บทย่อ
เมื่อน้องชายต้องฆ่าตัวตายเพราะผู้หญิงแพศยา นายหัวราเมศวร์ จึงควานหาหญิงชั่วมารับโทษทัณฑ์ในครั้งนี้พิมพ์นารา ต้องตกเป็นเชลยสวาทของนายหัวราเมศวร์ที่ เกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี แต่หญิงสาวหาใช่คนผิดไม่! เธอเป็นแค่เพียงแพะรับบาปในเรื่องนี้เท่านั้น...พิมพ์นาราจะใช้วิธีใด เพื่อประกาศความบริสุทธิ์ของตัวเอง...นายหัวราเมศวร์จะทำอย่างไร ในเมื่อคนผิดไม่ใช่พิมพ์นารา!!!และหัวใจอันแข็งแกร่งดุจหินผาของนายหัวราเมศวร์ จะต้านทานความรักและความดีของพิมพ์นาราได้หรือไม่?...เชิญติดตามได้ใน ไฟรักนายหัวทมิฬ
บทที่ 1 (1)
หนึ่งชีวิตที่สูญไป ต้องชดใช้ด้วยชีวิต...
ณ คอนโดหรูหราแพงลิบลิ่วใจกลางเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร หนึ่งหญิงผู้เป็นนายและอีกหนึ่งผู้ที่จำใจต้องตกเป็นทาสรับใช้ กำลังพากันซักซ้อมบทสัมภาษณ์ก่อนผู้ที่เป็นนายจะได้ออกแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนซึ่งนัดหมายไว้ภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“นี่! นังพิมแกทำผมฉันให้ดีๆ หน่อยได้ไหม”
บทสัมภาษณ์รวมทั้งบทละครค่อนข้างหนาปึกที่อยู่ในมือบางสะโอดสะองค์ถูกเจ้าตัวตวัดฟาดลงไปบนต้นแขนขาวผ่องของหญิงสาวที่ตกเป็นขี้ข้าเพราะไม่มีทางเลือก
และเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตนเองในกระจกเงา ‘ลลินหรือลิลลี่’ นางเอกและนางแบบชื่อดังค่าตัวแพงที่สุดในเมืองไทยมีอันต้องร้องกรี๊ดดังลั่นจนแสบแก้วหูไปหมด
“กรี๊ดดดด!!...อีนังพิม! แกแกล้งฉันใช่มั้ย ฉันบอกให้ทำผมทรงโมฮ็อกไม่ใช้ทรงยายเพิ้ง ทำใหม่เดี๋ยวนี้!”
ลลินไม่ได้กรีดร้องลั่นเอ่ยสั่งแต่ปาก แต่นางแบบสาวได้เอามือไปขยี้เส้นผมของตัวเองจนยุ่งเหยิง ทำให้หญิงสาวที่เป็นทั้งช่างแต่งหน้า ทำผมและทำทุกอย่าง รวมถึงการเป็นทาสมือทาสอารมณ์ของลลินต้องกัดเม้มริมฝีปากไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ
“คุณลิลลี่นั่งอยู่นิ่งๆ ได้มั้ยคะ ถ้าคุณหันไปหันมาแบบนี้พิมก็แต่งหน้าทำผมให้คุณลิลลี่ไม่เสร็จสักที”
ด้วยความเหน็ดเหนื่อย จากการยืนแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายสาวเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้ว แต่ไม่ถูกใจอีกฝ่ายสักที ทำให้ ‘พิมพ์นาราหรือพิม’ หลุดเสียงต่อว่านางแบบสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ และผลที่ได้รับตอบแทนจากการบ่นด้วยความเหน็ดเหนื่อยคือฝ่ามือของลลิน ที่ลอยมากระทบกับใบหน้านวลลออของเธอดังฉาด!...
เผียะ!!!
