5. ศึกษาหาความรู้
คนจากยุคปัจจุบันเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปได้แล้ว และอุปนิสัยก็เปลี่ยนไปมากจนน่าแปลกใจ ทว่าคนรอบตัวต่างรู้สึกยินดีมากกว่า เพราะไฉ่เล่ออิงไม่เชื่องช้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่แปรเปลี่ยนเป็นดื้อซนอย่างกับลิงนี่สิ
จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อผู้ที่อยู่ในร่างนี้คือหมอทหารที่เก่งการต่อสู้มาก ในโลกปัจจุบันนางจะตื่นขึ้นมาออกกำลังกายเพื่อยืดเส้นยืดสายทุกเช้า ฝึกการต่อสู้โดยเฉพาะยิงปืน ทว่าในยุคนี้ไม่มีก็เลยต้องหันมาจับดาบหรือทวนเป็นอาวุธ เพื่อให้ตนเองมีทักษะ ไฉ่เล่ออิงคิดว่าวันหนึ่งตนอาจต้องใช้มัน เพราะยุคสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะสงคราม
“เอาอีกแล้วนะอิงเอ๋อร์ ไยไม่หัดเย็บปักถักร้อยเหมือนบุตรสาวบ้านอื่นบ้าง อาวุธเหล่านี้มันของบุรุษนะลูก” คนเป็นแม่ส่งเสียงบ่นมาเช่นเคย ทว่าบุตรสาวก็หาได้ฟังไม่
“ท่านแม่ อย่าให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่ชอบเลยนะเจ้าคะ ฝึกยุทธ์มันดีจะตาย ภายหน้าหากเกิดเรื่องลูกจะได้ปกป้องท่านแม่กับป้าหว่านได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ” ส่งยิ้มจนตาหยีให้มารดา ก่อนจะหันมารำดาบด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยอีกครั้ง
“ดูเอาเถอะแม่นม ฟังข้าเสียที่ไหนกัน อิงเอ๋อร์ผู้ว่านอนสอนง่ายคนนั้นไปไหนแล้วนะ” คนเป็นแม่บ่นพึมพำเหมือนเคย มองดูลูกสาวที่สูงแค่อกกำลังถือดาบแกว่งไกวฟันมัดฟางอย่างชำนาญ
ต่างจากเมื่อก่อนอย่างกับคนละคน นึกแล้วก็ใจหาย ตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้นบุตรสาวก็เปลี่ยนไป
“ป้ากลับคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูดูแข็งแกร่งดี เราต้องคิดเผื่อเอาไว้ว่าชีวิตอาจจะอยู่ได้ไม่นาน หากไม่มีเราคุณหนูจะอยู่ได้เช่นไร” แม่นมหว่านเอ่ยสอนผู้เป็นนาย เพื่อให้คิดอยู่เสมอว่าร่างกายนางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไฉ่หวายอิงป่วยและคงหาทางรักษาไม่ได้ ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหน เรื่องนี้นางไม่ยอมบอกบุตรสาว เกรงว่าความสดใสที่มีจะหายไป จึงเลือกเก็บเอาไว้ดีกว่า
“มันก็จริง แต่ข้าก็อยากให้ลูกอ่อนโยนลงบ้าง ไม่ใช่ดื้อเป็นลิงเช่นนี้ ดูเอาเถอะวิ่งกระโดดใส่กำแพงดีดตัวตีลังกาอย่างกับผู้ชาย สกุลใดจะเอาเข้าบ้านไปเป็นสะใภ้กัน” คนเป็นแม่ก็ยังบ่นไปตามประสา เพราะกลัวว่าบุตรสาวจะขายไม่ออก
“ท่านแม่ลูกจะไม่แต่งงานหากไม่พบกับบุรุษที่ถูกใจ ที่สำคัญเขาต้องรักและมีลูกคนเดียวด้วย” หันกลับมาเอ่ยกับมารดาที่นั่งเกลี่ยใบสมุนไพรในกระจาด
ไฉ่หวายอิงมองค้อนบุตรสาวไปหนึ่งที นางรู้สึกเหมือนถูกเหน็บอย่างไรไม่รู้ แม่นมหว่านจึงหัวเราะชอบใจให้ได้ยิน และในแต่ละวันเรือนหลังน้อยแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยความสุขทุกค่ำคืน
