7. ท่านอาฉี
ไฉ่เล่ออิงมองผู้มาเยือนอย่างไม่ชอบใจ นางรีบหันไปคว้าเอากระบี่ที่วางอยู่บนชั้นวางติดมาด้วย พร้อมกับมองผ่านเลยไปยังด้านหลังของเขา ด้านนอกมีชายฉกรรจ์มากกว่าห้าคนยืนเฝ้าอยู่ คาดว่าคงเป็นลูกน้องของคนผู้นี้กระมัง
แล้วเหตุใดพวกเขาจึงอาจหาญกล้าบุกเข้ามาในห้องพักของนาง มิหนำซ้ำผู้ที่ยืนอยู่นี้ยังใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าอีก
“ตอบมา! เจ้าเป็นใคร ไยกล้าเข้ามาในห้องข้า” คำรามใส่ร่างสูง ทว่าน้ำเสียงมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะลืมกระทั่งผู้มีพระคุณ เสียแรงที่นายท่านช่วยเอาไว้” ผู้ที่เดินประกบคนใส่หน้ากากเอ่ยหยัน
“ใครกัน? ทำไมพูดเหมือนรู้จักเราดี” พึมพำพร้อมกับมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา ทว่ามันก็เห็นแค่หน้ากากสีขาวเท่านั้น คิ้วสวยยังคงผูกกันเป็นปม มองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ
“คุณหนูขอรับ นี่นายท่านฉีเองขอรับ” จ้าวจีหยวนรีบตรงเข้ามาไขข้อข้องใจสตรีตัวน้อยที่ยืนยกกระบี่ชี้หน้าเจ้านายเขาอยู่
เล่ออิงย่นคิ้วเข้าหากันอีกรอบ มองผู้ที่ตนรู้จักเป็นอย่างดีเพราะจ้าวจีหยวนคือผู้มารับเงินที่หอทุกเดือน ก่อนจะหันมาชี้กระบี่ใส่คนที่นั่งอยู่พร้อมกับทำตาโตมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้น
“เขาคือท่านอาฉีหรือ แล้วเหตุใดต้องใส่หน้ากาก”
จีหยวนขยับมายืนข้างกันแล้วกระซิบ “นายท่านรำคาญสตรีที่ชอบเข้าหาขอรับ คุณหนูก็ทราบว่านายท่านรูปงาม” ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ขยับออกมายืนยิ้มแห้ง เล่ออิงเลิกคิ้วทำตาโตทันที อมยิ้มแล้วส่งหน้าทะเล้นให้กับผู้มีพระคุณของตน เมื่อนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านอาที่เคยช่วยชีวิตนาง
ไฉ่เล่ออิงเดินมานั่งข้างกัน เอียงหัวมองคนที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่รู้ตอนนี้คิดสิ่งใดอยู่ ทว่าแววตานั้นกำลังจับจ้องนาง
“ข้าไม่เชื่อ ท่านต้องเปิดหน้ากากให้เห็นหน้าก่อน”
“ไร้สาระ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาตำหนิ มองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาคมดุ “ข้าจะมาพักที่นี่สักระยะในฐานะอาของเจ้า จะได้ไม่เป็นที่สงสัยของผู้คนในเมือง หากมีใครถามเรื่องหน้ากากก็บอกไปว่า หน้าตาข้าอัปลักษณ์ มีบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าเข้าใจหรือไม่” ออกคำสั่งผู้ที่ยังมองเขา ไม่มีทีท่าจะหันหนีเลยสักนิด ช่างเป็นสตรีที่กล้าเหลือเกิน
“ไม่ให้พัก จนกว่าท่านจะยอมเปิดหน้ากาก” ยังคงต่อรอง แม้จะเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายคือฉีไป่เสวียน ผู้มีพระคุณที่อุปการะตนจนกระทั่งมีวันนี้ เพราะนางจำแผลเป็นที่คอเขาได้
“คุณหนู นายท่านคือคุณชายฉีที่ช่วยคุณหนูขึ้นมาจากน้ำเมื่อสิบปีก่อนจริง ๆ นะขอรับ” จ้าวจีหยวนเอ่ยเสียงอ่อน เมื่อเห็นท่าทางไฉ่เล่ออิงยังคงเคลือบแคลนตัวตนผู้เป็นนาย
ใบหน้างามค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเหลือบตามองคนที่นั่งนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดอีกครั้ง “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะให้สาวใช้มาจัดห้องให้ก็แล้วกัน ว่าแต่ท่านอามาทำอะไรที่เมืองนี้หรือเจ้าคะ”
คราวนี้หันมาสนใจการมาของอีกฝ่ายแทน คำว่าสักระยะของเขาดูเหมือนจะนานพอสมควร
“ไม่ใช่ธุระอันใดของเจ้า” คำตอบช่างเย็นชานัก
“ชิ! ใครเขาอยากรู้กัน” แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ ทัั้งที่เมื่อครู่นางเป็นคนถามเองแท้ ๆ ทำเอาจีหยวนถึงกับยิ้มแห้ง
“คุณหนูอย่าแหย่รังผึ้งขอรับ” โน้มหน้าลงมาป้องปากกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะถอยมายืนนิ่งอยู่ข้างกัน
เล่ออิงเงยหน้ามองชายหนุ่มที่กล่าวกับตนแล้วก็หันไปหาผู้ที่นั่งนิ่ง แววตาภายใต้หน้ากากสีขาวยังคงจับจ้องนางอยู่ สตรีตัวน้อยจึงทำได้เพียงคว่ำปากลงพร้อมกับหลับตาค้อนด้วย
