บทที่ 4 (1)
นายหัวราเมศวร์ ไม่รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในความเจ็บปวดกับการจากไปของนายหัวเล็กนานเพียงใด แต่ที่เขารู้คือความเจ็บปวดเหล่านี้จะไม่จางหายไป หากไม่ได้ลากตัวคนชั่วทั้งสองมาเคารพศพของรามิล และเขาจะไม่ยอมส่งน้องเข้าเชิงตะกอน หากนังผู้หญิงทั้งสองคนไม่ได้มาคุกเข่าขอโทษ และชดใช้กรรมที่พวกมันได้ทำลงไป ด้วยชีวิตของพวกมันเอง
ร่างสูงใหญ่ของนายหัวหนุ่ม ได้เดินออกมานอกบ้าน ยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังชิงพลบลาลับขอบฟ้าพร้อมๆ กับการกลับมาของลูกน้องคนสนิท
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้างกวินต์”
นายหัวหนุ่มเอ่ยถามทั้งๆ ที่ดวงตาคมกริบยังจับจ้องอยู่ที่พระอาทิตย์กลมโต ซึ่งกำลังถูกแผ่นดินกลืนกินทีละเล็กทีละน้อย
“ผมได้ที่อยู่ของพวกมันมาแล้วครับ พวกมันพักอยู่ในคอนโดที่ซอยทองหล่อครับ เป็นคอนโดที่นายหัวเล็กควักเงินถึงสามล้านซื้อให้มันอยู่ครับ”
สุ้มเสียงที่เอ่ยรายงานให้นายหัวทราบนั้น เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นคนที่ทำให้เกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ต้องลุกเป็นไฟ เสียงหัวเราะแห่งความสุข เสียงร้องรำทำเพลงที่เคยจัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์ไม่มีให้ได้ยินอีก นายหัวราเมศวร์ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยยิ้ม นับตั้งแต่นายหัวรามิลได้จากไป สิ่งที่พวกเขาได้ยินทุกครั้งที่อยู่ใกล้นายหัวหนุ่มคือเสียงกัดฟันดังกรอดๆ จนเส้นเอ็นตรงลำคอปูดโปน ซึ่งตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาบอกไป นายหัวราเมศวร์ก็กำมือแน่น ขบเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงลอดไรฟัน
“คอนโดกับรถเป็นชื่อของใคร”
นายหัวราเมศวร์ถามเสียงเย็นยะเยือก เขาปล่อยให้ผู้หญิงชั่วทั้งสองสุขสบายมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่พวกเธอจะต้องชดใช้ให้กับเขาและรามิลบ้าง
“ผมไปเช็กมาแล้วเป็นชื่อของนายหัวเล็กทั้งหมดครับ”
กวินต์ทำงานได้ดีเกินคาด เขาไม่ได้หาแค่ที่อยู่ของลลินกับพิมพ์นารามาให้นายหัว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงทั้งสองคนนี้เขาได้สืบค้นหามาอย่างละเอียดละออ
“ดี! จัดการเอากลับคืนมาซะ แล้วขายทุกอย่างให้หมด เอาเงินที่ได้มาตั้งกองทุนของรามิล ไว้ช่วยเหลือคนในเกาะ”
นายหัวราเมศวร์สั่งเสียงเย็น หากรามิลใช้เงินซื้อความสุขในทางที่ถูกต้อง ไม่ถูกหักหลังเช่นนี้เขาจะไม่เสียดายสักนิดเดียว แต่นี่รามิลเอาไปให้ผู้หญิงชั่วมีพิษสงรอบตัวยิ่งกว่าอสูรพิษร้าย ซึ่งพวกเธอไม่สมควรจะได้รับเงินจากน้องชายเขาแม้แต่แดงเดียว
“ได้ครับนายหัว เดี๋ยวผมจะจัดการให้เรียบร้อย”
กรินต์รับคำ ก่อนจะเอ่ยถามในเรื่องที่ตนเองและคนงานทั้งเกาะต่างก็อยากรู้ว่านายหัวจะจัดการกับเป้าหมายทั้งสองอย่างไร
“นายหัวจะไปกรุงเทพฯ วันไหนครับ ผมจะได้เตรียมตัวให้พร้อม”
“วันนี้กรินต์ อีกหนึ่งชั่วโมงเราจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปลากผู้หญิงชั่วมาชดใช้กรรมที่นี่” นายหัวราเมศวร์ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ซึ่งคำตอบของเขานั้นเป็นที่ถูกใจของลูกน้องอย่างกรินต์ยิ่งนัก
หลังจากบอกลูกน้องคนสนิทแล้ว ร่างกำยำของนายหัวราเมศวร์ ก็เดินไปที่เรือนแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนหลังใหญ่
ไม่ไกลนัก พอเดินเกือบถึงเรือนดังกล่าว นายหัวหนุ่มก็ถึงกับขบกรามเข้าหากันแน่น เมื่อได้กลิ่นธูปลอยมาตามสายลมที่โบกพัดเอื่อยๆ บานประตูเรือนแก้วที่ถูกเปิดไว้ด้วยฝีมือของป้าพิศ แม่ครัวประจำเกาะ ทำให้นายหัวราเมศวร์ได้เห็นโลงศพซึ่งเป็นโลงแก้วตั้งเด่นอยู่กลางเรือน ใกล้ๆ กันมีป้าพิศและเด็กในเกาะอีกสองคนกำลังช่วยกันเปลี่ยนเครื่องเซ่นไหว้ ดอกไม้สดและทำความสะอาดรอบๆ บริเวณโลงศพ โดยไม่มีใครนึกหวาดกลัวนายหัวเล็กที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงแก้ว
นายหัวราเมศวร์จ้องไปยังรูปภาพของน้องชายที่วางเรียงนับสิบๆ ภาพอยู่ข้างๆ โลงศพ แล้วจู่ๆ คำถามของผู้ที่ปราศจากลมหายใจก็สะท้อนก้องเข้ามาในโสตประสาท
‘พี่เมศไม่รักมิลแล้วใช่ไหม ถึงได้ด่าว่ามิลแบบนี้’
“มิล...ใครบอกแกว่าพี่ไม่รักแก พี่รักแกเสียยิ่งกว่าชีวิตของพี่อีก หากเปลี่ยนตัวกันได้ พี่อยากเป็นคนที่นอนอยู่ในโลงแก้วแทนที่จะเป็นมิลน้องรักของพี่”
สุ้มเสียงที่พึมพำออกมาอย่างเศร้าสร้อย ทำให้ป้าพิศ ซึ่งเดินมาใกล้ร่างสูงใหญ่ของนายหัว ได้ยกมือแตะไปบนต้นแขนสีแทนของนายหัวหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยปลอบออกมา
“นายหัว นายหัวเล็กไปสบายแล้ว นายหัวอย่าเศร้าไปเลยค่ะ”
นายหัวราเมศวร์ยิ้มขื่น ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา โดยที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่รูปภาพของน้องชาย
“ป้าคิดเช่นนั้นหรือ ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามิลยังมีห่วงอยู่ ถ้ามิลไปสบายจริงทำไมไม่มาเข้าฝัน ทำไมไม่มาให้ผมเห็นสักครั้ง”
ป้าพิศยิ้มบางๆ พร้อมกันนั้นก็ได้จับมือใหญ่ของนายหัวที่กุมชะตาชีวิตของผู้คนนับสิบบนเกาะแห่งนี้ไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างต้องการให้กำลังใจนายหัวหนุ่ม
“นายหัว เชื่อป้าเถอะค่ะว่านายหัวเล็กหมดทุกข์หมดโศกและไปสบายแล้ว ตอนนี้คนที่ทุกข์ก็คือพวกเราต่างหาก แต่พวกเราจะไม่โศกเศร้าให้นายหัวเล็กได้เห็น ไม่เช่นนั้นดวงวิญญาณของนายหัวเล็กจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์นะคะ”
นายหัวราเมศวร์ฝืนยิ้มตรงมุมปากให้ป้าพิศ นึกขอบคุณญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ที่เข้าใจพูดปลอบเขา แม้อาจจะฟังดูเหมือนผู้ใหญ่กำลังพูดหลอกเด็กตัวน้อยๆ อยู่ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เขาสบายใจได้เปลาะหนึ่ง
“ไม่หรอกป้า วิญญาณของมิลจะได้ขึ้นสวรรค์ ก็ต่อเมื่อนังผู้หญิงสองคนนั้น ได้มานั่งคุกเข่าขอโทษต่อหน้าศพของมิลและชดใช้ชีวิตของพวกมันให้กับมิลด้วย”
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกป้าพิศเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก ดวงตาสีสนิมแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีที่ได้เอ่ยถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้นายหัวเล็กต้องตาย
