บทที่ 5 (2)
“ฉันไม่มีผู้ชายในสต็อกอย่างที่คุณพูด”
พิมพ์นาราถึงกับสะอึก กระชากเสียงตอบอย่างโกรธๆ เกิดมาไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่ปากจัดอย่างผู้ชายคนนี้มาก่อน
“เวลาพูดโกหก เคยละอายใจตัวเองบ้างไหมพิมพ์นารา”
อีกครั้งที่พิมพ์นาราต้องสะอึกกับคำด่าของชายร่างยักษ์ หญิงสาวพยายามค้นหาคำตอบให้ตนเองว่าเคยไปมีเรื่องกับชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไร อีกฝ่ายถึงได้แค้นเคืองเธอหนักหนา
“ทำไมต้องละอายด้วย ก็ในเมื่อสิ่งที่ฉันพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น” แม้จะหวาดกลัวชายผู้นี้มาก แต่พิมพ์นาราก็อดไม่ได้ที่จะโต้กลับอีกฝ่าย
ราเมศวร์กระชากร่างบางที่ทำตัวลีบแทบเป็นเนื้อเดียวกันกับผนังลิฟต์ที่เย็นเฉียบมาปะทะอกกว้าง ลดใบหน้าที่ถมึงทึงลงจนริมฝีปากหนาสัมผัสบางเบากับกลีบปากอวบอิ่ม ก่อนจะเอ่ยเยาะหยันลอดไรฟัน
“ปากดีนักนะพิมพ์นารา ดูท่าว่าจะใช้ปากในทางอื่นได้คล่องแคล่วไม่แพ้กัน”
พิมพ์นาราตีสีหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้พูดถึงเรื่องอะไร แต่พออีกฝ่ายก้มลงมองเรือนกายแข็งแกร่งร้อนผะผ่าวที่เต้นตุบๆ ประชิดอยู่กับเรือนร่างเบื้องล่างของเธอ ก็ถึงกับหน้าชาโกรธจนตัวสั่น ที่ชายคนนี้ดูถูกเธอไม่ต่างจากโสเภณีคนหนึ่ง
“แก...แกมันไอ้โจรห้าร้อย!”
พิมพ์นาราไม่รู้จะขุดคำไหนมาด่าอีกฝ่าย เธอพยายามดึงกายถอยหนีจากความร้อนผะผ่าว ที่กดแนบกับเรือนร่างทำให้เลือดของเธอไหลพล่าน แต่ยิ่งหนี ชายคนนี้ก็ยิ่งกอดรัดแน่น จนกระทั่งลิฟต์วิ่งลงมาถึงชั้นล่างของคอนโคก็ยังไม่ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“กวินต์ ไปเอารถมารอหน้าคอนโด”
นายหัวราเมศวร์สั่งลูกน้อง ดวงตาคมกริบกวาดมองรอบๆ บริเวณล็อบบีของคอนโดที่ไม่มีใครเลยนอกจาก รปภ. ที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงประตูทางเข้าคอนโด
“ครับนายหัว ผมจะไปเลื่อนรถมาเดี๋ยวนี้แหละครับ” กวินต์รับคำสั่ง พร้อมกับเดินเป็นวิ่งไปที่ลานจอดรถ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไร
พิมพ์นาราขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง รู้สึกคุ้นหูว่าเคยได้ยินคำว่านายหัวมาจากไหน แต่ความคิดของหญิงสาวต้องสะดุดอยู่แค่นั้น เมื่อเธอเหลือบสายตาเห็น รปภ. ที่ยืนอยู่ตรงประตูกระจก ก็รีบตะโกนของความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
“ชะ...ช่วย...”
ความช่วยเหลือไม่สามารถเดินทางมาถึงพิมพ์นาราได้ เพราะทันทีที่อ้าปากจะร้องหามัน นายหัวราเมศวร์ก็ปิดกั้น คำพูดให้หายไปด้วยริมฝีปากร้อนผะผ่าวของตนเอง
เจ้าของริมฝีปากร้อนผ่าว อ่านสายตาของพิมพ์นาราออกอยู่นานแล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ตอนที่มอง รปภ.ของคอนโด พอหญิงสาวเผยอปากขึ้น เขาก็รีบทำให้หญิงสาวหุบปากลงด้วยริมฝีปากร้อนๆ ของตนเอง
จากตอนแรกที่ตั้งใจจะปิดปากอีกฝ่ายให้เงียบเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอได้สัมผัสกับเรียวปากที่อ่อนนุ่มเต็มไปด้วยความหวานฉ่ำ หัวใจแข็งแกร่งก็ทรยศต่อนาย สั่งการให้เจ้าตัวสอดปลายลิ้นสาก เข้าไปกระหวัดดูดชิมความหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าเป็นเวลาเนิ่นนานหลายนาที ก่อนจะผละออกเพียงเล็กน้อยแล้วกระซิบขู่ชิดกับเรียวปากที่บวมเจ่อเพราะพิษจุมพิตหวาน
“หากเธอทำอะไรโง่ๆ เหมือนเมื่อสักครู่อีก ผมจะจับคุณร่วมรักโชว์ให้ไอ้ รปภ.คนนั้นได้ดูกันจะๆ”
พิมพ์นารามึนงงกับจุมพิตแรกในชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ แต่ทว่ากลับซาบซ่านทำให้เธอวาบหวิวตกอยู่ในห้วงแห่งความหวานฉ่ำเป็นนานกว่าจะเรียกสติให้กลับคืนมาได้
“แกไม่กล้าทำอย่างที่พูดหรอก”
ทั้งๆ ที่ตกใจหวาดกลัวกับคำขู่ของอีกฝ่าย แต่พิมพ์นาราก็ยังทำใจดีสู้เสือ เชิดหน้าถึงแล้วเอ่ยสบประมาทคนที่ยังกอดเธอไว้แนบแน่น
นายหัวราเมศวร์ยิ้มเยาะตรงมุมปาก ก่อนจะทำให้สิ่งที่พิมพ์นาราคาดไม่ถึงมาก่อน มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้หนักๆ ตรงฐานปทุมอิ่ม ก่อนจะเลื่อนขึ้นสูงกว่าเดิมอีกนิดแล้วปลดกระดุมเสื้อเม็ดแรกออกอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงพิมพ์นารา คิดออกหรือยังว่าผมกล้าหรือไม่กล้า”
พิมพ์นาราไม่มีคำตอบให้กับนายหัวหนุ่ม นอกจากสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่เบิกกว้าง อ้าปากกว้างจนเห็นปลายลิ้นสีชมพู ทำให้นายหัวราเมศวร์อยากกดจุมพิตดูดชิมความหวานฉ่ำอีกครา
“คราวนี้จะเดินไปที่รถได้หรือยัง”
นายหัวราเมศวร์กระซิบถามอีกครั้ง พอพิมพ์นาราพยักหน้าหงึกๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็ตบเบาๆ ไปบนพวงแก้มแดงปลั่ง ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมพร้อมกับหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“ดี! ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
พิมพ์นารากัดเม้มริมฝีปาก มือเล็กที่ยกขึ้นไปติดกระดุมเสื้อสั่นเทา จนติดผิดติดถูก สร้างความรำคาญให้กับนายหัวราเมศวร์เป็นอย่างยิ่ง
“แสดงละครได้เหมือนนี่พิมพ์นารา ตีสีหน้าตกใจ ทำเป็นตัวสั่นมือสั่นงันงกราวกับคนไม่เคย”
“หยุดพูดต่อว่าฉันได้แล้ว ไอ้บ้า!”
พิมพ์นาราผลักคนตัวใหญ่ออก พอสบโอกาสก็กระทืบเท้าลงไปบนเท้าใหญ่เต็มแรง เรียกเสียงร้องหลงได้จากคนที่ปากจัดยิ่งกว่ากรรไกรโรงพยาบาล
“โอ๊ย! ยัยหมาบ้า!” นายหัวราเมศวร์ร้องลั่น สะบัดเท้าด้วยความเจ็บปวด เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่เท้าหนักกระทืบได้เต็มแรงดีแท้
“ขึ้นรถ!”
นายหัวหนุ่มสั่งเสียงลอดไรฟัน พอเปิดประตูรถออกกว้าง ก็ผลักร่างเล็กให้เข้าไปนั่งข้างในสุด ก่อนจะตามเข้าไปนั่งชิด จนพิมพ์นาราแทบจะแบนราบไปกับประตูรถ
“ของสั่งที่สั่งให้เตรียมไว้ได้หรือยังกวินต์”
“ได้แล้วครับนายหัว อยู่ข้างๆ ประตูรถด้านที่นายหัวนั่งอยู่ครับ”
กวินต์เอ่ยตอบอย่างรู้กันว่านายหัวต้องการสิ่งใด และเขาก็ได้เตรียมไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน เขาลอบมองหน้าหญิงสาวที่สวยงามผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซึ่งนั่งชิดกับประตูรถอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บแค้น
“สวย! แต่ใจดำยิ่งกว่าถ่าน คนอย่างเธอไม่ควรเกิดมาเป็นคนด้วยซ้ำ”
พิมพ์นาราไม่ได้หูหนวกที่จะไม่ได้ยินคำพูดของคนที่ชื่อกวินต์ หญิงสาวคิดว่าคนพวกนี้ต้องเข้าใจอะไรผิดอย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นเรื่องใดนั้น เป็นสิ่งที่เธอต้องหาคำตอบให้ได้เร็วที่สุด
“พวกคุณเป็นใคร จะพาฉันไปไหน”
ขณะเอ่ยถามเสียง พิมพ์นาราก็พยายามเปิดล็อกประตู แต่ก็ไม่สามารถเปิดได้ เพราะมันถูกล็อกจากแผงควบคุมที่อยู่ด้านคนขับทั้งหมด
“อย่าเพิ่งรีบร้อนอยากรู้ว่าพวกฉันเป็นใคร เธอยังมีเวลาอยู่ที่เกาะอีกหลายเดือน เอาไว้อยู่ไปสักพักใหญ่ๆ ค่อยทำความรู้จักกันก็ไม่เสียหาย”
นายหัวราเมศวร์เอ่ยตอบเสียงเย็น จากนั้นก็กระชากร่างบางให้ปลิวมานั่งบนตักกว้างแข็งแกร่ง มือใหญ่ร้อนผ่าวจับปลายคางมนไว้แน่น ไม่ให้พิมพ์นาราเบือนหน้าหนีหลบริมฝีปากร้อนๆ ที่กำลังก้มลงไปหา
“หยุดนะ! ไอ้โจรบ้า แกห้ามทำร้ายฉันอีก” พิมพ์นาราตวาดสั่งอย่างลืมตัว ลืมไปว่าตนเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งนายหัวราเมศวร์ได้
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะพิมพ์นารา คนที่จะออกคำสั่งได้มีแค่ฉันเพียงคนเดียว”
มือใหญ่บีบคางมนไว้แน่น ไม่สนใจอาการร้องประท้วงของคนตัวเล็ก ที่ครางออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด
“แกก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายฉันเหมือนกัน แกคิดว่าแกเป็นใคร เป็นศาลเตี้ยที่คอยลงโทษคนที่ไม่ได้ทำผิดยังงั้นหรือ”
พิมพ์นาราตวาดลั่น พลังแห่งความกลัวเป็นตัวผลักดันให้เธอกล้าสู้ กล้าโต้กลับคนที่จ้องมองเธอด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ
“ใช่ฉันเป็นศาลเตี้ยอย่างที่เธอว่า ถึงเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี เมื่อไรเธอจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสมกับสิ่งที่เธอทำลงไป”
นายหัวราเมศวร์ มั่นใจว่าพิมพ์นาราต้องเคยได้ยินชื่อเกาะของตนเองมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะทันทีที่เขาพูดจบ อีกฝ่ายก็เปิดตาโต อ้าปากค้าง เป็นการยั่วยวนเชิญชวนให้เขาก้มลงไปกดจุมพิตตักตวงหาความหวานอีกครั้ง
“ฮื้อ...”
พิมพ์นาราปิดปากแน่น ไม่ยอมให้ปลายลิ้นสากรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของเธอได้ ในขณะเดียวกันก็พยายามดันกายออกห่าง แต่มือใหญ่ที่กดอยู่ตรงแผ่นหลัง ทำให้เธอทำตามที่ใจนึกไม่ได้
ราเมศวร์ยิ้มตรงมุมปาก เมื่อพิมพ์นาราต่อต้านไม่ยอมรับความหวานฉ่ำด้วยการขบเม้มเรียวปากแน่น เขาก็ค้นหาวิธีสร้างความสำราญใหม่ ด้วยการไล้ปลายลิ้นไปตามกลีบปากสีหวาน ก่อนจะกัดเบาๆ พร้อมกับสอดมือเข้าไปสัมผัสกับความอ่อนนุ่มของปทุมอิ่ม
พิมพ์นาราสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนรุ่มของปลายนิ้วทั้งห้า ที่สัมผัสหนักหน่วงลงมาบนเนินเนื้อของเธอ และพออ้าปากร้องออกมาด้วยความตกใจ ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้นายหัวราเมศวร์สอดปลายลิ้นเข้าไปดูดดื่มน้ำทิพย์ทั่วโพรงปากของเธอ
นายหัวราเมศวร์ผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ เมื่อได้พิสูจน์เป็นครั้งที่สอง เพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองว่ารสจูบที่ได้รับจากหญิงสาวในอ้อมแขนนั้นหวานฉ่ำจนเขาแทบไม่อยากผละออกเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“จูบไม่เป็นสับปะรดแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้รามิลหลงรักได้”
เอ่ยออกไปนายหัวหนุ่มก็นึกค้านตัวเองอยู่ในใจ แม้พิมพ์นาราจะจูบไม่เป็นอย่างที่ตนเองได้เอ่ยออกไป แต่รสจูบของหญิงสาวกลับทำให้เขาติดใจ จนอยากจะกดจูบลงไปอีกครั้งและอีกครั้ง
“รามิล...”
พิมพ์นาราพึมพำเบาๆ นิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินชื่อคนที่เคยเป็นเพื่อนของเธอหลุดออกมาจากริมฝีปากที่สร้างความซาบซ่านให้กับเธอเมื่อสักครู่ แต่ไม่ทันได้เอ่ยถามให้คลายสงสัยว่าชายผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับรามิล สติที่เหลือก็ดับวูบเมื่อคนที่กอดเธอไว้ได้โปะผ้าขาวสะอาดลงมาปิดปากปิดจมูกเธอไว้แน่น
นายหัวราเมศวร์รับร่างที่อ่อนระทวยหมดสติไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มกระแทกกับเบาะรถ เขาก้มลงมองคนที่หลับตาพริ้มเพราะฤทธิ์ยาสลบ ก่อนจะพึมพำเสียงเย็นยะเยือก
“ไม่ต้องกลัวพิมพ์นารา อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะได้พบกับนายมิลแล้ว”