บทที่ 3
“รู้สึกว่าคุณออกจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากไปหน่อยนะคะคุณไวล์เดอร์” หางเสียงของเธอประชดอยู่เป็นนัย
“เท่าที่ผมจําได้ วันนั้นเป็นวันที่คุณได้รับทะเบียนหย่า แล้วคุณก็อยากฉลองความเป็นอิสระของตัวเองอีกครั้ง ผมว่าไม่มีผู้ชายคนไหนลืมได้หรอกเมื่อผู้หญิงสาวสวยมีเสน่ห์จับใจอย่างคุณประกาศอิสรภาพของตัวเองอย่างนั้น”
แอ๊บบี้ลืมไปสนิทแล้วว่าเหตุผลที่เธอถลาเข้าไปในห้องทํางานของพ่อวันนั้นคืออะไร
“คุณยังจําได้อีกหรือคะนี่?” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แหม...ฉันดีใจจัง”
“จริงหรือครับ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกแบบใหม่แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกแช่มชื่นขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่ได้รับทราบข่าวการตายของพ่อ แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเศร้าโศกเสียใจได้ โดยเฉพาะเมื่อโลงศพของพ่อยังตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักในบรรยากาศอวลอบด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ
แม็คเครียมองไปทางโลงศพที่โดยรอบประกอบด้วยแนวเส้นทองเหลือง
“ผมอยากให้คุณรับทราบไว้ด้วยนะครับ ว่าผมรู้สึกเสียใจกับการตายของคุณพ่อคุณมาก”
แอ๊บบี้รู้สึกเสียดายที่เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้คําพูดซ้ำซากกับของคนอื่นมากล่าวกับเธอ จึงตอบออกไปด้วยถ้อยคําซ้ำซากที่เคยกล่าวมาแล้วกับคนอื่นๆ เช่นกัน
“ขอบคุณค่ะ และขอบคุณอีกครั้งสําหรับความเป็นห่วง”
ในนาทีที่เขาเดินจากไปนั้น แอ๊บบี้รู้สึกถึงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นอยู่ในใจลึกๆ แต่เธอไม่มีโอกาสครุ่นคํานึงอยู่กับมัน ยังมีใครคนอื่นรอเวลาเข้ามาแสดงความเสียใจกับเธออยู่ แอ๊บบี้จึงออกเดินรับการทักทายอีกครั้ง แต่สายตาของเธอเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาสอดส่ายมองหาผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขัดข้องอยู่ในใจว่าหล่อนเป็นใครกันแน่?
ราเชล ฟาร์จับตามองดูเธอจากในระยะไกลสังเกตเห็นท่วงท่าสง่างามประสมประสานอยู่ด้วยความมั่นใจในตนเอง ขณะเธอเคลื่อนร่างในระหว่างหมู่ผู้คนแต่สิ่งที่ส่งเสริมให้ท่วงท่าของเธอเป็นเช่นนั้น น่าจะมาจากเครื่องแต่งกายชุดสีดําที่สวมใส่อยู่ แม้เป็นแบบเรียบง่ายแต่ก็งามเก๋ เน้นด้วยความมันของผ้าซาตินสีดําตรงขอบปลายแขน รอยผ่าตรงกระโปรงและคอตั้งแบบจีนหรือไม่ก็อาจจะเป็นด้วยการตกแต่งเรือนผมที่หวีเรียบเลยมาข้างหลังตลบบิดเป็นมวยแบบฝรั่งเศสแบบอยู่ตรงท้ายทอย มันส่งช่วงลําคอให้ดูงามระหงเด่นสง่าขึ้น ท่าทางของเธอดูไม่เดือดร้อนกับความร้อนของอากาศและไรเหงื่ออย่างที่ราเชลกําลังเป็นอยู่เลย เสื้อชุดสีดํามิได้แนบติดกายและเรือนผมก็มิได้เปียกชื้นด้วยหยาดเหงื่ออย่างราเชลด้วย ปกติแล้วอากาศในเท็กซัสน่าจะแห้งแล้ง พื้นแผ่นดินเป็นสีน้ำตาลด้วยความร้อนในอากาศ ยิ่งกว่านั้น บรรยากาศก็น่าจะซบเซา แต่ที่ฮิวสตันแม้ เป็นเมืองบนที่ราบแต่ก็เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและดูชุ่มชื้นกว่าที่อื่นๆ