“แกเป็นขี้ข้าเป็นทาสรับใช้ ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนฉัน หุบปากของแกแล้วก็ทำตามที่ฉันสั่งเดี๋ยวนี้”
ลลินชี้นิ้วตะโกนด่าดังลั่นห้อง กริยาที่แสดงต่อหญิงสาวซึ่งโชคชะตาบังคับให้เป็นทาสตั้งแต่วัยเยาว์เต็มไปด้วยความหยาบคาย
เมื่ออยู่ในสถานที่อันเป็นส่วนตัวปราศจากปาปารัสซี่และนักข่าวทั้งหลาย นางเอกสาวพราวเสน่ห์ก็จะปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนนอกมาเห็นเข้า ถ้อยคำผุรสวาทหยาบโลนที่ไม่มีใครเคยได้ยิน ก็ถูกขุดขึ้นมาด่าทอพิมพ์นาราไม่ได้หยุด กริยาอ่อนโยนอ่อนหวาน แสนไร้เดียงสาที่แสดงต่อสื่อมวลชลไม่มีให้เห็นอีก ตอนนี้มีแค่นางแบบสาวที่กร้านโลก ทั้งบุหรี่ทั้งเหล้าและยาเสพติดเธอไม่มีพลาด ตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่มีใครเคยเห็นนอกจากพิมพ์นาราเพียงคนเดียว
พิมพ์นาราขบเม้มเรียวปากอิ่มเอิบสีหวานไว้แน่น อาการเจ็บจากการถูกตบจนหน้าหัน มีรอยนิ้วทั้งห้าขึ้นทันตาเห็นไม่ได้เจ็บปวดเท่ากับความจริงที่ว่าเธอต้องตกเป็นทาสอารมณ์ให้นางเอกสาวโขกสักได้ตามอำเภอใจ มือเล็กกำด้ามหวีแล้วบีบแน่นราวกับต้องการให้มันแหลกคามือ เพราะคำว่า ความจนและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณยิ่งกว่าชีวิต ทำให้บิดามารดาของเธอยอมยกหรือจะเรียกว่าขายก็ไม่ผิด ได้ขายเด็กน้อยตาดำๆ ลูกในไส้ของตัวเองให้กับพลโทกวีและคุณหญิงลินดา
การมาอาศัยอยู่กับพลโทกวีและคุณหญิงลินดา ที่มีอาหารการกินสมบูรณ์พร้อมพรัก ได้ช่วยให้เด็กน้อยที่ผอมกะหร่องกะแหร่งมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง ในช่วงปีแรกของการมาพำนักที่คฤหาสน์ของท่านนายพล เป็นช่วงชีวิตที่เด็กน้อยมีความสุขมากที่สุด จนกระทั่งคุณหญิงลินดาได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกสาวหน้าตาหน้าเกลียดน่าชังขึ้นมา เด็กน้อยที่ชื่อน้องพิมหรือพิมพ์นาราก็ไม่ได้รับการแยแสจากทุกคนในคฤหาสน์อีกต่อไป ท่านนายพลกับคุณหญิงรักและตามใจลูกสาวคนเดียวเป็นอย่างมากไม่ว่าคุณหนูลิลลี่ต้องการสิ่งใด ก็ต้องหามาประเคนให้ลูกจนได้ แม้กระทั่งลูกสาวเอ่ยปากขอคนรับใช้ต้นห้องนั่นก็คือพิมพ์นาราคุณหญิงลินดาก็ไม่มีขัดสักคำ
คุณลลินในวัยสิบขวบไม่ได้ต้องการแค่คนรับใช้ต้นห้องเท่านั้น แต่เด็กน้อยต้องการคนที่สามารถรองมือรองตีนรองรับอารมณ์ที่รุนแรงของเธอได้ ในช่วงวัยเด็กอารมณ์โมโหร้ายของคุณลลินหรือลิลลี่ยังไม่รุนแรงเท่าใดนัก แต่เมื่อโตเข้าสู่วัยรุ่นความโมโหร้ายเอาแต่ใจของเธอกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และยิ่งได้เข้าสู่วงการวายาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นหลายสิบเท่า แต่สิ่งเหล่านี้ลลินจะไม่แสดงให้ใครได้เห็น ต่อหน้าประชาชนหรือสื่อมวลชนทุกแขนง นางแบบสาวสามารถเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดีเยี่ยมสมกับที่เป็นนักแสดงเป็นนางแบบมืออาชีพ แต่ทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ภายในห้องหรูหราเป็นการส่วนตัวอารมณ์ที่กักเก็บไว้ยาวนานก็จะถูกปลดปล่อยมาลงที่พิมพ์นาราแต่เพียงผู้เดียว
“แกจะยืนละเมอฝันหวานถึงพวกผู้ชายหน้าโง่อีกนานมั้ยนังพิม ถ้าฉันไปสัมภาษณ์ไม่ทันแกได้เจอดีแน่”
