บทที่ 2
เมื่อบาทหลวงเดินเข้ามาใกล้เก้าอี้ที่นั่งอยู่ แม่ของเธอยืนขึ้นต้อนรับเวลล์สีดําช่วยอําพรางดวงตาฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำตาไว้ แอ๊บบี้ยืนขึ้นเคียงข้างด้วยสํานึกแห่งการคุ้มครองป้องกันเช่นที่เคยเป็นอยู่เสมอมาต่อสตรีผู้มีเรือนร่างสูงระหง-บ๊าบส์ ลอว์สันผู้เป็นแม่ของเธอเอง
เช่นเดียวกับพ่อของเธอ แอ๊บบี้ได้รับการฝึกฝนอบรมมาตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กให้ป้องกันแม่ไว้จากทุกสิ่งที่ไม่น่าพอใจไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม บ๊าบส์ไม่ใช่คนที่จะจัดการกับปัญหาใดๆ ได้ทั้งสิ้น เธอพอใจจะมองไปเสียทางอื่นแสร้งทําเป็นว่าปัญหาต่างๆ มิได้เกิดขึ้นคล้ายกับว่าถ้าทําอย่างนั้นแล้วจะทําให้ปัญหาเลือนหายไปได้เอง
แต่ไม่ใช่แอ๊บบี้ เธอพอใจจะเผชิญกับปัญหาทั้งหลายอย่างชนิดหัวชนฝา ใบหน้าเชิดอยู่เสมอด้วยเลือดแห่งความหยิ่งทระนงและทิฐิมานะอันเป็นคุณสมบัติของบุคคลที่มีสายเลือดลอว์สันซึ่งเธอได้รับมาอย่างล้นเหลือ อย่างเช่นในขณะนี้ เมื่อไม่สามารถสลัดภาพของผู้หญิงคนนั้นออกไปจากจิตใจได้ เธอก็กวาดสายตาไปในท่ามกลางผู้คนที่เริ่มทยอยออกจากบริเวณหลุมฝังศพ ได้ยินคําพูดแสดงความเสียใจของบาทหลวงที่กําลังกล่าวอยู่กับแม่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ตั้งอกตั้งใจหาตัวผู้หญิงคนที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเธออย่างที่สุดให้จงได้ เชื่อแน่ว่าหล่อนจะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณนี้อย่างแน่นอน
อาจจะเป็นด้วยสัญชาตญาณกระมังที่เธอหันไปหาเบนนีไดค์ จาบลอนสกี้อีกครั้ง ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเช่นที่เธอเคยทํามาเกือบตลอดชีวิต วันนี้เขาสวมสูทลายทางซึ่งเก่าพอๆ กับอายุของเขา เขาถือหมวกแก๊ปใบเล็กๆ ไว้ในมือ ผมสีเทาหนาหวีไว้เกือบเรียบ
อายุที่มากขึ้นเพิ่มริ้วรอยยับย่นให้เกิดขึ้นกับใบหน้าและทําให้สีผมอ่อนลง แต่กระนั้น มันก็มิได้ทําลายความประทับใจในเรื่องพละกําลังของเขาลงได้เลย ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะมาข่มเขาลงได้ถ้าจะพิจารณาจากสิ่งที่เขาผ่านพบมาตอนนาซีบุกเข้ายึดครองประเทศโปแลนด์และยังต้องเข้าสู้รบในสงครามตอนที่ต้องตกอยู่ในบังคับของโซเวียตแล้วก็ไม่ทําให้น่าต้องแปลกใจแต่อย่างใด