ส่วนกลางวันพวกนางก็รักษาคนป่วยคนเจ็บจนชื่อเสียงเริ่มกลับมาอีกครั้ง ตัวเล่ออิงเองก็หัดเรียนรู้เรื่องสมุนไพร ช่วยมารดาปรุงยาจนเริ่มชำนาญ ยามว่างก็ฝึกวิชาต่อสู้ทุกชนิด
ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าอาการป่วยของไฉ่หวายอิงกลับทรุดลง จนนางถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ เล่ออิงจึงหาวิธีรักษา ทว่ามันช้าเกินไป เพราะร่างกายนี้ทนมานานแล้ว
ไฉ่หวายอิงจึงจากไปในที่สุด ทั้งที่พึ่งกลับมาบ้านเกิดได้เพียงแค่สี่เดือนเท่านั้น บุตรสาวก็ยังเด็กนัก อายุยังไม่ถึงเก้าหนาวเลย ทว่านางต้องมาขาดทั้งบิดาและมารดาเสียแล้ว
ไม่ต่างจากชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเลย
ไฉ่เล่ออิงมองโลงศพสีดำถูกหย่อนลงหลุมด้วยแววตาเศร้าหม่น มีแม่นมหว่านยืนปลอบพร้อมกับหลั่งน้ำตาอาลัยผู้เป็นนาย นึกไม่ถึงว่าตนจะกลายเป็นคนมาส่งนางขึ้นสวรรค์ก่อน
“เสียใจด้วยนะอิงเอ๋อร์” ชายแก่เดินเข้ามาเอ่ยกับเด็กน้อยที่ยืนนิ่งมองชาวบ้านช่วยกันกลบหลุมศพของมารดา
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” หันมาเอ่ยเสียงเบา จากนั้นก็มีอีกหลายคนเดินเข้ามาเอ่ยคำปลอบโยน ไม่นานนักความเงียบก็แผ่เข้ามาปกคลุม เมื่อชาวบ้านต่างก็ทยอยกันกลับแล้ว
“คุณหนูเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยเสียงเครือ
เล่ออิงหันมายิ้มอ่อนส่งให้คนแก่วัยสี่สิบสาม ก่อนจะจูงมือกันเดินออกมาจากเชิงเขา สถานที่ฝังศพของคนในหมู่บ้าน
จากนั้นเป็นต้นมา เด็กน้อยวัยแปดหนาวผู้นี้ก็หันมาตั้งใจเรียนรู้วิชาแพทย์อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ลืมฝึกการต่อสู้ให้คล่องตัว นางไม่มีบุพการีคอยปกป้องอีกต่อไปแล้ว ชีวิตในวันหน้าต้องแข็งแกร่งให้มากจึงจะเอาตัวรอดได้
จนกระทั่งไฉ่เล่ออิงมีอายุได้สิบหนาว นางก็กลายเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ ทว่าด้วยความที่เป็นเด็กจึงไม่มีใครเชื่อในฝีมือ สองยายหลานจึงเริ่มมีชีวิตที่ฝืดเคืองอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ไม่เคยยอมแพ้ นางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาขายให้โรงหมอทุกวัน จนมีรายได้มาเลี้ยงปากท้อง
วันนี้ก็เช่นกัน ไฉ่เล่ออิงยังคงขึ้นเขามากับท่านตาในหมู่บ้าน เพื่อหาสมุนไพรเอามาตากแห้งส่งขายเช่นเคย
และนางก็ได้พบกับสองพี่น้องที่ถูกพิษนอนหายใจรวยรินอยู่ข้างแม่น้ำ เด็กน้อยจึงรีบนำยาที่ปรุงขึ้นมาสำหรับสะกัดพิษให้ทั้งคู่กิน จากนั้นก็ลากขึ้นมาให้นั่งพิงอยู่ที่ต้นไม้โดยมีชายแก่ช่วย
“พี่สาวพี่ชาย พวกท่านถูกใครวางยามาหรือ แล้วมันเป็นยาชนิดใดกัน พวกท่านรู้หรือไม่” เด็กน้อยเอ่ยถามผู้ที่ได้สติ นั่นคือหญิงสาวหน้าตาดีที่ถูกแทงเข้าตรงช่วงท้อง