‘เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากนัก’ ไป่เสวียนนึกในใจ เมื่อเห็นท่าทางการกระทำของคนตรงหน้า แต่ก่อนตี้เล่ออิงไม่ค่อยพูด ที่สำคัญคือเอาแต่ใจไม่ยอมอะไรง่าย ๆ กับเขานางยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ทว่ายามนี้หน่ะหรือ ดวงตาคู่สวยนี้มันกำลังเหลือบมองเขาอยู่ และยังยู่ปากใส่ซึ่งหน้าอีกด้วย มันน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด เห็นทีเขาต้องอบรมนางใหม่เสียแล้ว
“แล้วนี่จะไปไหน ไยถึงแต่งตัวเช่นนี้” ถามเสียงดุ มองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะอาภรณ์ที่นางสวมอยู่มันดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าใดนัก มันไม่ต่างจากสตรีในหอนางโลมเลย นุ่งน้อยห่มน้อยจนเขาไม่กล้ามองลงต่ำ เพราะบางสิ่งมันล้นขึ้นมาจนเขารู้สึกอึดอัด ตัวก็เล็กแค่นี้ไยถึงเอามาเยอะนัก
“ข้าก็แต่งเช่นนี้ทุกวัน เพราะต้องดูแลลูกค้า” เอ่ยแล้วก็ยิ้มจนตาหยี ทำเอาผู้ที่มองอยู่ถึงกับนิ่งไป นึกไม่ถึงว่านางจะอารมณ์เปลี่ยนได้เร็วถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ยังทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่เลย
“น่าเกลียด” เอ่ยโดยไม่มองหน้า
“ตรงไหนกัน งามจะตายดูสิเจ้าคะ” กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวให้เขาดูด้วย จากนั้นนางก็โน้มตัวลงมาใกล้ จนหน้าอกอยู่ต่อหน้าเขา ทำเอาไป่เสวียนถึงกับลมออกหู
“ตี้เล่ออิง ไยเจ้าถึงได้ไร้ยางอายเพียงนี้ห๊ะ!” คนโตกว่าคำรามลั่นห้อง เมื่อเห็นการกระทำของนาง “ไร้การอบรมสิ้นดี นี่หรือบุตรสาวแม่ทัพตี้” กล่าวอย่างเหลืออด จนลืมนึกไปว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาหญิงสาวต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง
เล่ออิงชะงักกับคำพูดของอีกฝ่าย รู้สึกหน้าชาอย่างไรไม่รู้ มิใช่คำพูดดูถูกของเขาหรอกที่ทำให้นางเกิดอาการเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่สะกิดใจคือนามของใครบางคนที่นางลืมไปแล้วต่างหาก
ร่างเล็กขยับกายยืนตรงมองหน้าอีกฝ่ายก่อนเอ่ย
“ข้ากับคนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกันแล้วตั้งแต่วันที่เขาขับไล่ข้ากับท่านแม่ ยามนี้ข้าคือไฉ่เล่ออิง เจ้าของหอนางโลมชุยอวี้ นิสัยไร้ยางอายที่ท่านเอ่ยถึง มันเป็นเรื่องปกติของสตรีชั้นต่ำเช่นพวกเราอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะมีเงินซื้อความสุขให้ตนเองหรือ” ไฉ่เล่ออิงไม่มีท่าทีเสียใจกับคำพูดของตนแม้แต่น้อย
นางมิได้เหยียดหยามตนเองที่เปิดหอนางโลม แม้ว่ามันจะเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำหาเกียรติอันใดไม่ได้ ต่อให้เป็นเจ้าของก็เถอะ สายตาของคนชั้นสูง อย่างไรที่นี่ก็คือแหล่งมั่วโลกีย์อยู่ดี
ไป่เสวียนนิ่งไปตั้งแต่ได้ยินนางเอ่ยว่าไม่เกี่ยวข้องกับบิดาแล้ว นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าตัดขาดกับคนสกุลตี้จริง ๆ ทว่ามันก็ไม่แปลก ในเมื่อนางเข้าใจทุกอย่างเช่นนั้น หรือเขาควรบอกความจริงกับนางดี แต่เล่ออิงจะเชื่อที่เขาพูดกระนั้นหรือ
ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปากเอ่ยอันใด เสียงเอะอะด้านนอกก็ดังขึ้น ทำให้คนในห้องต้องรีบออกมาดู
“นายหญิงเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ” ต้าจงตระโกนถาม
“ข้าไม่เป็นไร มีเรื่องใดงั้นหรือ เหตุใดท่าทางพี่ดูร้อนใจ” เล่ออิงเดินมาหยุดที่ทางลงหน้าห้องโถง มีบุรุษทั้งสามตามมาด้วย
ต้าจงเห็นว่ามีจ้าวจีหยวนอยู่ด้วยจึงเบาใจ คาดว่าพวกเขาคงเป็นคนของนายท่านกระมัง อาจมีเรื่องหารือกันก่อนหน้าเขาจะมา เขาจึงรีบรายงานเรื่องสำคัญ
“ในหอเกิดเรื่องขอรับ บุตรชายกั๋วกงถูกวางยา”
“อะไรนะ! ใครกล้ามาลงมือในหอของข้า” เล่ออิงวิ่งกลับไปยังห้อง ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับย่ามสะพายประจำตัว ก่อนจะลงจากเรือนโดยไม่หันมาแลผู้ที่ยังยืนอยู่ด้านบนสักนิด
“เจ้าตามไปวสืบดูว่าใครเป็นผู้บงการ” ไป่เสวียนเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะมองตามร่างเล็กที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ใจก็อยากห้ามไม่ให้นางรักษา เพื่อประโยชน์ในวันหน้าของการทำงาน ทว่าหากทำเช่นนั้น หอชุยอวี้คงได้รับผลกระทบไปด้วย