บทที่ 3 (1)
คนที่ทำให้รามิลต้องฆ่าตัวตายคือพี่พิมพ์นารา พี่สาวของลิลลี่เองค่ะ
“พิมพ์นารา!”
เพล้ง!!!
สิ้นเสียงพึมพำเย็นยะเยือกราวกับหลุดมาจากขุมนรก แก้วบรั่นดีในมือก็ถูกขว้างไปกระทบกับกำแพงบ้านจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน ดวงตาสีสนิมแข็งกร้าวลุกวาบด้วยไฟโทสะที่ไม่มีทางมอดลงได้ หากไม่ได้ตอบแทนความเลวของหญิงสาวที่ชื่อพิมพ์นารา ที่ได้ทำไว้กับนายหัวรามิล
“ไปหาที่อยู่ของนังผู้หญิงสองคนนี้มา”
ราเมศวร์ กุลธร นายหัวใหญ่แห่งเกาะโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ได้เปล่งวาจาสั่งอย่างทรงอำนาจ สุ้มเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่แล่นพล่านทั่วเรือนกาย จนแทบทนรอเวลาในการแก้แค้นไม่ไหว ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีจ้องเขม็งยังใบหน้าของคนที่ทำให้นายหัวเล็กต้องตาย
“ได้ครับนายหัว ผมจะจัดการหาที่อยู่ของพวกมันให้เร็วที่สุด”
ขณะที่รับคำสั่ง ดวงตาของผู้ที่เป็นลูกน้องคนสนิทของนายหัวใหญ่แห่งโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ก็จ้องมองที่ใบหน้างามๆ ของหญิงสาวที่ชื่อพิมพ์นาราผ่านหน้าจอทีวี ซึ่งกำลังเสนอข่าวการแถลงข่าวของนางเอกสาวชื่อดังอยู่
“นายหัวคิดว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้นายหัวรามิลต้องเอ่อ...จากพวกเราไป”
กวินต์ ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์หยุดชะงักคำพูดที่จะทำให้นายหัวใหญ่สะเทือนใจไปมากกว่านี้ แต่กระนั้นเขาก็อยากรู้ว่าเป้าหมายเบอร์หนึ่งของพวกตนคือใคร ระหว่างนางเอกสาวที่ดูสวยเจนโลกกับหญิงสาวอีกคนที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ กัน แต่ไม่ว่าใครจะเป็นเป้าหมายหลักหรือเป้าหมายรอง คนงานทั่วทั้งเกาะก็พร้อมที่จะแก้แค้นให้นายหัวรามิล
นายหัวผู้สูญเสียน้องชายสุดที่รักอย่างไม่มีวันได้กลับคืน เผยความเจ็บปวดให้เห็นผ่านดวงตาสีสนิมแค่เพียงชั่ววูบเดียวกับประโยคท้ายของลูกน้อง ก่อนที่เจ้าตัวจะปรับแววตาให้เป็นปกติราบเรียบยิ่งกว่าทะเลไร้คลื่น
“ทั้งสองคน! นายก็ได้ยินเต็มสองหูว่าพวกมันยอมรับว่าเคยเป็นคนรักของรามิล สั่งให้คนงานเตรียมนรกไว้ต้อนรับขับสู้นังผู้หญิงทั้งสองคนนี้ด้วย”
นายหัวราเมศวร์สั่งงานเสียงเย็นไม่ต่างจากครั้งแรก ดวงตาคมกริบยังคงจับจ้องมองเหยื่อสาวทั้งสองคนเขม็ง
“ครับนายหัว ผมและคนงานทั้งเกาะพร้อมอยู่แล้ว ขอเพียงแค่นายหัวออกคำสั่ง พวกเราก็พร้อมที่จะต้อนรับนังผู้หญิงทั้งสองคนนี้”
ขณะรับคำ กวินต์ก็ทุบมือลงไปบนพื้นแข็งๆ โดยไม่กลัวเจ็บ ความแค้นที่มีต่อคนที่ทำให้นายหัวเล็กต้องจากพวกเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ มันร้อนรุ่มอัดแน่นอยู่ในอก อยากจะแก้แค้นไม่ต่างจากนายหัวราเมศวร์
“ไปจัดการซะกวินต์ เราต้องการที่อยู่ของพวกมันภายในวันนี้”
“ครับนายหัว ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
กวินต์ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่น แต่พอก้าวไปถึงหน้าประตูห้อง ก็หยุดชะงักหันมามองนายหัวด้วยความเป็นห่วง สีหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความไม่แน่ใจว่าตนเองควรปล่อยให้นายหัวอยู่คนเดียวหรือเปล่า
“ไปซะกรินต์ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ยังไงเราก็ไม่มีทางคิดสั้นเหมือนรามิลอย่างแน่นอน”
นายหัวราเมศวร์เอ่ยตัดสินใจแทนลูกน้อง ซึ่งยังลังเลอยู่หน้าห้อง น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นติดเศร้าสร้อยจนคนที่ได้ยินถึงกับใจหาย