ขณะนี้ ยามที่ยืนอยู่ข้างเรือนกายที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็ง แอ๊บบี้นึกไปถึงถ้อยคําที่เธอเคยพูดอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในรูปร่างลักษณะของผู้ชายคนนี้ล้วนแต่เป็นสี่เหลี่ยมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสันกราม กระโดงคาง ช่วงไหล่ และรวมไปถึงทัศนคติของเขา กระนั้น เบนก็ยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเธอ เมื่ออยู่ใกล้เขาเธอเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งชอบตั้งปัญหาซักถามข้อข้องใจที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
บุรุษผู้เคร่งขรึมยิ้มยากคนนี้กําลังพิจารณาเธออยู่เงียบๆ เขากําลังอ่านภาษากายด้วยวิธีที่เธอเคยเห็นเขาฝึกลูกม้าพันธุ์อารเบียนมาแล้วหลายครั้งหลายหน
“มีอะไรหรือครับ?” สําเนียงพูดของเขาห้าวลึกตามแบบของชาวพื้นเมืองโปแลนด์
“เมื่อกี้นี้ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ คุณเห็นเขาหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นครับ” เขาตวัดสายตามองไปทางอนุสาวรีย์แวบหนึ่ง “ใครกันล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” แอ๊บบี้ตอบ รอยขมวดมุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อเธอกวาดสายตาไปตามใบหน้าของแขกเหรื่อที่มาในงาน เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นแน่ มือยกขึ้นลูบกระโปรงชุดสีดําตัดเย็บด้วยผ้าเครปเดอชีนนุ่มนวลต่อการสัมผัสอย่างใจลอย ด้วยความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าต้องหาตัวผู้หญิงคนนั้นให้พบให้จงได้ เธอจึงหันไปหาเบนอีกครั้งและบอกเขาว่า “ยืนอยู่เป็นเพื่อนแม่เดี๋ยวนะเบน”
“ครับ”
แต่แอ๊บบี้ไม่รอฟังคําตอบจากเขา เธอเดินแทรกเข้าไปในหมู่คนข้างบริเวณหลุมฝังศพ หยุดทักทายกับคนนี้ รับการสัมผัสมือแสดงความเสียใจจากคนนั้น ผงกศีรษะยิ้มอย่างอ่อนโยน และกล่าวคําขอบคุณกับผู้ที่แสดงความเสียใจเป็นระยะๆ ขณะเดียวกัน ก็สอดส่ายสายตามองหาผู้หญิงคนนั้น
ขณะที่เธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงออกจากบริเวณสุสานไปแล้ว แอ๊บบี้เหลือบไปเห็นว่าที่จริงแล้วหล่อนยังอยู่ เพียงแต่เป็นรอบนอกของหมู่คนเท่านั้น อีกครั้งหนึ่งที่เธอรู้สึกหวั่นไหวต่อรูปลักษณ์ความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างตัวเองกับหล่อนผู้นั้น และที่ยืนอยู่เคียงข้างหล่อนคือแมรี่ โจ แอนเดอร์สัน เลขานุการฝ่ายกฎหมายของพ่อซึ่งมีเรือนผมสีเทาแล้ว ทั้งตกใจและสับสนในความคิดที่แอ๊บบี้จ้องมองคนทั้งสองอย่างรู้ว่าแมรี่ โจพูดอะไรอยู่กับหล่อนคนนั้น หรือว่ารู้จักว่าหล่อนเป็นใคร?
มือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาแตะต้นแขนพร้อมกับเสียงห้าวลึกดังขึ้นใกล้ตัว
“คุณลอว์สันใช่มั้ยครับ? คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”
“อะไรนะคะ” เธอหันไปมองผู้ชายร่างสูงเรือนผมสีดําที่กําลังจับแขนเธอ
“ผมถามคุณว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า?” มุมปากที่ปิดบังด้วยไรหนวดหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างสุภาพ แต่ดวงตาคู่นั้นคมปลาบยามที่พิจารณาสีหน้าของเธอ
“ฉัน...เอ่อ...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอพยายามปัดความรู้สึกที่หลอกตัวเองอยู่ออกไปให้พ้นจิตใจและหันมาให้ความสนใจกับเขาอย่างเต็มที่ มีความรู้สึกว่าคุ้นๆ หน้าเขาอยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาได้ เธอเอี้ยวตัวไปมองผู้ชายคนนั้นกําลังประคองเอวเธอไว้พร้อมกับบอกว่า
“ผมว่าคุณควรนั่งพักก่อนดีกว่านะครับ” เขาทําท่าจะรุนร่างเธอให้เดินไปยังทิศทางตรงข้าม แต่แอ๊บบี้ขืนตัวไว้อย่างต่อต้าน
“ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าไม่เป็นอะไร” แต่กระนั้น เธอก็จําต้องเดินเคียงข้างเขาไปยังเก้าอี้พับตัวที่ตั้งอยู่ แต่พอไปถึงตรงนั้นเธอก็เพียงหยุดยืนอยู่ไม่ยอมให้เขาบังคับให้เธอต้องนั่งลง “ฉันสบายดีค่ะ” เธอยืนยันอีกครั้ง
เขาทําท่าเหมือนพิจารณาสีหน้าและท่าทางของเธออย่างไม่ยอมเชื่อในคําพูด เอียงคอมอง แต่ก็ปล่อยมือที่โอบสะเอว
“แต่สีหน้าของคุณไม่ได้บอกว่าสบายดีอย่างที่พูดเลยนะครับ คุณลอว์สัน เมื่อครู่นี้ สีหน้าคุณซีดเผือดเหมือนจะเป็นลมด้วยซ้ำ”
น่าจะเป็นคําพูดตรงๆ ของเขามากกว่าภาพของแมรี่ โจ แอนเดอร์สัน ที่เดินออกห่างจากบริเวณหลุมฝังศพเพียงลําพังที่ทําให้แอ๊บบี้หันมาให้ความสนใจกับเขาอย่างเต็มที่ เธอคิดว่าตัวเองเคยเรียนรู้วิธีการอําพรางความรู้สึกทั้งมวลไว้มาเป็นเวลาแรมปี แต่บางที มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลสําหรับเรื่องนี้ หรือไม่เขาก็คงเป็นคนที่ชอบจับสังเกตมากกว่าใครคนอื่นก็เป็นได้
จะด้วยประการใดก็ตาม แอ๊บบี้จําเป็นต้องปกปิดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไว้ก่อน
“ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอากาศมันร้อนเกินไปก็ได้ค่ะ”
“ร้อนจริงๆ เสียด้วยสิครับ” ผู้ชายคนนั้นพยักหน้ารับรองคําพูดของเธอ แต่แอ๊บบี้ไม่คิดว่าเขาคล้อยตามการกล่าวโทษดินฟ้าอากาศตามแบบของเธอขณะเขากวาดสายตาไปทั่วใบหน้าของเธอ แววตาคู่นั้นยังคงคมปลาบและเต็มไปด้วยการพินิจพิจารณา ซึ่งการกระทําดังกล่าวเท่ากับเป็นการสนับสนุนความเชื่อที่ว่าเธอเคยพบเขามาก่อนหน้าแล้วให้มั่นคงยิ่งขึ้น
“แต่ตอนนี้ ฉันสบายดีแล้วค่ะ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง...” เธออึ้งอยู่นึกไม่ออกว่าเขาชื่ออะไร
“ไวล์เดอร์ครับ ผมชื่อแม็คเครีย ไวล์เดอร์” ชื่อนั้นมิได้เตือนความจําส่วนไหนให้ปรากฏชัดขึ้นเลยและดูเหมือนเขาเองก็จับความรู้สึกของเธอได้ “เราเคยพบกันชั่วขณะหนึ่งเมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาในห้องทํางานของคุณพ่อคุณไงครับ”