ราเชลก้มลงมองดูดอกกุหลาบสีแดงเพียงดอกเดียวที่ถืออยู่ในมือกลีบนุ่มปานกำมะหยี่เริ่มอ่อนลงด้วยความร้อน หล่อนซื้อกุหลาบดอกนี้มาจากร้านขายดอกไม้ในอาคารท่าอากาศยานฮิวสตันเมื่อเดินทางจากแคลิฟอร์เนียมาถึงตอนบ่ายของวันวาน หล่อนใคร่จะได้วางกุหลาบดอกนี้ลงบนโลงศพของดีน ให้มันเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่หล่อนมีต่อเขา แต่กระนั้น ก็ยังกริ่งเกรงที่จะแสดงอะไรเช่นนั้นออกไปทั้งที่มันเป็นเรื่องง่ายๆ
เมื่อคืนหล่อนไปที่สถานเก็บศพแต่ไม่กล้าพอจะเข้าไปข้างในด้วยหวั่นเกรงต่อปฏิกิริยาที่จะได้รับจากบุคคลในครอบครัวและประหวั่นว่าจะมีใครจับตามองดู หล่อนต้องนั่งรออยู่นอกโบสถ์ขณะที่ภายในกําลังทําพิธีสวดอธิษฐานให้กับดวงวิญญาณของดีนอยู่ หล่อนอยากเข้าไปมีส่วนร่วมในพิธีการด้วยเหลือเกิน แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกที่ไม่มีความสะอาดพอ แต่ในที่สุด หล่อนก็ยังมีโอกาสได้ตามรถยี่ห้อต่างๆ ทั้งลินคอล์น เมอร์ซีเดส โรลสรอยส์และคาดิลแลคออกมายังบริเวณสุสานชานเมือง
หลายต่อหลายครั้งที่หล่อนครุ่นคิดอยู่ในใจว่าถ้าเลขานุการของดีนมิได้โทรศัพท์แจ้งไปให้ทราบก็คงไม่มีใครบอกข่าวความตายของเขาให้หล่อนรับรู้ด้วยอีกคนแน่ หล่อนอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนกว่าจะรู้ว่า บัดนี้ เขามิได้มีชีวิตอยู่ในโลกอีกต่อไปแล้วก็ได้ หล่อนพยายามแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อมิสซิสแอนเดอร์สัน แต่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นมีความอึดอัดหรือยุ่งยากลําบากใจมากเพียงไรที่หล่อนเดินทางมาในพิธีฝังศพครั้งนี้ด้วย
มันไม่ยุติธรรมเลย หล่อนเองก็รักดีนเหมือนกันและแน่นอนที่ทางครอบครัวของเขาน่าจะมีความเข้าใจว่าหล่อนต้องการจะร่วมในความโศกเศร้าเสียใจครั้งนี้ด้วย ใคร่จะได้มีส่วนร่วมในการสูญเสียร่วมกันครั้งนี้ หล่อนเป็นเพียงเศษส่วนอันน้อยนิดในชีวิตของเขาขณะที่คนอื่นๆ มีความสําคัญอันยิ่งใหญ่กว่า หล่อนจะต้องวางกุหลาบดอกนี้ลงคารวะเหนือโลงศพของดีนให้ได้ไม่แคร์อีกต่อไปแล้วว่าใครจะคิดอย่างไรบ้าง
หล่อนไม่ยอมให้ตัวเองมีโอกาสทบทวนความคิดได้อีก เมื่อตัดสินใจเดินอย่างรวดเร็วไปตามช่องทางเดินเล็กๆ ระหว่างหลุมฝังศพที่เรียงราย รองเท้าส้นเตี้ยที่สวมใส่จมลึกลงในพื้นหญ้าอ่อนนุ่มขณะเดินไปตามร่มใบของต้นโอ๊กซึ่งยืนต้นเรียงรายเหมือนคอยพิทักษ์คุ้มครองหลุมฝังศพของบุคคลในตระกูลไว้ มีความรู้สึกเหมือนตัวเองกําลังเดินอยู่ท่ามกลางสุญญากาศ ความอาวรณ์ที่เกาะกินอยู่ในหัวใจทําให้สมองมึนชา ทั้งภาพและเสียงที่ปรากฏอยู่รอบตัวแทบจะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ขึ้นเลย
