บทที่ 5 (1)
“สวัสดีลลิน”
บุรุษรูปร่างใหญ่โตที่ยืนเด่นตระหง่านอยู่ตรงกลางช่องประตู ใบหน้าคมเข้มที่จ้องมองเขม็งลอดแว่นตาดำ ทำเอาพิมพ์นาราถึงกับผงะถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบตะกุกตะกัก
“เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ...คุณลลินเพิ่งไปสนามบินเมื่อสักครู่ค่ะ”
นายหัวราเมศวร์คลี่ยิ้มเย็น ก่อนจะถอดแว่นตาออกอย่างช้าๆ ให้หญิงสาวตรงหน้าได้เห็นดวงตาของตนเองอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นเธอก็คือพิมพ์นารา...”
สุ้มเสียงที่เรียกหญิงสาวนั้นเย็นยะเยือก นายหัวยอมรับว่าพิมพ์นาราดูสวยอ่อนหวานกว่าตอนที่เห็นในทีวีมาก แต่ทว่าในความอ่อนหวานนั้น นายหัวสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งที่มาพร้อมกับความงดงามของเธอ
คราวนี้พิมพ์นาราถึงกับมือไม้สั่นเทา ขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วปะทะกับดวงตาสีสนิมที่เต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความแค้น ซึ่งเธอออกจะงุนงงอยู่ไม่น้อยว่าชายคนนี้โกธรเธอด้วยเหตุผลอันใด ถึงได้มองเธอด้วยสายตาเช่นนี้
“เอ่อ...ค่ะ ฉันชื่อพิมพ์นาราค่ะ”
พิมพ์นาราจำใจต้องเอ่ยตอบออกมาในที่สุด เมื่อถูกบังคับให้พูดด้วยสายตาคมกริบที่จ้องมองเธอเขม็งอย่างไม่กะพริบตา
“คุณมีธุระกับคุณลิลลี่หรือเปล่าคะ ถ้าใช่...ก็คือต้องรอหลายวันหน่อย เพราะคุณลิลลี่เธอเพิ่งไปทัวร์ยุโรปกับคนรัก”
ขณะเอ่ยบอกเสียงสั่นเพราะความหวาดกลัว พิมพ์นาราก็ก้าวถอยหลังเข้าไปในห้องทีละก้าว เพราะถูกคนตัวใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นก้าวประชิดเข้ามาใกล้ จนเธอจำใจต้องการถอยหลัง ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ชายผู้นี้เข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย
“ผมมีธุระกับพวกคุณทั้งสองคน แต่เมื่อลิลลี่ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร คนนั้นไว้คิดบัญชีทีหลังก็ได้ ตอนนี้เอาคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนก็แล้วกัน”
นายหัวราเมศวร์รุกฆาตเข้าหาพิมพ์นาราทีละก้าว ราวกับกำลังเล่นเกมแมวไล่จับหนู ในขณะเดียวกันพิมพ์นาราก็ถอยหนีไปรอบห้องนั่งเล่น ไม่เข้าใจว่าชายคนที่เธอยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันเรียกรปภ.แน่”
พิมพ์นาราขู่ฟ่อ เหลือบสายตามองโทรศัพท์ที่อยู่ห่างไปหลายสิบก้าว แล้วพยายามถอยหลังไปให้ได้ใกล้ที่สุด
เจ้าของนัยน์ตาสีสนิมยิ้มเยาะ ไม่ได้หวาดกลัวกับคำขู่ของหญิงสาวสักนิด “ร้องให้ตายก็ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอกนังผู้หญิงแพศยา!”
พิมพ์นาราขมวดคิ้วเข้าหากัน ชายคนนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เธองุนงง เขาต้องเข้าใจอะไรผิดอย่างแน่นอน เพราะเธอไม่เคยเป็นอย่างที่อีกฝ่ายตะโกนด่ามา แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ว่าเขาจะเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก เธอก็อยากให้ชายหนุ่มร่างกำยำคนนี้ได้ออกไปจากห้องของเธอเร็วๆ เพราะตอนนี้เธอหวาดกลัวสายตาของอีกฝ่ายจนมือไม้อ่อนแรงไปหมดแล้ว
“คุณ! ออกไป! ฉันบอกให้ออกไป!”
หญิงสาวตะโกนสั่งพร้อมกับกระโจนไปคว้าโทรศัพท์ แต่เธอก็ยังช้ากว่านายหัวหนุ่มที่ก้าวเท้ายาวๆ แค่เพียงครั้งเดียว ก็สามารถคว้าร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งราวกับเหล็กไหลได้
“กรี๊ด!!!!! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
พิมพ์นารากรีดร้องเสียงหลง ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อร่างของเธอถูกโยนลอยหวืดราวกับวัตถุไร้น้ำหนักไปยังโซฟาที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมาร่างกำยำล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้าม ก็กระโดดมาทาบทับกดร่างเธอไว้แน่นจนหายใจไม่ออก
“ปล่อย...ใครก็ได้ช่วย...”
นายหัวราเมศวร์ไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กนุ่มนิ่มใต้เรือนกายตนเองได้ตะโกนร้องต่อ มือใหญ่ยกขึ้นปิดเรียวปากสีกุหลาบซึ่งดูท่าว่าจะหวานฉ่ำอยู่ไม่น้อยไว้แน่น จากนั้นก็ลดใบหน้าลงต่ำจนกระทั้งปลายจมูกโด่งเป็นสัน สัมผัสบางเบากับจมูกเล็ก ดวงตาที่เต็มไปด้วยไฟแค้นจ้องมองคนตัวเล็กเขม็ง ก่อนจะเอ่ยเยาะหยันเสียงลอดไรฟัน
“ก็บอกแล้วว่าต่อให้ร้องให้ตาย ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้พิมพ์นารา”
ขณะเปล่งเสียงออกมา นายหัวหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ กับร่างนุ่มหอมกรุ่นที่อยู่ใต้เรือนกาย ดวงตากลมโตสุกใสที่จ้องมองอย่างตื่นตระหนก ทำให้เขานึกถึงกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตกใจเมื่อเห็นนายพราน แต่ให้ตายเถอะ! กระต่ายพวกนั้น มันไม่ได้หอมละมุนละไม ผิวกายนุ่มนิ่มชวนให้เลือดอุ่นๆ ในกายของเขาพุ่งพล่านเช่นดั่งหญิงสาวคนนี้
“ปล่อยนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่เคยทำอะไรให้คุณเจ็บแค้น คุณจะมาทำร้ายฉันทำไม”
พิมพ์นาราพยายามตะโกนร้อง แต่เพราะยังถูกปิดปากไว้แน่น เสียงที่เปล่งมาจึงกลายเป็นอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวดวงตาสีสนิทที่จ้องมองเขม็ง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวาบหวิวหายใจติดขัดทุกครั้งที่ลมหายใจร้อนๆ ได้เป่ารินรดตรงพวงแก้มแดงปลั่ง
“ปล่อย!!!”
คนตัวเล็ก พยายามดีดตัวขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการแข็งแกร่ง โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของเธอนั้นเป็นยิ่งกว่าการยั่วยวนให้เพลิงสวาทในกายของนายหัวหนุ่มได้ลุกพรึบขึ้นมาฉับพลัน
นายหัวราเมศวร์ยอมลุกขึ้นจากร่างบางหอมละมุน แต่หาใช่เพราะคำสั่งของพิมพ์นาราไม่ ที่เขายอมปล่อยให้คนใต้เรือนร่างเป็นอิสระนั้น เป็นเพราะกำลังโกธรตัวเองที่ปล่อยให้ไฟสวาทเข้ามาแทนที่ไฟแค้นที่ตนเองสั่งสมมานาน จนทำให้ตัวเขาลืมไปชั่วขณะว่ามาที่นี่ทำไม
“ลุกขึ้น แล้วนั่งนิ่งๆ หากเธอร้องตะโกนโวยวาย เธอจะได้กินลูกตะกั่วแน่”
