

๑ แรกพบยังรักเหมือนเดิม (๓)
ชายหนุ่มช่างเป็นคนดีจนเธอกลายเป็นคนเลวที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้ชายจิตใจบริสุทธิ์คนนี้
หล่อนทำร้ายเขาได้อย่างไร...
“เอยมาทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ” ระหว่างที่เดินกลับห้องพักของนักแสดง เขาก็เดินเคียงข้างแล้วถามเพื่อหาข้อมูลของอีกฝ่าย จ้องมองเสี้ยวหน้าหวานที่งามไม่เปลี่ยน ยิ่งสวมชุดไทยก็ยิ่งน่ามองมากกว่าเดิม กลายเป็นนางในวรรณคดีที่มีตัวตนจริงในยุคสมัยปัจจุบัน
“สองสามครั้งค่ะ คุณป้าประไพรู้จักกับคุณแม่แล้วทราบว่าเอยกำลังหาเงินเลยช่วยให้มาเล่นที่นี่เวลาจัดงาน ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่โมกข์อีกครั้ง เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” มือบางประสานกันไว้ด้านหน้า หัวใจเต้นรัวเมื่อได้คุยกับคนในอดีตที่ตอนนี้กลายเป็นพระเอกดัง พูดชื่อออกไปคนทั่วไปก็ต้องรู้จัก
เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อลองไล่ระยะเวลาที่เราไม่ได้พบกัน นานขนาดนี้ทำไมถึงยังไม่ลืมความเจ็บปวดในอดีตอีกนะ
“ใช่ เกือบเจ็ดปีหรือเปล่า ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอที่นี่”
“แต่ แต่เอยเห็นหน้าพี่โมกข์บ่อยมากเลย ตามทีวีหรือข้างทาง ดีใจด้วยนะคะที่พี่ได้เป็นซุปเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เอยไม่คิดว่าพี่จะมีวันนี้” หยุดยืนเมื่อถึงหน้าห้องแต่งตัว หันมาพูดคุยกับเขาแล้วเงยหน้าเพื่อมองดวงหน้าคมให้ชัดเต็มตา ค่อยยกยิ้มเมื่อพูดจบประโยค
โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้เลนว่าคำพูดนั้นจริงเท็จแค่ไหน แต่เขาก็เลือกจะไม่เชื่อคนอย่างเธอ แล้วพยักหน้าไปตามน้ำ ค่อยเอื้อมไปคว้ามือบางมากุมเอาไว้ เธอตกใจกับการกระทำของเขาแต่ก็ไม่ได้ดึงมือกลับ ยอมให้ชายหนุ่มกอบกุมไว้เช่นนั้น
เพราะความจริงก็คิดถึงเขามาโดยตลอด...
ช่วงเวลาที่เราคบกันคือความสุขที่สุดของเธอ
“พี่ก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่อย่างว่าแหละชีวิตคนเรามีลงมีขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา พี่ไม่ได้คิดว่าตอนนี้พี่ชีวิตดีนักหรอก พี่เองก็มีเรื่องหนักใจทุกข์ใจเหมือนกัน...พี่ดีใจนะที่ได้เจอเอย” ย้ำประโยคสุดท้ายหนักแน่นจนเธอร้อนผ่าวที่แก้มเมื่อได้สบตากับเขา
ชายหนุ่มดูแพรวพราวขึ้นจนเธอตั้งมือรับไม่ถูก กระนั้นก็ยังยิ้มรับก่อนมองเขาไม่วางตา
“เอย เอยก็ดีใจค่ะ ดีใจที่พี่ไม่โกรธเอย” บอกอย่างตื้นตัน แล้วเอ่ยถึงอดีตที่ยังรู้สึกผิดต่อคนตรงหน้า ชายหนุ่มเลือกจะยิ้มกว้างเอาไว้ถึงภายในใจจะนึกขุ่นเคืองมากแค่ไหนก็ตาม ผู้หญิงคนนี้ทำกับเขาเอาไว้อย่างเจ็บแสบ
มีหรือที่คนโดนกระทำจะจำไม่ได้...
