บทที่ 3 ข่าวร้าย VS ข่าวดี (1)
บทที่ 3
ข่าวร้าย VS ข่าวดี
ร่างระหงผลักประตูเข้าไปในตึกสูงยี่สิบชั้น ในฐานะที่เป็นถึงลูกสาวท่านประธาน เธอจึงโดดเด่นเหนือใคร...คุณหนูมาริสาจอมเย่อหยิ่งที่ขยันอู้งานแล้วทุ่มเทให้กับการเที่ยวเต็มที่
การมาเยือนบริษัทของเธอแต่ละครั้งสร้างความฮือฮาให้กับเหล่าพนักงานไม่น้อย...วันนี้ก็เช่นกัน เธอสวมชุดสูทสีครีมเรียบหรู กระโปรงทรงเอรัดรูป ผ่าหลังเล็กน้อย แถมยังสั้นคืบกว่าๆ ผมยาวสลวยดัดลอนยาวถึงกลางหลัง สวมแว่นดำเดินเฉิดฉาย ใครผ่านต่างก็ทักทายเธอ บ้างยกมือไหว้ ขณะที่เธอเพียงพยักหน้าให้เท่านั้น
เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวชั้นบนสุดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องประธานสักเท่าไหร่ เธอก็เรียกร้องหาเครื่องดื่มเย็นๆ จากเลขา
นาเดียรีบนำน้ำเปล่าเย็นเฉียบไปเสิร์ฟให้ผู้เป็นนาย ฝ่ายนั้นนั่งกึ่งเอนพิงพนักเบาะ รับแก้วมาจิบอย่างมีมาด ก่อนจะขมวดคิ้วฉับ วางแก้วดังปึงจนเลขาสะดุ้ง
“นี่ไม่ใช่น้ำแร่นี่”
“อะ เอ่อ...พอดีหมดค่ะ”
“หมดก็ต้องบอกสิ” หญิงสาวตาขุ่น ลูบกรอบหน้าตัวเองแล้วสาธยาย “เช้าๆ แบบนี้ถ้าดื่มน้ำแร่จากเทือกเขาในสวิตเซอร์แลนด์จะทำให้หน้าฉันอิ่มเอิบ อย่าคิดนะว่าเอาน้ำธรรมดามาให้ฉันแล้วฉันจะไม่รู้น่ะว่ามันไม่ใช่น้ำแร่” เธอหยุดมือที่กำลังลูบหน้า ก่อนหรี่ตามองนาเดียด้วยสายตาหวาดระแวง “ฉันให้คนขนน้ำมาใส่ไว้เต็มตู้เย็น ผ่านไปแค่อาทิตย์กว่าๆ ทำไมหมดเร็วจัง ไม่ใช่ว่าเธอหรือใครแอบดื่มไปหรอกนะ”
“ไม่นะคะ ของแพงอย่างนั้น ดิฉันไม่อาจเอื้อม” โบกมือว่อน ปฏิเสธลิ้นแทบพันกัน
“ทั้งอาทิตย์ฉันมาทำงานแค่ไม่กี่วัน จะเป็นไปได้เหรอที่จะดื่มคนเดียวหมด”
“แต่ดิฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
มาริสาหรี่ตาลง ก่อนพยักหน้า “ช่างเถอะ ฉันคงคิดมากไปจริงๆ เธอออกไปทำงานได้แล้ว”
“ค่ะๆ ” นาเดียรีบหมุนกายออกจากห้องที่มีบรรยากาศอึดอัดนั่นทันที
มาริสาหมุนด้ามปากกา มองเอกสารที่กองบนโต๊ะด้วยสายตาเบื่อหน่าย การที่ต้องนั่งอ่านๆ คิดๆ แล้วเซ็นชื่อ ช่างเป็นอะไรที่เธอเบื่อที่สุด
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอไม่ทันอนุญาต ประตูก็เปิดผาง ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะก้าวเข้ามา
“อะไรกันคุณพ่อ จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามา”
“พ่อก็เคาะประตูแล้วนี่”
“หนูเม่นยังไม่ทันจะอนุญาตเลย”
“พ่อไม่แคร์” เดินไปนั่งไขว่ห้างตรงโซฟาริมห้อง ในขณะที่เธอแว้ด
“แคร์บ้างเถอะคุณพ่อ เผื่อหนูกำลังทำอะไรน่าเกลียดอยู่จะทำไง”
“อะไรเหรอที่ว่าน่าเกลียด” สายตาพ่อมองเธอจิกๆ...จิกเก่งกว่าไก่ซะอีก “เช่นไม่ค่อยมาทำงาน เที่ยวเก่ง พอมาบริษัทก็วีนเก่ง เอาแต่ใจใช่ไหม”
“โธ่คุณพ่อ ก็หนูยังวัยรุ่นอยู่ ให้หนูได้แรดบ้าง”
“ตอนพ่ออายุเท่าเธอ พ่อไม่เคยได้แรดสักครั้ง” สีหน้าจริงจังระดับล้าน “ตั้งใจเรียนแล้วก็ทำงานงกๆ แล้วจู่ๆ ก็มามีเมียกะทันหัน พ่อยังเสียใจไม่หายที่ยังใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่คุ้มค่า”
“นั่นไง พ่อถึงต้องเข้าใจหนูไงคะ” เธอผายมือกว้าง
“ในเมื่อพ่อไม่ได้แรด หนูเม่นก็จะแรดไม่ได้เด็ดขาด พ่ออิจฉา”
“พ่อ ! ” เรียกพ่อดังลั่น ตาแทบถลนออกนอกเบ้า “พูดอะไรน่ะ”
“พูดความจริงไง ไม่รู้ล่ะ พ่อมีหนูเม่นเป็นลูกสาวคนเดียว เธอเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของพ่อ เธอจะใช้ชีวิตไร้แก่นสารอย่างนี้ต่อไปไม่ได้”
หญิงสาวจ้องหน้าผู้ให้กำเนิดอย่างรู้เท่าทัน “เลิกทำเป็นเข้มแล้วอารัมภบทยืดยาวเถอะพ่อ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่าว่าต้องการอะไร”
“มีข่าวดีกับข่าวร้าย หนูเม่นอยากฟังข่าวไหนก่อนล่ะ”
“อืม...” นิ้วจิ้มคาง ท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะบอก “ขอข่าวร้ายก่อนล่ะกันค่ะ”
“พ่อจะส่งเธอไปเรียนรู้งานที่บริษัทคุณโทมิสัน”
“อะไรกันพ่อ” เธอรีบประท้วงทันที “บริษัทเราก็มี พ่อจะส่งหนูไปเรียนรู้ที่อื่นทำไม”
“อยู่ที่นี่เธอทำตัวตามสบายเกินไปเพราะเป็นลูกสาวของพ่อน่ะสิ ลองไปทำงานที่อื่นดูบ้าง เผื่อพฤติกรรมและความรับผิดชอบจะดีขึ้น”
มาริสาหน้าเสีย โวยลั่น “แต่...”
“ไม่มีแต่” ปริวัทน์ชิงขัด และฝ่ายลูกสาวก็รู้ดีว่าถ้าพ่อเสียงแข็งเมื่อไหร่นั่นหมายถึงเอาจริง และเธอก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งด้วย
“งั้นขอข่าวดีด้วยค่ะ” เสียงอ่อยทันที หวังว่าข่าวดีจะช่วยปลอบประโลมสภาพจิตใจของเธอให้ดีขึ้น
“ยินดีด้วยนะ พ่อหาแฟนให้ลูกได้แล้ว”