บทที่ 3 (2)
ผัวะ!!!
ตบหน้าน้องชายไปแล้ว นายหัวราเมศวร์ก็รู้สึกตัว และรู้สึกเสียใจอยู่มาก ที่ตนเองได้ลงไม้ลงมือลงโทษน้องชายเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี นับตั้งแต่ตนเองได้ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับรามิล หลังจากที่สูญเสียบุพการีทั้งสองไป
‘มิล...พี่ขอโทษ...’
นายหัวราเมศวร์พึมพำเสียงแผ่วเบาแทบไม่พ้นลำคอ เมื่อเห็นใบหน้าหล่อๆ ของน้องชายแดงเถือก เห็นรอยนิ้วทั้งห้าได้อย่างชัดเจน
น้ำหนักฝ่ามือที่ตบลงมาหนักๆ บนในหน้าที่หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพี่ชาย ทำให้รามิลรู้สึกตัวเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง เขาโผเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ของพี่ชายไว้แน่น ความอ่อนแอ ความเสียใจตีประดั่งเข้ามาจนจุกแน่น ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อาย
‘มิล...เกิดอะไรขึ้น ใครทำให้น้องเสียใจ เล่าบอกพี่สิ ความทุกข์ ความเศร้ามันจะไม่จางหายไป หากมิลยังกักเก็บไว้คนเดียวเช่นนี้’
หลังจากปล่อยให้น้องชายร้องไห้ราวกับเด็กๆ อยู่สักพักใหญ่ นายหัวราเมศวร์ก็เอ่ยปลอบอีกฝ่าย ดั่งที่ตนเองเคยทำเสมอมา
‘พี่เมศ ทำไมลิลลี่ต้องหลอกมิล เธอบอกว่ารักมิลคนเดียว จะแต่งงานกับมิล แต่ทำไมตอนนี้เธอถึงสลัดมิลทิ้งอย่างไม่ใยดี’
รามิลค่อยๆ เผยความทุกข์ในใจบอกพี่ชายทีละนิดทีละน้อย น้ำสีอำพันที่ดื่มเข้าไปหลายขวดเริ่มทำให้เขากล้าบอกความจริงที่พี่ชายไม่เคยรู้มาก่อน
‘มิลทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรัก เงินทองให้กับลิลลี่ เธออยากได้อะไรมิลซื้อให้ทุกอย่าง ทั้งรถ ทั้งเครื่องเพชร คอนโดหรูใจกลางเมือง ไม่ว่าลิลลี่ต้องการอะไรมิลก็ให้เธอได้ทุกอย่าง สิ่งที่มิลต้องการได้รับตอบแทนคือความรัก ความภักดีเท่านั้น แต่ทำไมลิลลี่ให้กับมิลไม่ได้’
นายหัวราเมศวร์ถึงกับนิ่งขึงไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินความจริงที่ตนเองไม่เคยรู้มาก่อน เขาก้าวเท้าหลบเศษแก้วที่แตกกระจายเต็มพื้นห้อง ไปหยิบสมุดบัญชีธนาคารสี่ห้าเล่มของน้องชายออกมาดู ข้อมูลการถอนเงินจำนวนมากนับรวมๆ กันแล้วปาไปเกือบแปดล้านแค่ภายในเดือนเดียว ทำให้เขาต้องยกมือลูบหน้าตัวเอง พร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความคาดไม่ถึง
‘เดือนเดียวใช้เงินเกือบแปดล้านเลยหรือนี่...’