คราวนี้ถึงคิวที่ดวงตาของป้าพิศจะแข็งกร้าวลุกเป็นไฟด้วยความโกรธแค้นบ้าง นางรักนายหัวแห่งเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ไม่ต่างจากลูก โดยเฉพาะนายหัวเล็กที่นางได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัย ในวันที่เห็นนายหัวราเมศวร์อุ้มร่างที่โชกเลือดของนายหัวเล็กลงมาจากบ้าน นางถึงกับเป็นลมหมดสติ มาฟื้นอีกทีก็รุ่งสางของวันใหม่ หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากร้องไห้นั่งเฝ้าอยู่หน้าโลงศพของนายหัวเล็ก
“นายหัวจะไปจัดการกับนังผู้หญิงสองคนนั้นวันไหนคะ”
“วันนี้ป้า อีกชั่วโมงก็จะเดินทางแล้ว”
สุ้มเสียงที่เอ่ยตอบอาจจะฟังดูราบเรียบ แต่ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่อัดแน่น รอเวลาปะทุเดือดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“ดีค่ะ แล้วป้าจะเตรียมบ้านร้างท้ายเกาะไว้ให้พวกมันซุกหัวนอน”
“ไม่ป้าพิศ ผมจะให้มันนอนที่นี่ นอนกับมิล ตอนที่มิลประเคนเงินทองให้มันๆ คงพร่ำรำพันว่ารักมิลหนักหนา ลองให้มันมาอยู่กับร่างที่ไร้วิญญาณของมิลดูบ้าง ว่าพวกมันจะรู้สึกอย่างไร”
นายหัวราเมศวร์กวาดสายตามองรอบๆ เรือนแก้วที่สะอาดสะอ้าน ตกแต่งหรูหราราวกับโรงแรมห้าดาว แต่สิ่งที่เรือนแก้วแตกต่างจากโรงแรมห้าดาวคือมีร่างที่ปราศจากลมหายใจของนายหัวเล็กนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงแก้ว ซึ่งตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้อง
“นายหัวคิดว่าใครกันแน่ที่เป็นคนรักของนายหัวเล็ก”
ป้าพิศเอ่ยถามด้วยความสงสัย เรื่องคนรักของนายหัวเล็ก ตกเป็นหัวข้อสนทนาภายในเกาะมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่นายหัวเล็กได้จากไป ทุกคนต่างก็อยากรู้และอยากเห็นหน้าหญิงชั่วใจบาปที่ฆ่านายหัวเล็กทางอ้อม ว่าจะเป็นนางเอกสาวที่พวกเขาชื่นชอบ หรือจะเป็นพี่สาวของนางเอกตามที่ได้มีการแถลงข่าวไปเมื่อวันก่อน
คนที่ถูกเอ่ยถามถึงกับยกมือลูบหน้าตัวเอง ความรู้สึกผิดที่ตนเองละเลยไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของน้องชายนานนับเดือน เพราะมัวแต่ยุ่งๆ เกี่ยวกับเรื่องการเก็บรังนก เลยทำให้ไม่รู้ว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ รามิลรักกับนางเอกสาว ก่อนจะผันใจไปให้กับพิมพ์นาราผู้เป็นพี่ตามที่เป็นข่าวจริงหรือเปล่า
“ตอนนี้ผมยังไม่เทน้ำหนักให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลลินหรือพิมพ์นารา พวกมันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ผมจะเอาพวกมันสองพี่น้องมาทั้งคู่ คนที่เป็นตัวการใหญ่ มันจะต้องชดใช้ให้กับพวกเราด้วยชีวิตของมัน”
นายหัวราเมศวร์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เท้าใหญ่ในรองเท้าหนังแท้ได้ก้าวเท้าช้าๆ ทว่ามั่นคงไปหยุดยืนหน้าโลงศพ ก่อนจะเอ่ยอาฆาตต่อ
“เวลาแห่งความสุขสำราญของผู้หญิงแพศยาทั้งสองหมดลงแล้ว ต่อไปผมจะเป็นศาลเตี้ยตัดสินคดีของพวกมันเอง ไม่ว่าจะเป็นลลินหรือพิมพ์นารา พวกเธอต้องชดใช้ที่ทำให้รามิลต้องตาย”
ภายในห้องชุดสุดหรูของนางเอกสาว ตอนนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของห้องได้นั่งชี้นิ้ว สั่งงานคนที่เป็นขี้ข้ารับใช้ไม่ได้หยุดปาก
“นังพิม ลากกระเป๋าเดินทางฉันไปไว้ที่ห้องนั่งเล่น เดี๋ยวคุณรังสิมันต์มาจะรับฉันแล้ว”