“พิษเหมันต์กินร่าง” คนเจ็บพยายามเอ่ยบอก แม้ผู้ที่ถามจะเป็นเด็ก ทว่านี่คือความหวังอันน้อยนิดของตนและน้องชาย ไม่แน่สวรรค์อาจเมตตาให้ทั้งคู่รอดก็เป็นได้
“พิษจากดอกเหมันต์ ข้ารู้จักตัวยาแก้พิษ ท่านตาเฝ้าสองคนนี้ไว้ได้หรือไม่ ข้าจะไปที่ผาแสงจันทร์” หันมาเอ่ยกับคนแก่ที่กำลังก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่คนเจ็บ
“ไม่ได้นะอิงเอ๋อร์ มันอันตราย” อีกฝ่ายรีบห้าม
“ข้าเห็นใครตายต่อหน้าไม่ได้หรอก ไปกลับใช้เวลาไม่ถึงเค่อ ข้าจะรีบมา ท่านตาอย่าห่วงเลย” เด็กน้อยเอ่ยจบก็ไม่รอฟังเสียงคัดค้านแต่อย่างใด รีบวิ่งไปตามเส้นทางขึ้นเขาอีกครั้ง โดยมีสายตาของคนเจ็บมองตามอย่างอ่อนแรง พร้อมกับเสียงบ่นของชายแก่ ที่ทำได้แค่ยืนมองเท่านั้น
“เจ้าเด็กคนนี้ดื้อยิ่งนัก” สิ้นคำก็หันมาจัดการก่อไฟอีก
“พวกเจ้าโชคดีมากนะที่มาพบเล่ออิง เด็กคนนี้มุ่งมั่นที่จะรักษาคนมาก สถานที่ที่นางไปมันอันตราย เพราะสมุนไพรที่ต้องใช้รักษามันอยู่บนหน้าผา” หันมาเอ่ยกับผู้ที่นั่งมองผืนป่า ทั้งสองเอียงหน้ามาช้า ๆ เพราะร่างกายนั้นอ่อนแอมาก
“นะ…นางไม่กลัวหรือ ทะ…ที่จะต้องเข้าป่าคนเดียว” ชายหนุ่มหน้าตาดีเอ่ยถามเสียงแหบแห้งติดขัด
“ฮ่าฮ่า จะว่าไป ข้าก็อยากเห็นสิ่งที่ทำให้อิงเอ๋อร์กลัวเหมือนกันนะ เจ้าเด็กคนนี้ทั้งถึกทั้งทน ทำได้ทุกอย่างไม่เคยเห็นกลัวสิ่งใด ที่สำคัญคือเก่งวิชาแพทย์มาก คิดดูสิ ถ้าเจ้าสองคนเจอผู้อื่นคิดว่าจะมีโอกาสได้มาถามข้าเช่นนี้ไหม ขนาดยาที่นางปรุงขึ้นมาระงับพิษยังได้ผลเลย เจ้าคิดดูแล้วกันว่าเด็กน้อยผู้นี้จะเก่งแค่ไหน ข้าแก่มาจนป่านนี้ยังทำไม่ได้เลยนะ” ชายแก่เอ่ยชื่นชมผู้ที่ขึ้นเขาไปโดยไม่กลัวสิ่งใด
“ทะ…ท่านตา ดะ…ดูรักหลานสาวมากนะเจ้าคะ”
“อิงเอ๋อร์นางเป็นเด็กกำพร้า ไม่ใช่หลานข้าหรอก แต่ข้าก็รักนางเหมือนหลานแท้ ๆ เพราะนางทำให้เรามีอยู่มีกินขึ้นมา”
สองพี่น้องหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามชายแก่อีก จึงได้ความว่าอันที่จริงแล้วครอบครัวท่านตารับจ้างหาเช้ากินค่ำ รายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเลยสักวัน จนกระทั่งไฉ่เล่ออิงชักชวนให้ขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรด้วย จึงเริ่มมีเงินซื้ออาหารกินแบบครบสามมื้อ ไม่ต้องอดเหมือนแต่ก่อน
ครอบครัวนี้จึงรักเอ็นดูไฉ่เล่ออิงมาก สองพี่น้องฟังแล้วก็ซึ้งใจตาม นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะดีและเก่งกาจถึงเพียงนี้
จากนั้นก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้ที่พวกเขาเฝ้ารอก็กลับลงมาพร้อมกับหน้าตาอันมอมแมม เล่ออิงรีบส่งดอกสีขาวนวลให้กับคนทั้งคู่กินทั้งอย่างนั้น และสองพี่น้องก็ไม่ลังเลเลยสักนิด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลี่ใจ๋ใจ๋และหลี่ต้าจงก็ขอติดตามผู้มีพระคุณไม่ยอมไปไหนเลย เพราะตนทั้งคู่ก็เป็นกำพร้าเช่นกัน