นายหัวราเมศวร์ถามตัวเองมากกว่าจะถามน้องชาย เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องการใช้เงินของน้องชาย เงินแปดล้านที่เสียไปเขาไม่เสียดายสักนิด หากว่ามันถูกนำไปใช้อย่างเกิดประโยชน์และทำให้นายหัวเล็กมีความสุข แต่จากถ้อยคำรำพึงรำพันของรามิล ช่วยให้เขารู้ว่าเงินแปดล้านถูกจ่ายไปเพราะความ ‘โง่’ ของรามิลทั้งสิ้น
‘มิล เงินแปดล้านที่ถอนจากบัญชี มิลเอาไปซื้อข้าวของให้ผู้หญิงที่ชื่อลิลลี่ใช่ไหม’
ทั้งๆ ที่ได้ยินคำรำพันซึ่งหลุดออกมาจากปากของคนเมาแล้ว แต่นายหัวราเมศวร์ก็ย้ำถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
‘ใช่! พี่เมศ ไม่ว่าลิลลี่ต้องการอะไร มิลก็ให้เธอได้ทุกอย่าง มิลรักลิลลี่ อยากแต่งงาน อยากมีลูกกับลิลลี่’
นายหัวเล็กที่เมาจนแทบครองสติไม่อยู่ เดินโผเผไปหยิบขวดเหล้าที่พี่ชายวางไว้ตรงปลายเตียงมาดื่มอีกอึกใหญ่ ก่อนจะถูกพี่ชายกระชากออกไปจากมือ
‘พอแล้วมิล จะดื่มให้ได้อะไรขึ้นมา เล่ามาสิว่าคนรักของแกที่ชื่อลิลลี่นั้นคือใคร’
นายหัวราเมศวร์เอ่ยถามเสียงห้วนจัด พร้อมกับเทเหล้าในมือทิ้งจนหมดขวด รู้สึกผิดอยู่บ้างที่ตนเองมัวแต่สนใจเรื่องการดูแลธุรกิจรังนกบนเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี จนลืมเอาใจใส่ดูแลน้องชายไปชั่วขณะ
‘พี่เมศ ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่รู้จักลลิน หรือลิลลี่นางเอกชื่อดังที่เป็นแฟนกับมิล’
พอดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไปมาก รามิลก็ก้าวร้าวกับพี่ชายไม่ได้หยุดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยพูดจาไร้มารยาทกับพี่ชายเช่นนี้
‘หากแกไม่เมาอยู่ สาบานได้ว่าพี่จะชกหน้าแกอีกสักหมัด ที่เสือกพูดจาหมาๆ กับพี่แบบนี้’
นายหัวราเมศวร์ กำหมัดแน่น กัดฟัดกรอดๆ แม้รู้ว่านิสัยแท้จริงของรามิลไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่ก็อดโมโหไม่ได้ที่อีกฝ่ายปล่อยให้น้ำเมาและผู้หญิงเข้าครอบงำจนสิ้นสติ
‘พี่ขอโทษ ที่ไม่เคยรู้ว่าคนรักของมิลเป็นดารา มิลมีรูปของเธอให้พี่ดูไหม’
แม้จะโกรธน้องมากเพียงใด แต่นายหัวหนุ่มก็ยังใจเย็น เอาน้ำเข้าลูบคนที่กำลังร้อนเป็นไฟ
‘มีสิพี่เมศ นี่ไง รูปที่มิลถ่ายคู่กับลิลลี่’ รามิลรวบรวมรูปของนางเอกสาว ที่ตนเองฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้พี่ชายได้ดู
รูปภาพของนางเอกสาวที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นน้อย หาชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อกันไม่ได้ ทำเอานายหัวราเมศวร์ถึงกับส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ยอมรับว่าตนเองไม่เคยรู้จักนางเอกคนนี้มาก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นนางเอกคนนี้หรือคนไหนเขาก็ไม่รู้จักทั้งนั้น สิ่งที่เขารู้จักดีและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษคือเรื่องของนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์โลกที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวเขามาช้านาน รวมทั้งสร้างงาน สร้างเงินให้กับคนงานทั่วทั้งเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ด้วย