“เรื่องนานมากแล้ว พี่จำไม่ได้ด้วยซ้ำ...เอยจะกลับเลยไหม” รีบกลบเกลื่อนความรู้สึกทั้งหมด แล้วถามถึงเวลากลับของจิรัศยาเพราะต้องการขอไปส่ง อย่างน้อยจะได้รู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายเพื่อไปมาหาสู่ในคราวหน้า
“ค่ะ เอยต้องรีบไปทำขนมขายพรุ่งนี้เช้า” เวลาของเธอเป็นเงินเป็นทอง ต้องรีบหาไปชดใช้หนี้ถึงตัวเองจะไม่ได้ก่อ และคนสร้างหนี้เอาไว้จะปลิดชีพไปแล้วก็ตาม
“ขนมอะไรเหรอ”
“บราวนี่กับเค้กกล้วยหอมค่ะ” บอกอย่างไม่อาจว่าตอนนี้เธอเป็นนางฟ้าตกสวรรค์แล้ว
จากเมื่อก่อนที่อ่านหนังสือต่างประเทศคลายเครียด ทำขนมเป็นงานอดิเรก ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง แต่คราวนี้กลับต้องนำความรู้ทุกอย่างของตัวเองมาทำอาหารประทังชีพ มิตรไม่แท้อาจหายไปบ้างก็ได้มิตรแท้ที่อยู่ข้างกายไม่ยอมทิ้งไปไหน
ถึงอาจจะมีน้อยจนนับคนได้ก็ตาม...
“ฟังแล้วน่าอร่อย พี่ขอเหมาหมดเลยได้ไหม พรุ่งนี้พี่มีถ่ายละครจะได้เอาไปฝากคนที่กองถ่ายด้วย” คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวต้องแกะมือหนาออก รู้ว่าเขาหวังดีแต่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มนึกสงสารตัวเอง จึงพยายามปฏิเสธ
“พี่โมกข์...ไม่ต้องทำเพราะสงสารเอยก็ได้นะ”
“พี่ไม่ได้ทำเพราะสงสาร พี่ทำเพราะอยากอุดหนุนจริงๆ พี่รู้ว่าเอยทำขนมอร่อย เคยทำมาให้พี่กินตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นพี่ได้กินฟรีตอนนี้อยากขอซื้อบ้างไม่ได้เหรอ หรือเอยจะปฏิเสธลูกค้าคนนี้ได้ลงคอครับ” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หล่อนจนร่างบางต้องถอยหลบ เขินกับสายตาเกี้ยวพาของชายหนุ่ม เหมือนได้ย้อนไปสมัยจีบกันใหม่
“ไม่ ไม่ปฏิเสธค่ะ”
สุดท้ายก็ยอมตามใจให้เขาซื้อขนมของตนจนได้ โมกข์ยิ้มกว้างแล้วขยับออกห่างจากเธอเล็กน้อยเพื่อให้หญิงสาวได้หายใจหายคอสะดวกบ้าง เขารู้สึกว่าตัวเองรุกหนักกว่าครั้งแรกที่ได้พบกันเสียอีก อาจเพราะความมั่นใจที่โมกข์ในอดีตไม่มีก็เป็นได้
“กลับเลยใช่ไหม พี่ไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ พี่ยังต้องอยู่ที่งาน...” ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“งานพี่เสร็จแล้ว พี่ไปส่งดีกว่าหรือว่าเอยขับรถมา” พอได้ยินเขาพูดเช่นนั้นหล่อนก็ยิ้มในหน้า เธอมีรถขับที่ไหนกันล่ะ รถของบิดาก็ขายจนหมดเพื่อใช้หนี้ยังไม่พอเลย
“ไม่ค่ะ...”
“งั้นก็ตามพี่ไปที่รถ ห้ามปฏิเสธห้ามเกรงใจ...เราคนกันเอง”
“ขอเอยไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ” เมื่อเห็นว่าปฏิเสธเขาไม่ได้จึงเลือกจะพยักหน้าตกลงให้อีกฝ่ายไปส่ง เปิดประตูหายเข้าไปในห้องแต่งตัว ถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เช่าทางร้านออกจนหมด ค่อยใส่ถุงเพื่อจะได้นำกลับไปคืน จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าของตัวเองที่เตรียมมาจากบ้านเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยค่อยออกมาสมทบกับคนที่รออยู่ด้านนอก เขาพาเธอไปยังโรงจอดรถด้านหลังที่มีรถตู้ของตนเองจอดคอยท่าหลังไปส่งผู้จัดการส่วนตัวอย่างฉัตรธรเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มบอกจุดหมายปลายทางใหม่ให้คนรถได้ทราบ ก่อนหันมาคุยกับจิรัศยาถึงเรื่องราวที่เธอกำลังประสบพบเจอ
กระทั่งรถจอดลงยังหอพักราคาถูกแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม รปภ.ก็ไม่มีด้านหน้ายังมีเพียงประตูเปิดปิดโดยไม่ได้ใช้บัตรแสกนอีกต่างหาก อาคารก็เก่าและโทรมจนไม่อยากเชื่อว่าคุณหนูที่เคยอยู่แต่บ้านหลังใหญ่จะอาศัยเพียงลำพังได้ เขารีบหันมามองเธออย่างรวดเร็ว
“พี่ขอโทษที่เสียมารยาท แต่ได้ยินคนในงานพูดกันว่ามีเจ้าหนี้ตามทวงเงินเอยเหรอ อยู่หอพักแบบนี้เอยมั่นใจในความปลอดภัยหรือเปล่า” นึกกังวลจนถามออกมาโดยที่เธอก็ไม่อาจเลือกอะไรได้
หากมีที่ดีกว่านี้ก็อยากไปอยู่ ทว่าทรัพย์ในกระเป๋าก็จางเหลือเกิน
“มันประหยัดดีค่ะ” ตอบตรงตามความเป็นจริง เขาจึงพยายามจะค้าน
“แต่พี่ว่า...”
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ พรุ่งนี้เช้าเอยจะเอาขนมลงมาให้พี่โมกข์ที่ข้างล่าง พี่โมกข์จะมากี่โมงคะ” รีบตัดบทถามถึงขนมที่เขาต้องการซื้อ ดาราหนุ่มจึงต้องตามน้ำแล้วบอกกับเธอถึงเรื่องขนมที่เป็นเพียงข้ออ้างในการเข้าหาเท่านั้น
“หกโมงเช้าได้ไหม พี่มีถ่ายละครตอนเก้าโมงกว่าจะมารับของแล้วขับไปที่กองอีก เอยจะไหวหรือเปล่า...”
“ไหวค่ะ” พยักหน้ารวดเร็ว
ถึงจะไม่ได้นอนแต่ถ้ามีเงินเข้ากระเป๋าก็ยอมทั้งนั้น...
“พี่ใช้เบอร์เดิมนะ ถ้ายังไงโทรหาพี่ได้” เธอลงจากรถกำลังจะเดินเข้าอาคาร แต่เขากลับปลดกระจกแล้วบอกเธอตามหลังจนร่างบางต้องเหลียวกลับมามอง พยักหน้าขึ้นลงเป็นการรับคำ
“ค่ะ”
จำเบอร์ของเขาได้ขึ้นใจเพราะมองเลขสิบหลักอยู่ทุกวัน ถึงจะไม่ได้โทรออกเลยสักครั้งก็ตาม...
เช้าวันต่อมาเธอถือขนมลงมารอเขาอยู่ข้างล่างเพราะชายหนุ่มบอกว่าต้องรีบไปทำงาน ทว่าเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงกลับไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย เธอร้อนใจเพราะต้องรีบขึ้นไปทำงานแปลเอกสารส่งนายจ้างเสียด้วย
หญิงสาวเรียนด้านอักษรศาสตร์จึงรับจ้างแปลงานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือเอกสาร บางครั้งก็มีคนจ้างไปเป็นล่ามแต่เธอไม่สมัครใจจะทำประจำ เพราะต้องเปลี่ยนที่อยู่เพื่อหนีเจ้าหนี้ไปเรื่อย นอกจากมันตามทวงเงินแล้วยังต้องการนำตัวเธอไปทำงานในผับบาร์เพื่อบริการลูกค้าอีกต่างหาก
จึงเลือกส่งเงินผ่านทางการโอน ไม่รู้ที่อยู่ยังดีกว่า...