เสียงที่ตวาดลั่นกอปรกับควันบุหรี่ที่พ้นใส่หน้าจนสำลักแทบหายใจไม่ออก ได้ช่วยดึงให้พิมพ์นาราหลุดพ้นจากภวังค์แห่งความเจ็บปวดที่เกาะกินใจมาช้านาน เรือนร่างอันแสนบอบบางอรชรอ้อนแอ้นไม่แพ้นางแบบสาว ได้ขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิด จากนั้นก็ลงมือทำผมให้คุณลลินอีกครั้ง
“เสร็จจากงานแถลงข่าวแล้วคุณลิลลี่จะไปเดินแบบที่ไหนต่อคะ” พิมพ์นาราเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังไม่ให้คำพูดของตนเองไปสะกิดอารมณ์ของอีกฝ่ายเข้า
“พารากอน!” นางเอกสาวกระชากเสียงตอบห้วนๆ พร้อมกับพ้นควันบุหรี่ออกจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสด
“วันนี้แฟนคลับของคุณลิลลี่คงมารอฟังแถลงข่าว เรื่องละครที่กำลังจะออนแอร์เป็นจำนวนมาก”
“ใครบอกแกว่าฉันจะแถลงข่าวเรื่องละครที่กำลังจะออนแอร์”
นางเอกสาวย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นิ้วเรียวยาวแต่งเล็บอย่างดีได้ดีดขี้บุหรี่ลงบนจานเขี่ยบุหรี่ จากนั้นก็ยกขึ้นดูดสารเสพติดเข้าร่างกายอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องเปิดแถลงข่าวเป็นการด่วนในวันนี้ ทำเอาเธอเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาอีกหน
“พิมนึกว่าคุณลิลลี่จะแถลงข่าวเรื่องละครเสียอีก”
พิมพ์นาราเอ่ยวิจารณ์เสียงแผ่วเบา พลางขยับกายออกแล้วเดินอ้อมไปอยู่ข้างหน้านางเอกสาว เพื่อมองดูทรงผมที่เธอจัดทรงใหม่ว่าเข้าที่ตามที่คุณลลินต้องการหรือยัง
“ถ้าไม่ได้แถลงข่าวเรื่องละคร...แล้ววันนี้คุณลิลลี่จะแถลงข่าวเรื่องอะไรคะ เผื่อว่าตอนที่รอคุณลิลลี่แล้วมีแฟนคลับมาถาม พิมจะได้ตอบพวกเขาถูก”
ลลินผลักร่างโปร่งบางของคนที่รองมือรองตีนของตนเองออกอย่างแรง ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะผงะเซจนล้มก้นจ้ำบ้ำกับพื้นห้อง
“แกอย่ามาแส่เรื่องของฉัน เอาเสื้อผ้ามาให้ฉันเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ อีกไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาที่คุณรังสิมันต์จะมารับแล้ว”
พิมพ์นาราค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น ไม่มีเสียงร้องที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด เพราะเธอเจ็บจนชินชาเสียแล้ว หญิงสาวเดินลากเท้าเข้าไปในห้องแต่งตัว ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากหลายสีสัน หลากยี่ห้อดังล้วนแต่ราคาแพงทั้งนั้น ขณะที่หยิบชุดเดรสสีดำเกาะอกออกมาจากตู้ไม้ คิ้วเข้มโก่งงามดุจคันศรก็ขมวดเข้าหากันยุ่ง เมื่อนึกถึงชื่อผู้ชายคนใหม่ของคุณลลินที่เธอเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก แล้ว ‘คุณรามิล’ ผู้ชายคนล่าสุดที่เพิ่งคบกันแค่ไม่กี่เดือนได้หายไปไหนเสียแล้ว
“จะเข้าไปหลับในห้องแต่งตัวหรือไงนังพิม!”
“ค่ะ...ค่ะ...ได้แล้วค่ะคุณลิลลี่”
พิมพ์นาราคว้าชุดเกาะอกรวมทั้งรองเท้าและเครื่องประดับ จากนั้นก็รีบเดินเป็นวิ่งออกจากห้องแต่ง เพื่อให้ทันความต้องการของนางเอกสาวเจ้าอารมณ์
“เร็วๆ เข้าสินังพิม”
ลลินตวาดลั่น ใบหน้ารูปไข่งดงาม อันเกิดจากฝีมือมีดของคุณหมอศัลยกรรมมือหนึ่งของประเทศไทย บูดบึ้งถมึงทึง ดวงตากลมโตที่กรีดด้วยอายไลเนอร์จนดูคมเข้ม ได้จ้องเขม็งยังคนที่กำลังเดินเป็นวิ่งเข้ามาหาตนเอง จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่ แล้วถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเรือนร่างเปรียวบางปลิวลม ซึ่งอยู่ในชุดชั้นในสีเนื้อบางเบาตัวจิ๋วจนแทบปิดของสงวนไว้ไม่มิด