กระนั้น นอกเหนือจากความรานร้าวและความทุกข์ตรมอันใหญ่หลวงที่หล่อนกําลังรู้สึก สํานึกหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจของราเชล ในเมื่อหล่อนมีส่วนอันน้อยนิดเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันก็เหมาะสมแล้วที่หล่อนจะได้อนุญาตให้มีส่วนร่วมอันน้อยนิดเช่นกัน สําหรับในการตายของเขามันเป็นสิ่งที่หล่อนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดีนเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่มีอํานาจในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ทว่า บัดนี้ เขาตายไปแล้ว
ทันใด หล่อนมองเห็นโลงศพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้ามันคลุมด้วยผ้าสีเหลืองสดละออตา ราเชลหยุดยืนแล้วค่อยๆ วางกุหลาบดอกที่ถืออยู่ในมือลง มีความรู้สึกว่ามันช่างน้อยนิดและผิดที่ผิดทางจนอยากจะร่ำไห้ออกมา ดวงตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาเมื่อไล้ปลายนิ้วลงตามขอบโลงเหมือนจะกล่าวว่าอําลากับบุรุษสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันหลังกลับ และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแอ๊บบี้ยืนห่างออกไปประมาณสิบห้าฟุตกําลังจ้องมองหล่อนด้วยความรู้สึกหวาดระแวง ในนาทีนั้นราเชลอยากรีบรุดออกไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนั้นคล้ายกับรู้สึกละอายใจต่ออะไรบางอย่าง แต่หล่อนก็มิได้ทํา ถามตัวเองว่า ทําไมหล่อนจะต้องหนีหน้าด้วย? เมื่อรวบรวมความเด็ดเดี่ยวที่กระจัดกระจายอยู่ให้รวมตัวกันได้ราเชลเชิดหน้าขึ้นและออกเดินช้าๆ พร้อมกับที่แอ๊บบี้เองก็ทําเช่นนั้น
ทั้งสองมาพบกันกึ่งทาง แอ๊บบี้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“เธอเป็นใคร? ฉันเคยรู้จักเธอมาก่อนหรือเปล่านะ?” ในน้ำเสียงนั้นมีสําเนียงของชาวเท็กซัสประสมอยู่เหมือนดีนไม่มีผิด ราเชลสังเกตเห็นว่าหล่อนสูงกว่าแอ๊บบี้เล็กน้อย แต่มันไม่ได้ทําให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าแต่ประการใด จะมีก็แต่ความตะขิดตะขวงในใจด้วยซ้ำ
“ฉันชื่อราเชลค่ะ...ราเชล ฟาร์มาจากลอสแองเจลิส”
“จากลอสแองเจลิสงั้นรึ?” รอยขมวดมุ่นตรงหน้าผากของแอ๊บบี้ทําให้ราเชลรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่เคยรู้เลยว่าหล่อนเป็นใคร ความเจ็บปวดรวดร้าวและขมขื่นบังเกิดขึ้นในทันที “ดีนมักพูดเสมอว่าเราสองคนเหมือนกันมาก ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“เธอเป็นใคร?” คราวนี้แอ๊บบี้ขึ้นเสียงสูง
“ฉันเป็นลูกสาวของเขา”
สีหน้าของแอ๊บบี้ในยามนี้บอกทั้งความโกรธและความตกใจระคนกัน
“เป็นไปไม่ได้ ฉันต่างหากที่เป็นลูกสาวคนเดียวของเขา”
“ไม่ใช่หรอก เธอไม่ได้เป็น...”
แต่แอ๊บบี้ไม่ยอมรับฟังอีกต่อไป มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันชัดๆ
“ฉันไม่ยอมรับรู้หรอกนะ ว่าเธอเป็นใครหรือมาที่นี่เพื่ออะไร” เธอกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น พยายามรักษาน้ำเสียงให้เบาไว้เพื่อผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้จะไม่ได้ยิน “แต่ถ้าเธอไม่ยอมออกไปจากที่นี่...ในนาทีนี้...ฉันจะจัดการให้คนของฉันจับตัวเธอโยนออกไปนอกสุสานทันที”