แต่น่าแปลกที่มันตามหาเธอพบแทบทุกครั้ง ซึ่งหล่อนต้องให้เงินมากกว่าจำนวนที่จ่ายหนี้เพื่อเอาตัวรอด อดสูกับชะตากรรมของตัวเอง โชคดีที่รอดมาได้ทุกครั้งไม่ถูกเอาไปปู้ยี้ปู้ยำเสียก่อน
“ใจกล้าหน่อยเอย...”
ไม่อาจรอไหวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเลขสิบหลักลงไป เลือกจะโทรออกก่อนรอสายสักพักเขาก็รับ เธอดีใจจนเผลอกรีดร้องแต่ต้องรีบทักทายอีกฝ่ายเสียก่อน
“สวัสดีค่ะพี่โมกข์ เอยนะคะ” เม้มปากแน่นระหว่างแนะนำตัว
ทำเหมือนเพิ่งเคยคุยกันทั้งที่โทรคุยกับเขาทุกคืนตอนที่เราคบกัน...
‘ครับ พี่กำลังจะถึงแล้ว พอดีพี่ตื่นเลยเลยเลทไปหน่อย ขอโทษที่ให้รอนานนะ เอยจะออกไปไหนหรือเปล่า’ เสียงรีบร้อนของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวเชื่อสนิทใจ
“เปล่าค่ะ เอยกลัวพี่โมกข์ไปไม่ทัน”
เขาไม่ได้ตอบอะไรก่อนรถปริศนาจะมาจอดตรงหน้าเธอ พอประตูเปิดออกมาก็พบว่าเป็นดารารูปหล่อ เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาเขาขณะที่ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าเข้ามารับของทั้งหมดจากมือบาง
“ถึงพอดี...นี่ขนมของพี่เหรอ”
มองถุงขนาดใหญ่ที่เธอถือจนตัวเซจนต้องรีบเข้ามาช่วย ไม่นึกว่าหญิงสาวจะทำขนมมากมายขนาดนี้ สงสัยคงนั่งทำทั้งคืนเลยสินะ...
สมน้ำหน้า
“ค่ะ” พยักหน้าแล้วยิ้มให้เขา
“เอยเหนื่อยแย่เลย วันนี้จะออกไปไหนไหม ให้พี่ไปส่งได้นะ” นำถุงขนมขึ้นไปไว้รถก็ปิดประตูแล้วหันมาคุยกับเธอ โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านจึงไม่มีใครเห็นว่าดาราหนุ่มชื่อดังกำลังคุยกับสาวสวยจนเกิดเป็นข่าวให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์
“ไม่เป็นไรค่ะ เอยทำงานที่ห้อง...พี่โมกข์นั่นแหละน่าจะไปไม่ทัน”
“จริงด้วย นี่เงินครับไม่ต้องทอนนะ ไว้คราวหน้าพี่จะมาอุดหนุนใหม่” รีบยื่นเงินใส่มือหล่อนอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ” หญิงสาวรับเงินจากเขาไปพร้อมกับยิ้มให้ชายหนุ่ม ยกมือประนมกลางอกไหว้เป็นการขอบคุณที่อุดหนุนขนมเธอ
พอเสร็จธุระก็ขับรถออกจากหน้าหอพักของหล่อนมายังสถานที่ถ่ายทำละครตามที่ลงตารางเอาไว้
นำขนมไปแจกคนในกองแล้วแอบมาโทรศัพท์หาเบอร์แปลก
“ทำตามแผนได้เลย”
พูดจบก็วางสายก่อนแสยะยิ้มกับแผนที่ตนเองเป็นคนเริ่ม ต่อจากนี้จิรัศยาจะต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของเขา
จะบีบก็ตาย...จะคลายก็รอด
แต่เขาจะบีบเธอให้แหลก สาสมกับที่หญิงสาวเคยทำกับตนเอาไว้อย่างเจ็บแสบ!