พิมพ์นาราวางรองเท้ากับพื้นพรม จากนั้นก็ช่วยนางเอกสาวใส่ชุดเกาะอกสีดำ เมื่อช่วยจัดทรงให้ชุดตัวสวยแนบกระชับกับเรือนร่างโปร่งบางแล้วก็เดินอ้อมไปด้านหลัง แล้วค่อยๆ รูดซิบตัวยาวอย่างระมัดระวังไม่ให้กินเนื้ออีกฝ่าย
“อยู่นิ่งๆ นะคะ พิมกำลังรูดซิบให้”
“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ไม่ต้องมาบอกอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆ”
พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเมื่อถูกด่ากลับ เมื่อไรชีวิตของเธอจะหลุดพ้นจากการเป็นเบี้ยล่างของนางเอกสาวสักที
“เสร็จแล้วค่ะคุณลิลลี่”
หญิงสาวงึมงำเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็รีบหยิบรองเท้าส้นสูงขนาดสามนิ้วมาใส่ให้เท้าเล็กที่กำลังยื่นรออยู่
ลลินย่างกรายราวกับนางพญาไปสำรวจความเรียบร้อยของตนเองหน้ากระจกบานใหญ่ พอได้เห็นภาพสะท้อนอีกภาพที่มองเห็นจากหางตา ทำให้เธอยิ้มเหยียดแล้วเอ่ยสั่งเสียงห้วน
“ไปแต่งตัวได้แล้วนังพิม วันนี้ฉันอนุญาตให้แกหยิบชุดที่อยู่ทางขวามือของตู้เสื้อผ้ามาใส่ได้”
“ขอบคุณค่ะคุณลิลลี่ แต่พิมใส่ชุดของพิมก็ได้ค่ะ”
“เอ๊ะ! ฉันสั่งให้ทำอะไร ก็ทำตามที่สั่งสิ เสื้อผ้าแต่ละชุดของแกดูมอซอราวกับผ้าขี้ริ้ว ขืนให้แกใส่ออกงาน ฉันคงได้ขายขี้หน้าคนอื่นแน่ วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันจะให้แกยืมเสื้อผ้าใส่ได้หนึ่งชุด รีบๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”
ลลินเท้าสะเอวตีหน้าบึ้งตึงใส่หญิงสาวที่คอยรับมือรองตีนของตนเอง พอพิมพ์นาราหันหลังกลับเดินลากเท้าเข้าไปในห้องแต่งตัว เธอก็หัวเราะเย้ยหยันตามหลังหญิงสาวน่าโง่
“คิดหรือว่าฉันใจดีให้แกหยิบเสื้อผ้าราคาแพงลิบลิ่วไปสวมง่ายๆ วันนี้แกต้องเป็นแพะรับบาปให้ฉัน...นังพิมพ์นารา!”
พิมพ์นาราถอนหายใจยืดยาวอย่างเบื่อหน่าย มือบางนุ่มนิ่มที่แตะเสื้อผ้าสีฉูดฉาดวาบหวิวปิดนิดห่มน้อยที่แขวนอยู่เต็มตู้เสื้อผ้า เต็มไปด้วยความรังเกียจ เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นเสื้อผ้าที่ลลินเบื่อและก็เตรียมเลาะทิ้งแล้ว เธอรู้ว่านางแบบสาวไม่ได้ใจดีอย่างที่คิด ลลินต้องมีแผนการบางอย่างถึงยอมให้เธอหยิบยืมเศษเสื้อผ้าเหล่านี้มาสวมใส่
เดรสสีเขียวน้ำทะเลคอลึกสั้นเหนือเข่า ถูกหยิบขึ้นมาทาบตัว ในบรรดาชุดนับร้อยๆ ชุดที่อัดแน่นอยู่ในตู้เสื้อผ้าบานใหญ่ เห็นจะมีชุดนี้เท่านั้นที่พิมพ์นาราพอทำใจให้สวมใส่ได้
“คิดว่าเสื้อผ้าตัวเองสวยมากหรือยังไง คิดว่าคนอื่นเนื้อเต้นอยากใส่เศษผ้าเหล่านี้ยังงั้นหรือ เสื้อผ้าที่ฉันใส่ ที่คุณหาว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว ยังดูสวยกว่าชุดตัวนี้ตั้งหลายเท่า”
พิมพ์นาราจ้องเขม็งที่เดรสสีเขียวน้ำทะเลซึ่งถืออยู่ในมือ พร้อมกันนั้นก็เอ่ยต่อว่าด้วยความโมโหชิงชัง รังเกียจที่จะต้องสวมพวกนี้ หญิงสาวเดินกระแทกเท้าออกจากห้องแต่งตัวของลลินกลับไปที่ห้องนอนเล็กของตนเอง จากนั้นก็รีบถอดชุดอยู่บ้านตัวเรียบๆ ที่นางเอกสาวเอ่ยดูถูกว่าเป็นผ้าขี้ริ้วออกจากกาย เรือนร่างบอบบางอรชร ที่ซ่อนรูปอยู่ในเสื้อผ้าตัวหลวมโพรก เมื่อมาสวมเดรสที่เข้ารูปพอดิบพอดี ก็ทำให้คนที่ได้เห็นถึงกับอ้าปากค้าง