ตอนนั้นเองแอ๊บบี้นึกขึ้นมาได้ เธอมองเห็นภาพเขานั่งอยู่ในเก้าอี้นวมตัวใหญ่ในห้องทํางานส่วนตัวของพ่อ นึกถึงสีหน้าที่บอกความไม่พอใจของเขาตอนเธอเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง โดยไม่มีการบอกกล่าวให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดจังหวะการสนทนาระหว่างเขากับพ่อลงโดยปริยาย เธอนึกถึงท่าทางเขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และจับตามองดูเธอขณะปลาย นิ้วลูบไล้เรียวหนวดเหนือริมฝีปาก บ่ายวันนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีกากีแขนพับขึ้น กระดุมตรงคอเสื้อไม่ได้กลัดให้เรียบร้อยเธอยังจํามัดกล้ามตรงต้นแขน ผิวเนื้อที่ราวกับหล่อออกมาจากทองสําริดและความกว้างของช่วงไหล่ได้เป็นอย่างดี
แต่ดูเหมือนยังมีสิ่งอื่นอีก แอ๊บบี้ขมวดคิ้วพยายามคิดให้ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ เธอสูดลมหายใจลึกได้กลิ่นโคโลญจ์ที่เขาใช้อบอวลอยู่ใกล้ตัว
“น้ำมัน” สิ่งที่ประสมประสานอยู่กับกลิ่นหอมจากกล้องยาเส้นของพ่อคือกลิ่นไอของน้ำมัน “ดูเหมือนวันนั้นคุณคุยอยู่กับพ่อเรื่องน้ำมันใช่มั้ยคะ?”
“ก็ทํานองนั้น ผมดีใจมากที่คุณยังจําได้”
“งั้นหรือคะ?” ท่าทางของเขาดูไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของคําสรรเสริญเยินยอเท่าไรนัก
“มีผู้ชายคนไหนบ้างล่ะครับไม่ดีใจเมื่อผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณจดจําแม้ในเรื่องที่เขากําลังสนทนาอยู่ ทั้งๆ ที่พบกันเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น?”
“ก็คงมีบ้างหรอกค่ะ” แอ๊บบี้ไม่ยอมหลงไปกับเสน่ห์แห่งคําหวานที่เขากล่าวออกมา เธอมีความสามารถในการอ่านคนได้พอตัวทีเดียว
“ยกตัวอย่างเช่น อดีตสามีของคุณกระมังครับ?”
สัญชาตญาณอีกกระมังที่ทําให้แอ๊บบี้ยกมือขวาขึ้นกุมมือซ้ายที่ว่างแหวน หวนนึกถึงแหวนแต่งงานที่ตัวเรือนทําด้วยทองคําขาวตรงกลางประดับด้วยพลอยไพลินขนาดสามกะรัตล้อมเพชรพราว เป็นแหวนวงที่เธอเลือกมาจากร้านทิฟฟานี่หลังจากเธอกับคริสโตเฟอร์ จอห์นแอทเวลล์ร่วมรับประทานอาหารเช้าอย่างสุดแสนโรแมนติกที่ร้านบนถนนฟิฟท์ อเวนิวในนิวยอร์ก เพียงแต่เวลานี้มันมิได้ประดับอยู่บนนิ้วนางของเธออีกต่อไป เมื่อสิบเดือนก่อนเธอขว้างมันใส่หน้าเขา มองดูหัวแหวนที่กระเด็นหลุดออกจากตัวเรือนเฉกเช่นเดียวกับชีวิตแต่งงานหกปีที่ต้องล่มสลายลง เธอเดินออกจากบ้านที่อยู่ด้วยกันมาที่เลซี่เลนในฮิวสตัน’ส ริเวอร์โอ๊ก ตอนบ่ายวันนั้น เธอย้ายกลับมาอยู่ริเวอร์เบนด์และหันกลับมาใช้ชื่อเดิมเมื่อสมัยยังเป็นนางสาวอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่สร้างความรานร้าวให้กับเธอไม่น้อยเลย แต่แอ๊บบี้ก็ไม่ปรารถนาชีวิตแต่งงานที่ไร้ความสุขเช่นกัน
กระนั้น เธอก็รู้สึกไม่พอใจที่เขาล่วงล้ำเข้ามาในเรื่องส่วนตัวของเธอ