บทที่ 2 ยมทูตสุดหล่อ (3)
“จะไม่ให้ฉันขำได้ไง ดูสิ” ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้เพื่อนดู “หมูคิดแผลงๆ อีกแล้ว เห็นทีงานนี้น้าลี่คงจะปวดประสาทน่าดู ฮ่าๆ ”
เพชรวดีขมวดคิ้วเพ่งสายตาอ่าน...ป้ายรับสมัครภรรยา ก่อนจะขำอีกคน
“ฮ่าๆ นี่เขาทำป้ายจริงๆ หรือแค่เล่นๆ กันสนุกสนานอ่ะหนูเม่น”
“ท่าทางจะจริง ฮ่าๆๆ เห็นน้าลี่บอกว่าปวดหัว กลัวได้สะใภ้แปลกๆ ”
“ก็ดีออก คนที่มีความคิดแปลกๆ อย่างผู้ชายคนนี้ สมควรได้เมียที่มีความแปลกไม่แพ้กันอยู่แล้ว ฮ่าๆ ” เพชรวดียังไม่หยุดหัวเราะ “เห็นเธอพูดถึงคุณหมูบ่อยๆ ท่าทางจะสนิทกันนะ”
“สนิทสิ ลูกพี่ลูกน้องของฉันนี่ ตอนเด็กๆ เคยเล่นกันบ่อย อันที่จริงเขาไม่ได้ชื่อหมูหรอก ชื่อเสือน้อยน่ะ แต่ดันชื่อเสือเหมือนพ่อ เลยเรียกกันว่าหมู คนที่จะเรียกเขาว่าหมูได้คงมีแค่คนสนิทจริงๆ เท่านั้น”
“สงสัยคงอ้วนสินะ” ยังไม่หยุดขำ
“อื้อ” มาริสาพยักหน้าหงึกหงัก “ตอนเด็กๆ อ้วนมากเลยล่ะ ฟันหลออีกต่างหาก กินเก่ง แต่ตอนนี้เป็นหนุ่มแล้ว รูปหล่อไม่แพ้ดาราเลย หล่อจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชาวไร่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นญาติกันนะ ฉันคงจีบไปแล้ว” ตอนท้ายหยอดมุกไปอีก เล่นเอาเพชรวดีขำไม่หยุด
“น้าเสือเป็นน้องชายของแม่หนูเม่นใช่ป่ะ”
“ใช่”
“เป็นพี่น้องที่สายเลือดเข้มข้นมากเลยนะ”
“แน่นอน แต่ความบ้าฉันไม่มีเท่าเขานะ”
“เอ้าๆ ” ยกมือขึ้น พยายามกลั้นขำจนแก้มป่อง “ฉันจะพยายามเชื่อก็แล้วกัน”
“อันที่จริงฉันเองก็ห่วงหมู กลัวเขาได้เมียกากๆ มา”
“เมียกากๆ เป็นยังไง”
มาริสาเกาคางยุกยิก ก่อนตอบส่งเดช “ก็แบบว่าเมียที่ไม่ถูกใจฉันไง”
“แหม เธอนี่จะเรื่องมากไปไหน คุณหมูเป็นคนแต่งงานนะ ไม่ใช่เธอซะหน่อย”
“ไม่ได้หรอก น้องชายฉันจะแต่งงานทั้งที ฉันต้องเลือกคนดีๆ จริงสิ” เหลือบตามองไปทางเพื่อนที่กำลังดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากจนแก้มตอบ “ถ้าอย่างเธอนี่ ฉันให้ผ่านเลย”
เพชรวดีแทบสำลักเลยทีเดียว ไอโขลก ยกน้ำมาดื่ม “บ้าสิ พูดอะไรบ้าๆ ”
“เอ้า จริงๆ นะ ไหนๆ เธอก็ไม่มีใคร”
“ฉันไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นภาระชีวิตหรอกน่า”
“หมูน่ะเจ้าชู้มากรู้ไหม ฉันก็เป็นห่วงเหมือนกัน ยังไงหมูก็เป็นน้องฉัน เอางี้ ฉันจ้างเธอไปหยุดความเจ้าชู้ของหมู เอาไหม ให้ค่าเสียเวลา ค่าเหนื่อย ค่าโน่นนี่ รวมๆ แล้วสัก 3 ล้าน พอไหม”
เพชรลดาตาแทบถลน “3 ล้าน ! ”
“ทำไม หรือว่าน้อยไป”
“เยอะเกิน แต่ถ้ารวมค่าโน่นนี่อะไรหลายๆ อย่าง ค่าสึกหรอร่างกายด้วย ฉันคิดว่า 3 ล้านก็สมน้ำสมเนื้อนะ ต้องอยู่กินด้วยกันตลอดชีวิตเลยรึ” ประโยคท้ายสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“แค่ดัดนิสัยหมูได้ก็พอ ให้เขาเลิกเจ้าชู้เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นซะที เอ๊ะ เธอถามแบบนี้...อย่าบอกนะว่า...”
