8. เกิดเหตุในหอชุยอวี้
ไฉ่เล่ออิงรีบตรงไปยังห้องพักชั้นบนของหอ คนสนิทจึงรั้งแขนเอาไว้ก่อน ทำให้ร่างเล็กต้องหยุดชะงัก
“เอ่อจะเข้าไปทางอย่างนี้หรือขอรับ” ต้าจงท้วงเมื่อเห็นผู้เป็นนายไม่ยอมปิดบังใบหน้าเหมือนเคย ทำให้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมา คงแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มาก่อน
“ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า” เอ่ยเพียงเท่านั้นนางก็เดินนำชายหนุ่มเข้าไป เป็นจังหวะที่คนถูกพิษกำลังถูกพาตัวออกมา
“ช้าก่อน ขอข้าน้อยตรวจดูคุณชายก่อนเจ้าค่ะ” เล่ออิงรีบเอ่ยเมื่อเห็นท่าทางของทหารที่รีบเคลื่อนย้ายเหลือเกิน ทั้งที่ตามหมอมามันน่าจะง่ายกว่าพาตัวคนออกไป
“หลบไปอย่ามาขวางทาง ไม่เห็นหรือว่าเรากำลังรีบ” ชายแก่ท่าทางองอาจเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ เขาคือเจ้ากรมโยธา ที่มีอาการเช่นนี้ก็เพราะเขาคือคนที่พาลู่จินจงมาเที่ยวหาความสำราญ หากอีกฝ่ายตาย ตัวเขาคงหนีไม่พ้นความผิดเป็นแน่
“ข้าเป็นหมอ สามารถรักษาอาการคุณชายได้ วางเขาลง การเคลื่อนย้ายอาจทำให้พิษแพร่กระจายเร็วขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสรอดจะน้อยลงนะเจ้าคะ” บอกกับทหารที่กำลังหามคนเจ็บซึ่งมีอาการสะลึมสะลืออยู่ในยามนี้
“วางลง!” ตวาดดังลั่นห้องเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดจะเชื่อฟังคำพูดของนางเลย ต่อมาชายฉกรรจ์นับสิบพร้อมอาวุธก็ล้อมคนด้านในไว้ เพื่อไม่ให้ใครออกไป “หากคุณชายตาย พวกเราก็ไม่รอดเช่นกัน พวกท่านต้องให้ข้ารักษาเขา” บอกเหตุผลให้อีกฝ่ายรับรู้ ทว่าผู้อาวุโสก็ยังมีข้อโต้แย้ง
“จะ…เจ้าคิดว่ารับผิดชอบไหวหรือ นี่คือบุตรชายท่านกั๋วกงนะ หากเขาเป็นอันใดไปเราไม่รอดแน่” เจ้ากรมโยธาเอ่ยเสียงสั่น มองอาวุธในมือของบรรดาชายฉกรรจ์แล้วก็กลืนน้ำลายลงคอ
“ข้าจะรับผิดชอบเอง วางเขาลง” สั่งทหารทั้งสี่อีกรอบ พวกเขาจึงค่อย ๆ วางร่างคุณชายลู่ลงบนพื้น เล่ออิงรีบตรงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเขา ก่อนจะหันมาเปิดกล่องสี่เหลี่ยมออก ด้านในมีช่องแบ่งเก็บอุปกรณ์อย่างชัดเจน บางสิ่งก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน และการประดิษฐ์มันก็แปลกตายิ่งนัก เพราะเปิดออกมามันกลับมีหลายชั้นและยังแยกออกไปซ้ายขวาได้ด้วย
“กินยาเม็ดนี้ก่อน มันช่วยยื้อชีวิตท่านได้ ข้ายังต้องตรวจดูว่าท่านโดนพิษชนิดใด” เอ่ยจบนางก็ป้อนยาให้อีกฝ่ายกิน คนเจ็บก็ไม่มีท่าทีอิดออดเลยสักนิด เพราะเขาไม่อยากตาย
เล่ออิงหันกลับมาส่งสายตาให้กับคนของตน ต้าจงและใจ๋ใจ๋รวมถึงสตรีอีกสองนาง จึงเดินสำรวจตรวจตราดูเครื่องดื่มพร้อมกับข้าวปลาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยเฉพาะของลู่จินจง
“สุรานี้ไยถึงมีกลิ่นคุ้นนัก” ใจ๋ใจ๋เอ่ยขึ้น ก่อนจะเทลงใส่จอกแล้วใช้ปิ่นปักผมเงินบนหัวทดสอบดู “มียาพิษจริงด้วย” นางถือ จอกสุราเดินเข้ามานั่งลงข้างผู้เป็นนาย เล่ออิงยกขึ้นมาดมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่คิ้วสวยจะผูกกันเป็นปม
นางหันมากระซิบบางอย่างกับใจ๋ใจ๋ ทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป
“มีอะไรกันหรือ” ต้าจงเดินเข้ามานั่งอีกคน
“มันคือพิษชนิดเดียวกันกับที่เราโดนเมื่อแปดปีก่อน” ใจ๋ใจ๋กระซิบบอกน้องชายแผ่วเบา มือนางก็เย็นเฉียบจนเล่ออิงต้องปลอบ เพราะเข้าใจดีว่าสองพี่น้องรู้สึกเช่นใด
“เช่นนั้นต้องใช้ยาขวดสีดำใช่หรือไม่ขอรับ” ต้าจงเอ่ยถาม
“อืม ให้ป้าตู้ไปเอามาแล้วกัน ส่วนพี่จัดการพาทุกคนออกไปสอบสวนที่เรือนด้านหลัง อย่าปล่อยไปแม้แต่คนของเรา ข้าต้องคุยกับใต้เท้าทั้งสองและคุณชายลู่ก่อน ไม่เช่นนั้นหอชุยอวี้ต้องเดือดร้อนแน่” กำชับคนของตน ก่อนจะหันมาปลอบพี่สาวที่ยังคงอยู่ในอาการตื่นกลัว
เรื่องราวในอดีตมันทำให้ใจ๋ใจ๋เจ็บปวดไม่น้อย โดยเฉพาะครั้งที่ทำให้นางเกือบตาย ดีที่พบกับไฉ่เล่ออิงเสียก่อน
“ใต้เท้าช่วยพยุงคุณชายไปนั่งทีเจ้าค่ะ”
“รักษาได้หรือไม่” รองเจ้ากรมรีบถาม สีหน้ายังดูเป็นกังวลเช่นเคย แม้คนเจ็บจะเริ่มมีสติบ้างแล้วก็เถอะ
“ได้เจ้าค่ะ ขอใต้เท้าโปรดวางใจ อีกประเดี๋ยวยาถอนพิษก็มา ทว่าข้าน้อยขอคุยธุระกับพวกท่านรอไปก่อนแล้วกัน”
“มะ…หมายความว่าอย่างไร เจ้ามียาถอนพิษกระนั้นหรือ แค่ตรวจดูแค่นี้ก็รู้แล้ว มันจะเป็นไปได้เช่นไร หรือเป็นพวกเจ้าที่วางยา” เจ้ากรมโยธาถามอย่างร้อนใจ พร้อมกับชี้หน้าสตรีทั้งสองด้วย คนเจ็บก็มีอาการไม่ต่างกัน ทั้งตกใจทั้งอยากรู้
“เราไม่ได้วางยา ข้าน้อยรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ เพราะข้าน้อยดันมียาถอนพิษนี่แหละ แต่ข้าน้อยเอ่ยด้วยความสัตย์จริงนะเจ้าคะ เราไม่ได้วางยาคุณชายแน่ ไปนั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ แล้วข้าน้อยจะเล่าให้ฟัง” เล่ออิงยังย้ำคำเดิมหลาย ๆ หน ก่อนจะผายมือให้กับทั้งสามที่กำลังประคองกัน ในที่สุดพวกเขาก็จำต้องนั่งลง เพราะด้านนอกมีแต่คนของหอชุยอวี้
ก๊อก! ก๊อก!
“ได้ยามาแล้วเจ้าค่ะ” ใจ๋ใจ๋รีบลุกไปเปิดประตู ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับขวดยามาส่งให้ผู้เป็นนาย ทั้งสามมองตามเป็นตาเดียว นึกหวั่นไม่รู้อีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“นี่เป็นยาถอนพิษเหมันต์กินร่าง คุณชายกินก่อนนะเจ้าคะ อย่ากังวลไปเลย ถ้าข้าน้อยคิดจะเอาชีวิตท่าน ไม่ช่วยให้เปลืองยาหรอกเจ้าค่ะ กินเสีย จากนี้เราจะได้มาคุยกัน” เล่ออิงขยับตัวนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม ลู่จินจงมองอีกฝ่ายนิ่ง เพราะหน้าตานางมันสะกดใจดียิ่งนัก ทว่าเขายังคงแคลงใจอยู่จึงเอ่ยถาม
“ข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่านี่คือยาถอนพิษ”
“นางเป็นหมอจริง ๆ เจ้าค่ะ ประจำอยู่ที่นี่และหอชาฮวา เล่ออิงเก่งวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็ก ชีวิตข้าน้อยกับน้องชายนางก็เป็นคนช่วยไว้ และเราก็ถูกพิษชนิดเดียวกันกับคุณชาย จึงไม่แปลกที่นางจะมียาถอนพิษ คุณชายรีบกินยาเถอะเจ้าค่ะ ยาระงับอยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากชักช้าอาจไม่ทันการ” ใจ๋ใจ๋ขยับเข้ามาแย่งเอาขวดยาไปถือเอง นางเทมันลงฝ่ามือแล้วยัดใส่ปากตน และกลืนมันให้ทุกคนเห็น ก่อนจะอ้าปากให้ตรวจอีกด้วย
“พี่ใจ๋ใจ๋รู้ว่าพิษนี้ทรมานแค่ไหน คงไม่อยากให้ท่านสัมผัสกับมันตอนที่ยาออกฤทธิ์เต็มที่กระมัง หรือต้องให้ข้าน้อยลองด้วยเจ้าคะ ท่านจึงจะเชื่อ” แสร้งถามอีกฝ่ายที่นั่งนิ่ง
“ก็ได้ ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าดู แต่อย่าลืมนะว่าถ้าข้าเป็นอันใดไป หอชุยอวี้จะเหลือแค่ชื่อเท่านั้น” ยังมิวายขู่ให้ทั้งคู่กลัว จากนั้นเขาก็หยิบยาที่อยู่บนมือใจ๋ใจ๋เอาใส่ปากแล้วกลืนลงคอ
เล่ออิงยกยิ้มก่อนจะเดินกลับมานั่งตรงข้ามกัน จากนั้นเจ้ากรมโยธาก็เริ่มสอบถามทั้งคู่เกี่ยวกับเรื่องยาพิษนี้ ใจ๋ใจ๋จึงเล่าเหตุการณ์คร่าว ๆ ให้ทั้งสามฟัง บอกเพียงว่าตนและน้องชายเป็นเด็กกำพร้า ถูกจับไปเป็นทาสทดลองยาอยู่นานหลายปี จนกระทั่งพวกตนคิดจะหนี แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด จึงถูกจับกรอกยาพิษชนิดนี้แล้วก็แทงซ้ำก่อนจะผลักให้ตกแม่น้ำ รอดมาได้ก็เพราะท่านหมออายุน้อยผู้นี้ช่วยเหลือเอาไว้
“ข้าไม่เชื่อว่าคนในหอชุยอวี้จะไม่มีส่วนรู้เห็น คงตั้งใจช่วยข้าเพื่อมาทวงบุญคุณในภายหลังสินะ” ลู่จินจงยังคงกล่าวหาทั้งที่ไม่มีหลักฐาน เพราะเขาเกิดถูกใจผู้ที่ช่วยรักษาตนขึ้นมาแล้ว จึงหมายจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างให้ทางหอรับผิดชอบ และบีบให้นางยอมจำนนแต่โดยดี สตรีงามเพียงนี้จะปล่อยให้หลุดมือได้เยี่ยงไร เก็บไว้นอนครางใต้ร่างมันถึงจะถูก
“เราไม่น่าช่วยเขาเลยนะเจ้าคะ ดูสายตาหื่นกระหายนั่นสิ” ใจ๋ใจ๋เอ่ยกับผู้เป็นนายเสียงเบา นึกรังเกียจสายตาโลมเลียของอีกฝ่ายยิ่งนัก มองเนินอกไฉ่เล่ออิงอย่างไม่ปิดบัง
“แต่ถ้าไม่อยากให้ข้าเอาเรื่่องคนที่นี่ เจ้าก็ควรมีสิ่งมาแลกเปลี่ยนนะท่านหมอ” พอหายดี ลู่จินจงก็เผยธาตุแท้ออกมา สตรีในหอนางโลมไม่ว่าจะทำหน้าที่ไหนก็เหมือนกันหมด ดูจากการแต่งกายก็รู้แล้ว ใส่มายั่วยวนถึงเพียงนี้ ต้องคิดจับเขาแน่
ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวอันใดอีก ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงของชายใส่หน้ากากและผู้ติดตาม
“เจ้าเป็นใคร?” ลู่จินจงรีบตวาดผู้ที่เดินเข้ามา เพราะท่าทางไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ด้านนอกก็มีชายฉกรรจ์ยืนเฝ้า
“พวกท่านอยากพบเจ้าของหอชุยอวี้มิใช่หรือ” ผู้มาใหม่เอ่ย ก่อนจะปลดเสื้อคลุมมาสวมให้ไฉ่เล่ออิง แล้วนั่งลงข้างกัน
#ท่านอาขี้หวงนะ