‘มิลบอกพี่ว่ารักกับลิลลี่ ให้เธอทุกอย่าง แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมมิลถึงมานั่งร้องไห้ตีโพยตีพาย แถมยังกินเหล้าต่างน้ำเช่นนี้’
‘มิลคิดเสมอว่าลิลลี่รักมิล แต่แล้วจู่ๆ ลิลลี่ก็มาบอกว่าเธอมีคนรักใหม่แล้ว เป็นถึงไฮโซชื่อดังของเมืองไทย ลิลลี่
บอกว่าจะแต่งงานกับมัน อยู่กับมัน ลิลลี่บอกว่าเธอไม่เคยรักมิลเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมพี่เมศ?...ทำไมลิลลี่ต้องหลอกมิลด้วย ทำไมลิลลี่ไม่รักมิล’
รามิลร้องไห้คร่ำครวญไม่ได้หยุด รักแรก รักเดียว ที่ยอมทุ่มเทให้จนหมดหัวใจ ไม่มีเหลือเผื่อเพื่อความเจ็บปวด ทำให้เขารับและทำใจไม่ได้ เมื่อความผิดหวังได้แล่นมาปะทะตัวเองเข้าอย่างจัง
นายหัวราเมศวร์มองน้องชายด้วยความสมเพช ทั้งโมโหระคนสงสารที่อีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้ ทำตัวเป็นคนอ่อนแอเพียงเพราะผิดหวังในเรื่องความรัก และด้วยอารมณ์โมโห ที่ดูท่าว่าจะมีเหนือกว่าสิ่งใด ทำให้เขาตอกกลับน้องชายด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
‘ทำไมงั้นหรือไอ้มิล...จนป่านนี้แล้ว แกยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า นังดาราคนนั้นนอกจากจะต้องการเงินทองแล้ว มันยังต้องการชื่อเสียงความโก้หรูด้วย แกดูตัวแกสิมิล แกเป็นแค่นายหัวเล็กของเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ไม่ได้เป็นไฮโซโก้หรู นามสกุลก็ไม่ได้ดังคับฟ้าเหมือนไอ้พวกผู้ชายเหล่านั้น แล้วใครเขาจะมาจริงใจกับแกล่ะไอ้มิล’
นายหัวหนุ่มกระแทกเสียงต่อว่าอยากโกรธจัด ก็เห็นชัดๆ แล้วว่านางเอกสาวคนนั้นต้องการแค่เพียงเงินทองจากน้องชายเขาเท่านั้น เธอไม่ได้ต้องการความรักที่รามิลมอบให้ และในขณะเดียวกัน เธอเองก็ไม่ต้องการมอบความรักให้กับรามิลเช่นเดียวกัน
รามิลเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความเสียใจ คิดผิดถนัดที่คิดว่าพี่ชายจะเข้าข้างตัวเอง แต่นี้อีกฝ่ายกลับตอกย้ำด่า จนทำเอาเขาใจห่อเหี่ยวเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม
‘พี่เมศ...ทำไมพี่เมศพูดแบบนี้ พี่เมศไม่รักมิลแล้วใช่ไหมถึงได้ด่าว่ามิลแบบนี้’
‘เออ...ไม่รัก พี่จะไม่รักน้องชายคนที่มานั่งร้องห่มร้องไห้ราวกับเด็กเล็กๆ เหมือนแก อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดห้องแล้วก็พักผ่อนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แกก็ลืมผู้หญิงคนที่ชื่อลิลลี่เอง’
นายหัวราเมศวร์กระแทกเสียงตอบกลับ ก่อนจะเดินออกจากห้อง ด้วยเริ่มเบื่อหน่ายน้องชายขึ้นมาบ้างแล้ว ที่อีกฝ่ายเอาแต่เพ้อหานางเอกสาวจอมหลอกลวง
‘ไม่พี่เมศ มิลไม่ลืม มิลรักลิลลี่’
รามิลวิ่งตามไปดึงต้นแขนพี่ชายไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหนีตนเองไป แอลกอฮอล์ที่แล่นพล่านทั่วหัวสมอง ส่งผลให้เขากล้าเอ่ยขอร้องพี่ชาย ในสิ่งที่ถือว่าเป็นการลบหลู่เกียรติยศของครอบครัวและของตนเองอย่างยิ่ง
‘พี่เมศ เราขายกิจการรังนก ขายเกาะนี้ แล้วไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เปลี่ยนนามสกุลใหม่ ทำตัวใหม่ ให้ดูไฮโซเหมือนคนอื่นนะพี่เมศ’
นายหัวราเมศวร์หันใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดมามองหน้าน้องชาย เขานึกไม่ถึงว่ารามิลจะรักผู้หญิงคนนี้มาก จนถึงขั้นกล้าเอ่ย กล้าคิดในสิ่งที่ไร้เกียรติอย่างยิ่ง
‘มิล...แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าแกกำลังพูดอะไรออกมา สิ่งที่แกขอร้อง สิ่งที่แกพูดมา เท่ากับว่าเป็นการเหยียบย่ำลงไปบนหลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลเรา พี่ภูมิใจในนามสกุลที่สืบทอดกันมาชั่วลูกชั่วหลาน ภูมิใจในเกาะเล็กๆ แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำที่พี่และคนงานทั้งร้อยคนได้มีต่อคุณปู่คุณพ่อของเรา จำใส่หัวสมองของแกไว้ด้วยว่า ที่พวกเรามีกินมีใช้อย่างสุขสบายก็เพราะไอ้เกาะเล็กๆ แห่งนี้ และที่แกมีเงินนับสิบๆ ล้านไปปรนเปรอนังนางเอกที่ทรยศหักหลังแก ก็เพราะไอ้น้ำลายนกนางแอ่นที่แกรังเกียจดูถูกว่ามันไม่โก้หรูนี่แหละ’
นายหัวราเมศวร์ระงับอารมณ์โกรธที่ลุกพล่านทั่วทุกรูขุมขนไว้จนสุดกำลัง ไม่ให้ตัวเองเงื้อมมือไปชกหน้าหล่อๆ ของน้องชายอีกหมัด หากคราวนี้เขาชกรามิล ใบหน้าหล่อเข้มของน้องชายคงไม่มีแค่รอยฝ่ามือเขาเท่านั้น อีกฝ่ายคงสลบเหมือดกลางอากาศ เพราะตอนนี้เขาโกรธสุดขีดไม่ต่างกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุเดือดด้วยธารลาวา
ความรักที่จุกอก ทำให้คนหูหนวกตาบอดได้ดั่งที่มีคนเคยเปรียบเปรยเอาไว้ รามิลก็เช่นเดียวกัน เขาไม่ได้ยินคำตะโกนด่าของพี่ชาย เขายังคงจับมือพี่ชายไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยขอร้องอีกครั้ง
‘พี่เมศ มิลอย่างเป็นไฮโซเหมือนไอ้ผู้ชายคนนั้น ลิลลี่จะได้กลับมาหามิลเหมือนเดิม เราขายเกาะแล้วไปอยู่กรุงเทพฯ กันเถอะนะ’
คำขอร้องของนายหัวเล็ก เป็นเสียยิ่งกว่าน้ำมันที่ราดลงไปบนกองไฟให้ลุกพรึบขยายวงกว้างมากกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า ใบหน้าคมเข้มของนายหัวหนุ่มถมึงทึง ดวงตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยไฟโทสะ และเพราะความโกรธจนคลั่งนี่เอง ที่ทำให้นายหัวราเมศวร์ตะโกนด่าน้องชายอย่างลืมตัว
‘ถ้าแกอยากเป็นไฮโซหนัก ก็ตายแล้วเกิดใหม่ซะ ไปเกิดในตระกูลดังๆ ไม่ต้องมาเกิดในตระกูลกุลธร และก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นน้องของกูด้วย!’
ตะโกนด่าน้องชายชุดใหญ่แล้ว นายหัวราเมศวร์ก็กระแทกประตูห้องปิดเต็มแรง จนบานประตูสะเทือนแทบหลุดมาทั้งบาน เขายกมือเสยผมอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ก่อนจะเดินลงมาจากบนบ้าน
‘ถ้าแกอยากเป็นไฮโซหนัก ก็ตายแล้วเกิดใหม่ซะ’
คำพูดของพี่ชายยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวสมอง ทั้งๆ ที่ร่างใหญ่กำยำได้เดินออกไปจากห้องแล้ว นายหัวเล็กที่สิ้นคิด ถูกอารมณ์ชั่ววูบเข้าครอบงำได้เดินลากเท้าโซเซไปที่หัวเตียง แล้วหยิบปืนพกออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง ก่อนจะนำมาจ่อที่ศีรษะของตนเอง
ใบหน้าหล่อเหลาของนายหัวเล็กเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ความเย็นยะเยือกของปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ตรงศีรษะ ไม่ได้ทำให้นายหัวเล็กสะพรึงกลัวมัจจุราชที่กำลังเงื้อมมือมารอรับตนเอง เขาหยิบภาพถ่ายที่ตนเองถ่ายคู่กับพี่ชายมาดูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
‘ไม่มีใครรักมิล ลิลลี่ก็ไม่รักมิล พี่เมศก็ไม่รักมิล...ลาก่อนพี่เมศ...’
นายหัวราเมศวร์ ไม่รู้เลยว่าตนเองได้ส่งมัจจุราชไปหาน้องชาย ด้วยถ้อยคำที่สบถด่าอย่างเหน็บแนบแกมประชดประชัน และไม่ทันได้เดินลงมาถึงชั้นล่างของบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงปืนแค่เพียงนัดเดียวที่ดังก้องทั่วทั้งเกาะ นัดเดียวที่ปลิดชีวิตนายหัวเล็กไปจากเกาะแห่งนี้ นัดเดียวที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาทที่เขาไม่เคยลืมไปชั่วทั้งชีวิต
ปัง!!!!
นายหัวราเมศวร์สะดุ้งเฮือกกับเสียงปืนที่ได้ยิน ร่างสูงใหญ่นิ่งงันตัวชาอยู่กับที่ พอคิดได้ว่าเสียงปืนดังมาจากห้องของน้องชายก็รีบหันหลังกลับวิ่งขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกน้องชายดังลั่น
‘รามิล!!!!’
เลือดแดงฉานที่ไหลนองเต็มพื้นห้องส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ร่างสูงใหญ่ของนายหัวเล็กที่ล้มลงจมกองเลือดทำเอานายหัวราเมศวร์เข่าอ่อน น้ำตาอุ่นไหลเป็นทางยาวอย่างไม่รู้ตัว
‘โอ้! ไม่! รามิล!’
เสียงที่ตะโกนเรียกน้องชายดังลั่น ฟังดูเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าราชสีห์ถูกนายพรานทำร้าย ร่างใหญ่วิ่งเข้าไปกอดน้องชายไว้แน่น โดยไม่สนใจเลือดสดๆ ที่ไหลรินมาเปื้อนตัวเอง
‘มิล! ได้โปรด น้องรัก อย่าจากพี่ไป’
มือใหญ่พยายามกดห้ามเลือดตรงขมับของน้อง ส่วนอีกมือหนึ่งก็สอดเข้าไปใต้หัวเข่า แล้วอุ้มร่างที่โชกด้วยเลือดมาไว้ในอ้อมแขน
‘มิล...อย่าจากพี่ไป ทำใจดีๆ ไว้ พี่จะพามิลไปหาหมอ’
นายหัวราเมศวร์อุ้มร่างไร้ลมหายใจของน้องชายไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินเป็นวิ่งลงมาจากห้องนอนของน้อง
เสียงปืนที่ดังก้องทั่วเกาะ ได้เรียกให้คนงานวิ่งกรูมายังที่เกิดเหตุ และเมื่อทุกคนได้เห็นนายหัวราเมศวร์อุ้มร่างที่
โชกเลือดปราศจากลมหายใจของนายหัวเล็กลงมาที่ห้องโถง ต่างก็พากันร้องไห้โฮ คนงานผู้หญิงบางคนถึงกับไม่กล้ามองภาพที่สะเทือนใจ โดยเฉพาะป้าพิศ คนเก่าคนแก่ของที่นี่ถึงกับเป็นลมทันทีที่ได้เห็นร่างของนายหัวเล็ก
‘กวินต์ เอารถออก กูจะพานายหัวเล็กไปหาหมอ’
นายหัวราเมศวร์ตะโกนสั่งทั้งน้ำตา เท้าที่ไร้เรี่ยวแรงก้าวเดินได้อีกไม่กี่ก้าวก็สะดุดลม ทำให้เจ้าตัวล้มไปกองกับพื้น แต่กระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยมือจากร่างที่ไร้วิญญาณของนายหัวเล็ก
‘กูบอกให้เอารถออก! พวกมึงยืนบื้อทำอะไรกันอยู่ นายหัวเล็กไม่สบาย กูจะพานายหัวเล็กไปหาหมอ’
เพราะไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับว่าน้องชายได้ปลิดชีวิตตนเอง ไม่ยอมรับว่าน้องชายหมดลมหายใจไปแล้ว นายหัวราเมศวร์จึงได้สั่งลูกน้องราวกับคนบ้าคลั่ง
กวินต์ หัวหน้าคนงานของเกาะได้สติเป็นคนแรก เขาเข้าไปหานายหัวราเมศวร์ พร้อมกับจับร่างกำยำที่ทำท่าจะอุ้มร่างของนายหัวเล็กลุกขึ้นยืนไว้แน่น จากนั้นก็เอ่ยบอกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือให้นายหัวได้รู้สึกตัว
‘นายหัวครับ นายหัวเล็ก...จากพวกเราไปแล้ว’
‘ไม่!!!...กูไม่ให้มิลตาย มิลกับต้องอยู่กับกู’
นายหัวราเมศวร์ตะโกนร้องเสียงดังลั่นยิ่งกว่าราชสีห์บาดเจ็บ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีสนิมเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลรินโดยไม่อายใคร
กวินต์เองก็มีอาการไม่ต่างจากนายหัว เขาร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เอื้อมมือไปจับร่างที่สั่นสะเทิ้มของผู้ที่เป็นนายไว้ ก่อนจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง
‘นายหัว...นายหัวเล็กไปดีแล้วครับ’
เสียงร้องไห้ที่ดังระงมทั่วบ้าน เรียกสติให้นายหัวราเมศวร์ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ดวงตาคมกริบซึ่งแดงก่ำ ได้ทอดมองน้องชายในอ้อมแขน พร้อมกันนั้นก็ได้ก้มลงไปกดจูบตรงหน้าผากของน้อง โดยไม่รังเกียจคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว เขาปล่อยให้หยาดน้ำตาอุ่นหยดลงโดนใบหน้าของนายหัวเล็ก ขณะพึมพำขอโทษเสียงแผ่วเบาแทบไม่พ้นลำคอ
‘มิล...พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...หลับให้สบายนะน้องรักของพี่’
มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดคราบเลือดออกจากใบหน้าหล่อเหลาของนายหัวเล็ก จากนั้นก็ปิดเปลือกตาของน้องให้สนิท ก่อนจะเปล่งวาจาเสียงเย็นยะเยือกให้ทุกคนในบ้านได้ประจักษ์เป็นพยาน
‘พวกมันต้องชดใช้...หนึ่งชีวิตที่สูญไป ต้องชดใช้ด้วยชีวิต...’