เพชรวดียักไหล่ ดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวต่อ ก่อนจะตอบว่า
“ตามนั้นแหละ ไหนๆ ชีวิตฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่ได้คิดจะรักหรือมีใครด้วย ใช้ร่างกายตัวเองให้เป็นประโยชน์ก็แล้วกัน ฉันจะหยุดความเจ้าชู้ของน้องชายเธอให้เองหนูเม่น ! ”
ในเมื่อเพื่อนรับปากเป็นมั่นเหมาะ เธอเองก็พลอยสบายใจ เบาห่วงเรื่องลูกพี่ลูกน้องไปได้เปลาะหนึ่งล่ะ
“แล้วเธอล่ะหนูเม่นเมื่อไหร่จะหาแฟนสักที”
“โอ๊ย ขี้เกียจหา” หญิงสาวโบกมือว่อน “คิดว่าจะมีใครอยากอยู่ร่วมกับคนที่เห็นผีเหมือนฉันอย่างนั้นเหรอ ขนาดแค่เพื่อนยังไม่ค่อยอยากจะคบฉันเลย”
“ก็อาจจะมีหนึ่งในหลายล้านก็ได้นะที่เขาจะอยู่กับเธอได้ ดูที่เธอว่าสิ...เพื่อนยังไม่คบเธอ แต่ก็มีฉันไงที่เป็นเพื่อนเธอเสมอ”
มาริสายิ้ม บีบมือเพื่อนที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ
“ขอบใจนะเพื่อน ฉันขอปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามโชคชะตาก็แล้วกัน”
หลังจากแยกย้ายกับเพชรวดีแล้ว มาริสาก็ตรงดิ่งไปบ้านพนิดา กดออดรัวๆ นับสิบครั้ง จนเจ้าของบ้านที่เป็นหญิงวัยกลางคนต้องรีบวิ่งออกมาด้วยความตระหนก
“โอ๊ย ! ทำไมต้องกดกริ่งรัวขนาดนั้นด้วย หูฉันจะแตกอยู่แล้ว มีธุระอะไร”
“มีธุระกับลูกสาวป้าน่ะ” พูดกวนๆ กระดิกนิ้วจิ้กๆ “ดาอยู่บ้านหรือเปล่า เรียกออกมาคุยกับฉันหน่อย”
“ดายังไม่ตื่นเลย” ตอบพลางกวาดตามองคนที่ยืนอยู่นอกรั้วขึ้นๆ ลงๆ อย่างสำรวจ “ไม่ยักกะรู้ว่าดามีเพื่อนแบบนี้ด้วย”
“แบบนี้น่ะแบบไหนเหรอป้า” ถามกลับทันควัน
“ก็แบบนี้นี่แหละ พูดจาไม่มีหางเสียง แต่งตัวโชว์เนื้อหนัง”
“ตกลงป้าจะไปตามลูกป้ามาไหม”
“โอ๊ย กลับไปก่อนเถอะ เวลาดานอน ฉันไม่เคยปลุก อยากให้ลูกหลับเต็มที่”
หญิงสาวแสยะยิ้ม ยื่นหน้าไปชิดรั้ว “ขอถามอีกครั้ง ป้าจะให้ฉันได้เจอดาไหม”
“เอ๊ะ อย่ามาข่มขู่กันนะ” หญิงอ้วนโบกมือว่อน ชักสีหน้าไม่พอใจ
มาริสาหัวเราะขำ “แหม พอดีดาทำให้ฉันไม่พอใจ น่าจะพอรู้นะว่าคนอย่างฉันน่ะ...ถ้าไม่พอใจใครก็ไม่มีทางปล่อยไว้แน่นอน ป้าอยากให้ชีวิตไม่สงบสุขเหรอ”
“นี่เธอ” หน้าอวบอูมเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ “ฉันจะโทรแจ้งความนะถ้าไม่ยอมไปดีๆ”
“พนิดานอนงั้นเหรอ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนนอนไปได้อีกสักกี่นาที” หญิงสาวเอื้อมมือไปกดกริ่งรัวๆ ร้อนถึงเจ้าของบ้านต้องรีบเปิดรั้วออก พร้อมดึงแขนเธอไว้
“นี่เธอ มีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนี้ ฉันบอกให้ออกไปไง”
“ไม่ต้องไล่หรอก เพราะฉันไปแน่ หากเสร็จธุระกับลูกสาวป้าแล้ว” เธอยักไหล่พลางดึงตัวออกจากมืออีกฝ่าย เธอเคยขับรถมาส่งพนิดาที่บ้าน เคยเห็นผู้หญิงคนนี้เดินอยู่ในบ้านซึ่งพนิดาบอกว่าเป็นแม่ แต่เธอไม่เคยคุยด้วยเลยสักครั้ง
บ้านพนิดาเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ฐานะค่อนข้างดีแต่ไม่ถึงกับร่ำรวย มีรถคู่ใจเป็นเก๋งราคาปานกลางซื้อมาหลายปีแล้ว เมื่อคืนพนิดาก็เอารถไปรับเธอ
เธอก็นึกว่าเพื่อนหวังดีอยากชวนเที่ยวจริงๆ ที่ไหนได้ล่ะ...วางแผนจะประเคนเธอให้ผู้ชายโดยแลกเงินแค่พันห้านี่เอง
“เสียงดังอะไรกันอ่ะแม่” พนิดาเดินออกมาด้วยทรงผมยุ่งเหยิง เกาหัวแกรก ยังคงสวมชุดนอนยาวกรอมเท้าอยู่ “ใครเล่นบ้าๆ กดกริ่งอยู่ได้ คนจะหลับจะนอน” แต่พอเห็นว่าเป็นมาริสา ก็หยุดชะงักทันที “อ้าวหนูเม่น”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
“อะไรเหรอ” พนิดาปรับสีหน้าเป็นปกติ ก่อนจะเดินออกมานอกรั้ว “ไม่คิดเลยว่าเธอจะมาหาฉันถึงที่บ้าน”
“อีเพื่อนเฮงซวย ! ” มาริสาฟาดฝ่ามือไปที่แก้มซีกซ้ายของพนิดาเต็มเหนี่ยว
เผียะ !
