้าม่อยทันควัน เสียงอ่อย “โธ่ คุณพ่อล่ะก็...”
/แล้วก็ห้ามให้เพื่อนๆ รู้ล่ะว่าหนูเป็นลูกของพ่อ ไม่งั้นเดี๋ยวเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่/
“เพื่อนเหรอ” หญิงสาวขึ้นเสียงสูง “หนูเม่นไม่มีเพื่อนหรอกค่ะ มีแค่เพชรกับมาร์คเท่านั้นแหละ”
ปริวัทน์เงียบไปอึดใจใหญ่ก็พูดว่า /พ่อทำเพื่อหนูเม่นนะ เอางี้...ถ้าหนูทดลองงานสำเร็จภายใน 1 เดือน พ่อจะให้ทุกอย่างที่หนูอยากได้เลย ว่าไงครับ/
เธอตาวาว เสียงสดใสขึ้นมาทันที “จริงหรือคะคุณพ่อ”
/จริงสิ พ่อจะโกหกหนูไปทำไมล่ะ พ่อให้สัญญาเลยเอ้า/
“โอเคค่ะคุณพ่อ เรื่องแค่นี้ทำไมหนูเม่นจะทำไม่ได้ล่ะ แค่เดือนเดียวเอง งั้นแค่นี้นะคะ จะเข้างานแล้ว”
“มีไฟขึ้นมาเชียวนะ” ปริวัทน์ค่อนแคะ ก่อนจะวางสายไป
มาริสาเดินกลับเข้าไปยังแผนกของตนอีกครั้งด้วยแววตาที่เปล่งประกายไฟฮึดสู้ที่ลุกโชน เจอริก้ายืนปากงอ หน้าคว่ำ กอดอกอยู่จุดเดิม
“มีอะไรจะเคลียร์งั้นหรือคะ ฉันต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลามาไร้สาระกับคุณหรอกนะ”
มาริสากัดปากแน่นอย่างขุ่นเคือง หากก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะต่อมาเธอก็โปรยรอยยิ้มหวานให้ พูดเสียงอ่อน
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันพร้อมจะเริ่มทำงานแล้ว”
“งั้นก็ดีค่ะ” ริก้ากระแทกเสียง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
มาริสายกมือไหว้กราดให้กับพนักงานทุกคนที่นั่งจ้องอยู่ในโซนตัวเอง แล้วแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะ ฉัน...มาริสา เรียกว่าหนูเม่นก็ได้ เป็นพนักงานใหม่ที่จะมาประจำอยู่แผนกนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หนุ่มๆ หลายคนลุกยืนแนะนำตัวบ้าง ในขณะที่สาวๆ พากันนั่งเงียบแล้วก้มหน้าทำงาน
“ผมจะเป็นคนช่วยสอนงานให้คุณในระยะแรกเองนะครับ” วิชัย หนุ่มร่างท้วมอารมณ์ดีได้เอ่ยขึ้น “คุณโทมิสันให้ผมช่วยดูแลในจุดนี้ให้คุณ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงช่วงพักกลางวัน พนักงานชายเกาะกลุ่มลงไปหาข้าวกิน ส่วนพนักงานหญิงไม่มีใครลุกจากโต๊ะ มีเพียงสายหยุดที่เดินมายืนกอดอกหน้าโต๊ะทำงานของมาริสา
“ไม่ทราบว่ามีอะไรคะ”
“พักเที่ยงแล้ว” สายหยุดพูดห้วนๆ
“ค่ะ ใช่ เดี๋ยวฉันก็จะออกไปหาอะไรกินแล้ว”
“เอ้านี่” วางกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือลงบนโต๊ะ
“อะไรคะ” หยิบมาดูอย่างงงๆ เห็นรายชื่ออาหารยาวเหยียดเกือบสิบรายการ รวมทั้งเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วย
“ซื้อมาให้พวกฉันด้วย”
“เป็นหน้าที่ฉันหรือคะ” ถามกลับงงๆ
“เป็นหน้าที่เด็กใหม่น่ะค่ะ เพิ่งเข้ามาก็ต้องโดนรุ่นพี่รับน้องกันนิดหน่อย”
“ขอโทษนะคะ คุณชื่ออะไร”
“สายหยุด ถามทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากรู้เท่านั้นว่าคุณชื่ออะไร วันข้างหน้าจะได้จำชื่อคุณได้”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไปซื้อข้าวมาได้แล้วไป”
“ค่ะๆ ” มาริสายิ้มเย็นเยือก ก่อนจะลุกขึ้น จ้องหน้าสายหยุดพักหนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ดู๊ดู ดูมันเถอะ” สายหยุดเสียงสูง “ท่าทางหยิ่งยโส ความสามารถอะไรก็ไม่น่าจะมีมาก ไม่รู้ว่ามันเข้ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง คงใช้เส้นหรือไม่ก็หน้าตาสินะ”
“แต่คุณมาริสาเขาก็สวยจริงๆ นะคะ” สาวคนหนึ่งออกความเห็น ทำเอาสายหยุดตาเขียวทันที
“คงเพราะศัลยกรรมกับเครื่องสำอางนั่นแหละ หน้าจริงคงดูไม่ได้”
“เขาแต่งแล้วสวยก็ดีสิคะ พวกเราทาลิปกรีดตายังสวยไม่ถึงครึ่งเขาเลย”
“หยุดพูดไปเลย” สายหยุดแหว
“ยังไงก็ไม่น่าใช้ให้คุณมาริสาไปซื้อข้าวให้เลย ปกติพวกเราก็ออกไปกินกันเองอยู่แล้ว”
“ไม่ดีหรือไง มีคนเอามาเสิร์ฟให้ถึงที่ห้องทำงาน ไม่ต้องตากแดดเดินไปซื้อกินเอง”
“เงินก็ไม่ได้ให้เขา”
“ทำงานวันแรกก็ต้องเลี้ยงรุ่นพี่สิ”
ทุกคนได้แต่ถอนหายใจยาว...รู้จักนิสัยสายหยุดเป็นอย่างดี เห็นใครสวยกว่าเป็นไม่ได้ ออกอาการอย่างนี้ทุกที