“ไปเถอะกวินต์ เราอยู่คนเดียวได้”
นายหัวราเมศวร์เอ่ยปากไล่ลูกน้องอีกครั้ง พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปพ้นจากห้องนั่งเล่นแล้ว ก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเอง ความรู้สึกเสียใ จความผิดหวังที่กักเก็บไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นจากโซฟา ตรงไปที่หยิบภาพถ่ายของผู้ที่ล่วงลับขึ้นมาดู นิ้วแข็งแกร่งลูบเบาๆ ตรงใบหน้าของน้องชายที่แย้มยิ้มสดใสในวันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท
“มิล...พี่ขอโทษ พี่ไม่ควรพูดกับมิลแบบนั้น”
นายหัวราเมศวร์จ้องมองใบหน้าของน้องเขม็ง ความรู้สึกผิดที่บอกว่าตนเองก็มีส่วนผลักไสให้น้องต้องคิดสั้น ได้แล่นพล่านทั่วเส้นเลือด เสียงปืนที่ดังขึ้นแค่เพียงนัดเดียวสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที แต่ได้พรากน้องชายไปจากเขาชั่วชีวิตยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ได้สะท้อนเข้ามาในหัวสมองทีละนิดทีละน้อย ราวกับเป็นภาพที่ฉายซ้ำ!
‘นายหัว...นายหัว...นายหัวอยู่ไหนครับ ไปดูคุณมิลหน่อยครับ’
คนงานในเกาะตะโกนเรียกผู้เป็นนายหัวเสียงดังลั่น พอไม่เห็นนายหัวที่ทางปากเข้าถ้ำรังนกนางแอ่น ก็วิ่งตรงเข้าไปในถ้ำ ด้วยมั่นใจว่านายหัวต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน และพอได้เห็นร่างสูงใหญ่กำยำไว้หนวดไว้เคราของนายหัวราเมศวร์ นายหัวแห่งโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ซึ่งกำลังยืนคุมคนงานเก็บรังนกอยู่ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
‘นายหัว...นายหัวอยู่นี่เอง ผมตามหานายหัวซะทั่วเกาะ’
‘มีอะไร ตามหากูทำไม แล้วทีหลังอย่าเสือกตะโกนลั่นถ้ำแบบนี้ เดี๋ยวได้ฉิบหายเพราะนกนางแอ่นบินหนีหมดถ้ำ’
นายหัวราเมศวร์ด่าลูกน้องเสียงลอดไรฟัน ทั้งๆ ที่เห็นว่าเขากำลังคุมคนงานเก็บรังนกอยู่ ซึ่งต้องอาศัยความเงียบสงัดให้นกรู้สึกว่าไม่ถูกรบกวน แต่คนงานคนนี้ก็ดันแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นจนนกนางแอ่นแทบจะบินหนีจากรัง
‘ผมขอโทษครับนายหัว ผมเห็นคุณรามิลร้องห่มร้องไห้ตีโพยตีพาย ก็เลยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก’
ลูกน้องที่เป็นม้าเร็ววิ่งมาตามนายหัวราเมศวร์ ได้ยกมือไหว้ขอโทษ พร้อมกับกระซิบตอบเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าสีหน้าและแววตายังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่
นายหัวราเมศวร์ขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ขณะได้ยินคำตอบของลูกน้อง เขาหันไปมองลูกน้องส่วนหนึ่งที่กำลังเก็บรังนกอยู่ พอเห็นกวินต์ลูกน้องคนสนิทคอยยืนคุมงานอยู่ใกล้ๆ ก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากถ้ำ เพื่อจะได้คุยเรื่องของน้องชายได้สะดวกขึ้น
‘ว่ามาสิว่านายหัวเล็กเป็นอะไร ถึงได้ร้องห่มร้องไห้อย่างที่เจ้าว่า”
นายหัวผู้องอาจยกมือเท้าสะเอว เอ่ยถามลูกน้องอย่างไม่เชื่อสักเท่าไร ว่าน้องชายผู้เข้มแข็งจะร้องไห้เสียน้ำตาอย่างที่คนงานในเกาะได้เอ่ยรายงาน
‘ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับนายหัว ผมเดินผ่านเรือนใหญ่ตั้งใจจะมาที่ถ้ำเพื่อช่วยเก็บรังนก แต่พอได้ยินเสียงของนายหัวเล็กเหมือนกำลังร้องไห้อยู่ ก็เลยวิ่งเข้าไปดู ได้เห็นนายหัวเล็กร้องไห้โวยวายอาละวาดอยู่ในห้องนอน ข้างๆ เตียงมีขวดเหล้าที่กินไปแล้ววางทิ้งระเกะระกะอยู่หลายขวดเลยครับ’
‘รามิลนี่นะกินเหล้า?...’
นายหัวราเมศวร์พึมพำเอ่ยถามตัวเองมากกว่าจะถามคนงานหนุ่ม เขาก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่รถปาเจโรแบบสปอร์ต และก่อนที่จะขับกลับไปที่เรือนใหญ่ก็ไม่ลืมหันมาสั่งคนงานหนุ่ม
‘ไปช่วยคนอื่นๆ เก็บรังนกไป เดี๋ยวกูจะไปดูนายหัวเล็กเอง’
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านพักหลังใหญ่ นายหัวหนุ่มก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องชายเล็ดลอดเข้ามากระทบประสาท คิ้วเข้มดกดำขมวดเข้าหากันยุ่ง เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายหัวเล็กรามิลอันเป็นที่รักของคนทั้งเกาะ
‘เกิดบ้าอะไรขึ้นมานะรามิล’
ราเมศวร์พึมพำกับตนเอง ขณะก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นบันไดบ้านทีละสองขั้น ยิ่งเข้าใกล้ห้องนอนของน้องชายเท่าไร ก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ตีโพยตีพายดังเข้ามาจนหัวใจของนายหัวหนุ่มอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้
พอเปิดประตูห้องออกกว้าง ก็ถึงกับผงะไม่เชื่อสายตาตัวเอง สภาพห้องที่เละไม่เหลือเค้าเดิมว่าเคยเป็นห้องนอนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ ทำให้นายหัวราเมศวร์แทบไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของน้องชายตนเอง ที่ได้ทำลายข้าวของเสียกระจัดกระจายเต็มห้อง
หมอนหนุนใบใหญ่ถูกกรีดจนนุ่นลอยฟุ้งเต็มห้อง เครื่องเรือนที่ประดับตกแต่งห้องทุกชิ้นถูกขว้างปาจนแตกละเอียด ไม่เว้นแม้แต่ภาพถ่ายของครอบครัว และสิ่งที่ทำให้นายหัวใหญ่แห่งโกลด์ ออฟ เดอะ ซี ตกตะลึงคาดไม่ถึงคือขวดเหล้านอกที่ปราศจากน้ำสีอำพันถึงสองขวด ซึ่งได้นอนกลิ้งอยู่ใกล้ๆ คนตัวใหญ่ที่กำลังซบหน้าร้องไห้กับขอบเตียงนอน ซึ่งนายหัวราเมศวร์มั่นใจว่าน้ำเปลี่ยนนิสัยคงเข้าไปอยู่ในร่างของนายหัวเล็กหมดแล้ว
นายหัวราเมศวร์หยิบภาพถ่ายครอบครัวหลายภาพ จากกรอบรูปที่แตกละเอียด มาถือไว้ด้วยความทะนุถนอม โดยเฉพาะภาพของคนที่กำลังนั่งร้องไห้ซึ่งได้ถ่ายคู่กับตนเองในวันรับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
นายหัวราเมศวร์ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กับร่างของน้องชาย วางมือใหญ่อบอุ่นที่คอยดูแลน้องชายผู้นี้มาตลอดทั้งชีวิต บนบ่ากว้างของน้อง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
‘มิล...เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้อาละวาดเสียห้องเละแบบนี้’
สิ่งที่นายหัวราเมศวร์ได้รับเป็นคำตอบคือเสียงสะอื้นร้องไห้ที่หนักกว่าเดิม พอเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นดันกายออกห่างจากเตียงเล็กน้อย ผู้ที่เป็นพี่ชายก็ได้เห็นขวดเหล้าที่มีน้ำสีอำพันเหลืออยู่ครึ่งขวด ถูกถืออยู่ในมือใหญ่ของรามิลด้วย
นายหัวราเมศวร์กระชากขวดเหล้ามาจากมือของน้องชาย ที่ทำท่าจะยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ชักจะโมโหเดือดว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรถึงได้อาละวาดเสียห้องเละ แถมยังใช้น้ำเมาพวกนี้เป็นตัวดับความทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
‘รามิล...’ คราวนี้นายหัวหนุ่มเรียกชื่อของน้องชายเสียเต็มยศ ก่อนจะเอ่ยต่อว่าเสียงขุ่นด้วยความไม่พอใจสักเท่าไร
‘แกเป็นอะไร ทำไมไม่บอกพี่ ร้องไห้ฟูมฟาย ทำลายข้าวของแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของผู้ชาย และไม่ใช่นิสัยของรามิลคนที่เป็นน้องชายของพี่’
รามิลหรือที่คนงานทั้งเกาะมักจะเรียกว่า ‘นายหัวเล็ก’ ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย ก่อนจะปัดมือใหญ่ออกจากบ่าของตัวเอง แล้วพยายามคว้าขวดเหล้ามาคืน สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้คือการดื่มและดื่ม เพื่อให้ลืมผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เขาเจ็บปวดใจที่สุด
‘พี่เมศ เอาเหล้าคืนมา มิลอยากกินเหล้าให้ลืมลิลลี่’
‘ลิลลี่งั้นหรือ?...’
นายหัวราเมศวร์พึมพำอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเจ้าของชื่อนี้คือใคร และเป็นใครมาจากไหน แต่เท่าที่พอจะเดาได้ เขาเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้คงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้น้องชายเขาต้องกินเหล้าจนขาดสติ ทำลายข้าวของเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะตอนแรกคิดว่าน้องชายเสียใจด้วยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของ ‘ผู้หญิง’
‘มิล นี่แกร้องไห้ฟูมฟายยิ่งกว่าญาติเสีย ก็เพราะเรื่องของผู้หญิงแค่เพียงคนเดียวงั้นหรือวะ’
นายหัวราเมศวร์เริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง ที่น้องชายปล่อยให้ผู้หญิงแค่เพียงคนเดียวมามีอิทธิพลต่อจิตใจ จนกระทั่งทำอะไรที่ขาดสติ และสิ่งที่เขาไม่ชอบใจเลยคือการที่รามิลใช้น้ำสีอำพันเหล่านี้เป็นตัวดับทุกข์
ดวงตาที่แดงก่ำของนายหัวเล็ก จ้องมองพี่ชายเขม็ง ก่อนจะขึ้นเสียงกับพี่ชายอย่างลืมตัว ทั้งๆ ที่แต่ก่อน เขาไม่เคยก้าวร้าวกับผู้ที่เป็นพี่แม้แต่เพียงครั้งเดียว
‘พี่เมศจะเข้าใจอะไร วันๆ พี่เมศก็ยุ่งอยู่แต่กับไอ้เกาะบ้าๆ อยู่กับไอ้น้ำลายนกพวกนี้’
ไม่ได้ตะโกนต่อว่าพี่ชายแค่เพียงถ้อยวาจา แต่นายหัวเล็กได้คว้าตุ๊กตานกนางแอ่นที่เจียระไนอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นของขวัญที่ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือท่านหนึ่ง ได้มอบให้กับครอบครัวตนเอง ทุ่มลงพื้นใกล้ๆ กับเท้าของพี่ชายจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับนายหัวราเมศวร์เป็นอย่างมาก จนระงับความโกรธไม่อยู่ยกมือใหญ่ฟาดลงไปบนหน้าของน้องชายเต็มแรง