พนิดาหน้าหันคว้างตามแรงตบ ก่อนสะบัดหน้ากลับมามองด้วยสายตาฉุนเฉียว มือกุมแก้มที่บวมเป่ง
“เธอตบฉันด้วยเรื่องอะไรเนี่ย”
“ใช่ แกกล้าดียังไงมาตบลูกฉันยะ” ยายป้าวัยกลางคนผสมโรง
“ยังจะมาตีหน้าซื่ออีก ต่อไปนี้ฉันกับเธอไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป”
“ฉันไปทำอะไรให้เธอนักหนา”
“แน่ะ ยังจะตีหน้าเป็นซินเดอเรลล่าอีก เห็นลูกกะตาที่ตีเนียนว่าแสนดีของเธอแล้วรู้สึกขยะแขยงเป็นบ้า ขออัดสักทีเถอะ จะได้ไม่ไปทำสายตาดัดจริตอย่างนี้ใส่ใครอีก” พูดจบก็อัดกำปั้นเข้าที่เบ้าตาพนิดาเต็มๆ
ผล๊วะ
“ว้าย ! ”
คราวนี้เสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าพื้นดังพลั่ก เจ็บใจแสนแค้น ชี้หน้าด่าโวยวาย
“อยู่ดีๆ ก็มาทำอย่างนี้ อยากโดนตำรวจจับเหรอ”
“ใช่ แกน่ะมาทำลูกฉันได้ยังไง โสโครก” ผู้เป็นแม่กรากเข้าหามาริสา เงื้อมือร่าหมายจะตบสักฉาดแก้แค้นให้ลูกสาวที่หมอบกระแตสิ้นท่า ทว่ามาริสาไวกว่า หลบได้ทันท่วงทีพร้อมชี้หน้า
“หยุดนะ ถ้าเรื่องถึงหูตำรวจก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นฝ่ายเดินเข้าคุก”
“ดา หนูไปทำอะไรมาเหรอ” หญิงวัยกลางคนถาม พลางทรุดลงประคองลูกสาว
“เปล่านะแม่ หนูไม่ได้ทำอะไรเลย”
“หึ” มาริสายิ้มเย็น ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเงาอยู่ในบ้าน สักพักเธอก็เหลือบตามามองหน้าแม่ของอดีตเพื่อนนิ่ง “สอนลูกดีๆ หน่อยนะป้า อย่าตามใจลูกนัก อ้อ...ช่วงนี้เข้าวัดทำบุญบ่อยๆ นะ ฉันเตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกไม่เกินสามวัน ป้าก็จะตายแล้ว”
“หา ! ” ต่างก็อ้าปากค้างกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พนิดา
“แช่งแม่ฉันเหรอ”
“ฉันไม่ได้แช่ง ฉันพูดจริง
“อีนี่ท่าจะบ้าจริงๆ ” หญิงวัยกลางคนเกรี้ยวกราด “อยู่ดีๆ มาแช่งคนอื่นให้ตาย”
มาริสาแสยะยิ้ม พูดเสียงหวาน “ดา...ตอนแรกฉันก็โกรธเธอมากนะ แต่เอาเถอะ เห็นแก่แม่ของเธอที่ใกล้จะตายเต็มทีแล้ว ฉันจะยกโทษให้ก็แล้วกันนะ”
พลันนั้น เงาดำที่เห็นในบ้านก็เคลื่อนมายืนอยู่เบื้องหลังมารดาของพนิดา ใบหน้าหล่อเหลาเยือกเย็นจนเกือบจะเย็นชา อยู่ในชุดสูทสีดำ นัยน์ตาลึกลับคู่นั้นมองตรงมาที่มาริสาซึ่งกำลังค้อมศีรษะให้
เธอกลั้นยิ้มขำ ปกติวิญญาณจะเห็นแค่ตอนอยู่ในที่มืด ตอนกลางคืน แต่ยมทูต...เห็นได้แม้เวลากลางวัน “ตั้งใจทำงานให้เต็มที่นะคะคุณยมทูตสุดหล่อ”
เธอขึ้นรถแล้วขับจากไปด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งปราศจากความเคียดแค้นและจองเวร โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของสองแม่ลูกที่ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาบตามหลังรถเธอจนลับ