บทย่อ
แอ๊บบี้ ลอว์สัน กับ ราเชล ฟาร์ ต่างกําความลับในประวัติชีวิตของเธอแต่ละคนไว้ และต่างเป็นสาวสวยที่ถือกําเนิดในวันเดียวกัน ทั้งยังมีพ่อคนเดียวกันอีกด้วย เพียงแต่ว่า คนหนึ่งนั้นได้รับการจดทะเบียนรับรองเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย.... ในวันประกอบพิธีฝังศพ ดีน ลอว์สัน ซึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัย 56 นั้น แอ๊บบี้ ลอว์สัน บุตรสาวคนเดียวของเขาได้สังเกตเห็นว่ายังมีหญิงสาวอีกผู้หนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเธออย่างน่าตกใจ หลังจากนั้นไม่นาน แอ๊บบี้ จึงได้รู้ความจริงว่าหญิงสาวคนนั้นคือบุตรสาวอีกคนหนึ่งของพ่อ ที่เกิดจากอีกภรรยาหนึ่งซึ่งเป็นศิลปิน และนับแต่วาระนั้น ที่สองสาวต่างพยายามที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า ตนเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายของ ดีน ลอว์สัน โดยมีทั้งอสังหาริมทรัพย์ คอกม้าพันธุ์อาหรับสายเลือดตรง และทรัพย์สินมากมายมหาศาลเป็นเดิมพัน ที่สําคัญเหนืออื่นใด ต่างฝ่ายต่างพยายามจะพิสูจน์ให้ได้ ว่าตนนั้นเป็นลูกสาวสุดที่รักของพ่อแต่เพียงผู้เดียว!!! -------------------------------
บทที่ 1
แสงแดดส่องลอดกิ่งก้านของต้นโอ๊กใหญ่ที่ใบของแต่ละต้นในบริเวณนั้นสอดประสานกันอยู่แน่นขนัดเป็นครอบโค้งแต่งแต้มจุดสีทองดารดาษลงบนอนุสาวรีย์หินอ่อนเหนือที่ดินส่วนหนึ่งในสุสานฮิวสตันซึ่งเป็นของตระกูลลอว์สัน อนุสาวรีย์รูปทรงเรียวแหลมแบบโบราณนี้ตั้งเด่นเป็นสง่ามาเป็นเวลานานกว่าร้อยปีเพื่อพิทักษ์หลุมฝังศพของบุคคลในตระกูลลอว์สันคนแรกซึ่งต้องฝังร่างลงในแผ่นดินเท็กซัส และเพื่อเป็นที่ระลึกถึงลอว์สันคนอื่นๆ ผู้ซึ่งต้องไปเสียชีวิตห่างไกลจากเท็กซัสตะวันออกอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่อรับใช้ประเทศชาติด้วยความภาคภูมิใจ และบัดนี้ ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหายได้มารวมอยู่เหนือบริเวณหลุมฝังศพที่เปิดขึ้นรองรับร่างของสมาชิกอีกผู้หนึ่งของตระกูลเขา คือโรเบิร์ต ดีน ลอว์สัน จูเนียร์ ซึ่งทุกคนรู้จักเขาในชื่อที่เรียกกันจนติดปากว่า ‘ดีน’
ในความรู้สึกของแอ๊บบี้การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของบิดาเป็นสิ่งที่ยากจะทําใจให้ยอมรับได้ เจ้าหน้าที่ตํารวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ และอ้างว่าเขาขับรถเร็วมากจึงพุ่งเลยโค้งไป ขณะนั้น พ่อของเธอกําลังขับรถจากสนามบินกลับมาบ้าน ภายหลังจากที่ได้เดินทางไปติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจในลอสแองเจลิส เขาเสียชีวิตลงในที่เกิดเหตุทันทีด้วย คําบอกเล่าดังกล่าวที่แอ๊บบี้ได้รับฟังมา มันคล้ายกับมีเจตนาที่จะให้เธอสามารถยอมรับในความตายของพ่อได้ง่ายขึ้น
แต่โดยความจริงแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย ความเจ็บปวดรวดร้าวและความเศร้าเสียใจหนักหนากว่านั้นมาก เนื่องจาก เธอไม่มีโอกาสได้พูดกับพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีโอกาสบอกให้พ่อได้รับรู้ว่าเธอรักพ่อมากเพียงไร และบางที...บางที เธออาจจะได้ยินพ่อบอกกับเธอว่าพ่อเองก็รักเธอมากด้วย
มันอาจจะฟังเป็นเรื่องโง่เขลา มันอาจจะดูเป็นการกระทําอย่างเด็กๆ ที่จะยอมรับในเรื่องอย่างนี้ แต่กระนั้น มันก็ยังเป็นความจริง ขณะนี้ แม้ว่าเธออายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าจะโตจนไม่อาวรณ์หาความรักจากพ่ออีกต่อไป ไม่ว่าเธอใช้ความพยายามเข้าไปใกล้พ่อสักเพียงไรมันก็คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามากางกั้นไว้ แม้วันเวลาแห่งการต่อสู้จะผ่านไปเป็นปี แต่ก็ยังไม่สามารถทําลายปราการที่ขวางกั้นลงได้อยู่ดี
ในความร้าวรันทดแอ๊บบี้เงยหน้าขึ้นจากโลงใส่ศพของพ่อซึ่งประดับด้วยผ้าคลุมสีเหลืองสดอันเป็นสีกุหลาบแห่งเท็กซัสและกวาดสายตามองไปยังกลุ่มผู้คนที่มาร่วมชุมนุมเพื่อเป็นการคารวะแก่ผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย ลึกลงไปในใจ เธอจําต้องยอมรับว่าผู้คนที่มาร่วมพิธีในวันนี้ดูน้อยกว่าเมื่อครั้งงานศพของปู่ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อสิบเก้าปีที่ผ่านมามาก เพราะในครั้งนั้นแม้แต่ผู้ว่าการรัฐก็ยังมาร่วมพิธีด้วย
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหมายกันไว้แล้ว อาร์.ดี. ลอว์สัน ปู่ของเธอได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจํานวนผู้บุกเบิกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมัน เขาเป็นผู้เดียวที่กอบกู้ฐานะของครอบครัวให้กลับเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งขึ้นภายหลังจากที่ต้องผจญกับวิกฤติกาลในยุคฟื้นฟูที่ติดตามมาจากสงครามกลางเมือง
ปู่เป็นบุคคลที่มีความเที่ยงตรง ฉลาดหลักแหลมและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นคุณสมบัติประจําตัวของปู่เท่าที่แอ๊บบี้จําได้ แม้ว่าตอนที่ท่านตายเธอยังเด็กอยู่มากอายุเพียงแค่แปดขวบเท่านั้นก็ตาม ถ้าจะพิจารณาจากเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับตัวท่านที่เธอเคยได้ยินได้ฟังมา ยังมีบุคลิกอันเป็นเสน่ห์ประทับใจผู้คนที่ได้พบเห็นอีกด้วยและบางครั้งก็โหดเหี้ยมถ้าจะต้องให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการมา ในระยะแรกเริ่มของธุรกิจการค้าน้ำมันบางครั้งคนเราก็จําเป็นที่จะต้องทําเพื่อตนเองไว้ก่อน
แต่ทว่า ตระกูลลอว์สันมิได้เป็นมหาเศรษฐีจากการค้าน้ำมัน เมื่อใดก็ตาม ที่ใครสักคนกล่าวเป็นนัยทํานองนี้กับแอ๊บบี้ซึ่งมีชื่อเต็มว่าแอ๊บบิเกล หลุยส์ ลอว์สันตามชื่อของย่า เธอมักจะหยิบยกคําพูดประโยคที่ปู่โปรดปรานขึ้นมากล่าว ปู่เคยพูดกับเธออยู่เสมอว่า
“เราไม่ได้สร้างฐานะขึ้นมาจากน้ำมันหรอกหลานเราหาเงินจากโคลนตมต่างหากล่ะ”
สีหน้าที่บอกความแปลกใจของคนเหล่านั้นทําให้เธอหัวเราะออกมาทุกครั้ง จากนั้น เธอจึงอธิบายถึงความหมายของคําว่า “โคลนตม” ว่าเป็นคํานามที่ใช้กับของเหลวที่ถูกขุดเจาะขึ้นมาใส่ไว้ในบ่อเพื่อเอาไปกลั่นออกมาเป็นน้ำมันอีกทอดหนึ่ง
ในสมัยแรกเริ่มของการขุดเจาะน้ำมันด้วยเครื่องยนต์โรตารี่ส่วนผสมของดินกับน้ำซึ่งเรียกตามตัวอักษรว่าโคลนจะถูกดูดขึ้นมาใส่ไว้ในบ่อ ต่อมาจะมีการเพิ่มแบไรท์และเบนโทไนท์เข้าไปในส่วนผสมเพื่อเพิ่มน้ำหนักขึ้น ในตอนปลายปี 1920 หลังจากที่ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันตามบ่อต่างๆ ในเท็กซัสเจริญรุ่งเรืองขึ้นถึงขีดสุด อาร์.ดี. ลอว์สันค้นพบสูตรพิเศษสําหรับ “โคลน” ที่เขาขุดขึ้นมาและทําธุรกิจด้านการตลาดด้วยตนเอง เริ่มต้นจากการตั้งบริษัทเล็กๆ ขึ้นมาบริษัทหนึ่ง และในที่สุด มันก็ได้รับการขยาย จนกระทั่ง กลายเป็นบริษัทหุ้นส่วนมีมูลค่านับหมื่นล้าน
หลังจากปู่ตายลงและพ่อของเธอขายหุ้นของตนในบริษัทดังกล่าวไป บทบาทของบุคคลในตระกูลลอว์สันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้ พวกเขามิได้เป็นสมาชิกของอุตสาหกรรมการค้าน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ไพศาลอีกต่อไป เมื่อปราศจากอํานาจของบริษัทที่รองรับเป็นฐานอยู่อิทธิพลในสังคมก็พลอยลดตามไปด้วย สัมพันธภาพที่เคยมีกับอดีตหุ้นส่วนที่เคยร่วมงานกับอาร์.ดี.ก็แทบไม่เหลือเลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานะและความมั่งคั่งในธนสารสมบัติ บุคคลในตระกูลลอว์สันยังดูมีอิทธิพลและบทบาทสําคัญในสังคมแห่งเมืองฮิวสตันอยู่ ซึ่งก็เห็นประจักษ์ด้วยจํานวนของชาวเท็กซัสผู้มีฐานะทั้งหลายที่มาร่วมอยู่ในพิธีศพครั้งนี้
เมื่อมองไปตามใบหน้าของบรรดาผู้รู้จักมักคุ้นแอ๊บบี้คิดอยู่ในใจ ว่ามันออกจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกถ้าจะมีใครสักคนสังเกตถึงความรู้สึกที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าของคนทั้งหลายในเวลาเช่นนี้ มันคล้ายกับว่าผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จําเป็นต้องได้รับคำรับรองในความสําคัญของบุคคลผู้เป็นที่รัก ซึ่งต้องมาตายลง การรับรองและการประกาศเจตจํานงดังกล่าวสามารถวัดได้ก็เพียงจํานวนของผู้มีอิทธิพลที่มาร่วมในพิธีฝังศพนี่เท่านั้น
เมื่อสังเกตจากปลายหางตาว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นใกล้ตัว ขณะที่แม่สอดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปใต้เวลล์สีดําและซับหยาดน้ำตาอยู่ แอ๊บบี้หันไปหาแม่และในเกือบจะขณะเดียวกัน เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงวัยสาวคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้กับแท่นอนุสาวรีย์ หน้าตาของหล่อนผู้นั้นดูคุ้นเคยสายตาอยู่มาก จนกระทั่ง แอ๊บบี้ต้องเหลียวมองซ้ำ เธอจ้องหน้าหล่อนอย่างตกใจจนหน้าซีด ความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างตัวเธอเองกับหล่อนผู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้ความสังเกตก็เห็นได้อย่างชัดเจน
“บัดนี้...ขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานร่วมกัน” เสียงบาทหลวงผู้ประกอบพิธีเอ่ยขึ้น ศีรษะโน้มต่ำลงเบื้องหน้าโลงศพปิดฝาสนิทนั้น “ข้าแต่พระองค์ เราทุกคนมาอยู่ร่วมกันในสถานที่แห่งนี้เพื่อที่จะได้วางร่างของผู้รับใช้พระองค์ผู้นี้นามว่าดีน ลอว์สัน บุรุษผู้เป็นสามีและพ่อสุดที่รัก...”
แอ๊บบี้อาจจะได้ยินเสียงคํากล่าวอธิษฐานของบาทหลวงผู้นั้น แต่ทว่า สมองไม่ได้บันทึกถ้อยคําทั้งหลายลงไว้ในความทรงจําเลย เธอตื่นตระหนกตกใจมากเกินไปที่ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นรวมอยู่ในกลุ่มคนที่มาร่วมไว้อาลัยในครั้งนี้ไม่น่าเป็นไปได้เลย มันจะเป็นเช่นนั้นไปไม่ได้...เธอครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกปั่นป่วนอยู่ในสมองพยายามข่มความหนาวเยือกเย็นที่กําลังไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
ขณะที่หล่อนผู้นั้นยืนอยู่ด้วยศีรษะที่คุ้มต่ำ สายลมอ่อนพัดเป่าปอยผมที่เป็นสีน้ำตาลเข้มอยู่รอบใบหน้า มันเป็นสีผมเฉดเดียวกับของแอ๊บบี้ แต่ทว่า สีในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นมากกว่าที่ทําให้จิตใจของแอ๊บบี้กําลังหวั่นไหวอยู่ในเวลานี้ มันเป็นสีฟ้าเข้มสดใส แฝงความลึกลับไว้ราวความลึกแห่งห้วงมหาสมุทร เป็นสีเดียวกับดวงตาของเธอ ปู่เรียกสีในดวงตาแบบนี้ว่า “ลอว์สันบลู” พร้อมกับกล่าวอวดอ้างว่าความเข้มของสีตาบุคคลในตระกูลนี้ “เข้มเสียยิ่งกว่าสีหมวกบลูบอนเนทท์ที่ชาวเท็กซัสสวมใส่ด้วยซ้ำ”
แอ๊บบี้กําลังมีความรู้สึกว่าขณะนี้เหมือนกับเธอกําลังยืนอยู่หน้ากระจกเงาคุณภาพไม่ดีและเห็นภาพสะท้อนของตัวเองปรากฏอยู่ในนั้นอย่างไม่สมบูรณ์นัก มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่อาจบอกได้ว่าควรจะเรียกว่าอะไร เธอยกมือขึ้นลูบเรือนผมของตัวเองอย่างไม่รู้ตัวคล้ายกับต้องการคํายืนยันว่ามันถูกหวีตลบเลยไปข้างหลังและมุ่นเกล้าเป็นมวยแบบฝรั่งเศสอยู่ในที่ทางเรียบร้อยมิได้หลุดเลื่อนลงมาสยายประบ่าเหมือนผู้หญิงคนที่กําลังยืนอยู่ฟากตรงข้ามคนนั้น...หล่อนเป็นใครกัน?
เมื่อคําถามประโยคนั้นกู่ตะโกนซ้ำๆ ซากๆ อยู่ในหัวใจ จนทนไม่ได้อีกต่อไป แอ๊บบี้เอนร่างเข้าไปหาเบนนีไดค์ จาบลอนสกี้ ผู้จัดการฟาร์มม้าพันธุ์อารเบียน ซึ่งตั้งอยู่ที่ริเวอร์เบนด์ อันเป็นบ้านเกิดของลอว์สันซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮิวสตัน แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามเขาเกี่ยวกับผู้หญิงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนประจักษ์กับสายตาอยู่ในเวลานี้ว่ามีหน้าตาเหมือนเธอราวกับแกะเสียง “อาเมน” ก็ดังกระหึ่มขึ้นอันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า บัดนี้ การชุมนุมอธิษฐานเพื่อจิตวิญญานของผู้ตายเหนือหลุมฝังศพเสร็จพิธีลงแล้วและผู้มาร่วมไว้อาลัยซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่เมื่อครู่ก็เริ่มขยับตัว ผู้หญิงคนนั้นหายไปจากสายตาของแอ๊บบี้แล้ว ในช่วงขณะหนึ่งหล่อนเข้ามายืนอยู่ตรงนั้น แต่นาทีต่อมาหล่อนหายตัวไปแล้ว...หายไปไหนกัน? ทําไมหล่อนถึงหายตัวไปได้รวดเร็วถึงเพียงนี้? และหล่อนเป็นใครกันแน่?