ไม่ได้เอ่ยขู่แค่ปาก แต่มือใหญ่ได้ดึงมัจจุราชสีดำมะเมื่อมออกมาจากซอกเอวมาขู่ให้พิมพ์นาราได้เห็นด้วย จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมหิ้วปีกคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นตาม
พิมพ์นาราเบิกตาโต เมื่อได้เห็นปีนพกในมือของชายร่างยักษ์ หญิงสาวลุกขึ้นตามแรงฉุดของอีกฝ่าย พอวางเท้าจะหยัดกายยืนขึ้น ก็ไร้เรี่ยวแรงจนล้มไปกองอยู่แทบเท้าคนตัวใหญ่
“ถึงกับกลัวจนไม่มีแรงเดินเลยหรือสาวน้อย” นายหัวราเมศวร์เยาะหยัน ก่อนจะคว้าแขนเล็กแล้วกระชากให้ลุกขึ้นอย่างไม่ปราณี
พิมพ์นาราจุกจนพูดไม่ออก ตอนที่ถูกกระชากให้ไปชนแผงอกกว้างแข็งแกร่งราวกับกำแพงมนุษย์ มือเล็กพยายามยันกับอกกว้าง ไม่ให้เรือนร่างตนเองแนบไปกับความร้อนผะผ่าวของเรือนกายกำยำ
“คุณ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจให้จับคุณ”
นายหัวราเมศวร์หัวเราะในลำคอ ยอมรับว่าอดีตคนรักของน้องชายนั้นสวยจับใจ ซึ่งสวยกว่าลิลลี่คนที่เป็นนางเอกเสียอีก คงเป็นเพราะความสวยที่อาบไว้ด้วยยาพิษของผู้หญิงแพศยาทั้งสองคน ที่ทำให้รามิลหลงจนหัวปักหัวปำยอมทุ่มเททุกอย่างให้กับพวกเธอ
“ต่อให้มีตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าฉันก็ไม่กลัวหรอกพิมพ์นารา...เดินไป! ถึงเวลาที่เธอต้องไปรับโทษทัณฑ์ที่เธอกับน้องสาวร่วมกันทำไว้แล้ว”
นายหัวหนุ่มใช้ปืนจี้ตรงสีข้างของหญิงสาวแล้วบังคับให้เดินไปที่ประตูห้อง ซึ่งตอนนี้มีกวินต์ยืนเฝ้าอยู่
ความเย็นยะเยือกของมัจจุราชร้ายที่กดแนบอยู่ตรงซอกเอว เป็นตัวบังคับให้พิมพ์นาราจำใจเดินไปที่ประตูห้อง แต่กระนั้นก็ไม่วายหลุดปากออกมาค้านคำพูดของอีกฝ่าย
“ฉันไม่เคยทำร้ายคุณหรือครอบครัวคุณนะ คุณจับผิดคนแล้ว”
“ถ้าเธอคือพิมพ์นารา พี่สาวของลลินนางเอกชื่อดัง ก็ไม่ผิดคนแน่ เสียดายวันนี้เอาตัวคนผิดมาได้แค่คนเดียว แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ลลินกลับมาจากเสพสุขเมื่อไร มันจะได้รับการลงทัณฑ์ที่ไม่ต่างจากเธอแน่นอน”
นายหัวราเมศวร์ผลักร่างบางให้เข้าไปในลิฟต์ นับว่าโชคยังเข้าข้างเขาอยู่มาก ที่ไม่มีคนใช้ลิฟต์ร่วมกับพวกเขาใน
ขณะนี้
พิมพ์นาราพยายามถอยไปจนชิดผนังลิฟต์ที่เย็นเฉียบ แต่ไม่ว่าเธอจะถอยไปยืนตรงไหนก็ถูกร่างใหญ่กำยำของ
ชายผู้นี้ตามประกบไม่ห่าง หญิงสาวลอบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกสะดุดหูไม่น้อยกับคำพูดของอีกฝ่าย พอสังเกตใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาก็รู้สึกราวกับว่าเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“ไงพิมพ์นารา ผมหล่อใช้ได้พอที่จะเป็นผู้ชายหน้าโง่ในสต็อกของเธอไหม”
นายหัวราเมศวร์ยิ้มเยาะตรงมุมปาก รู้ตัวตลอดเวลาว่าถูกอีกฝ่ายลอบสังเกตตั้งแต่หัวจรดเท้า จะว่าไปแล้วเขารู้สึกเสียดายหญิงสาวอยู่ไม่น้อย ที่ใช้ความงดงามของตนเองไปในทางที่ผิด แต่ก็อย่างว่า...ตอนนี้ผู้หญิงหลายคนใช้ความสวยความงามของตนเองเป็นบันไดลัด ในการไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