4. ตัดขาดสกุลตี้
รถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกของแคว้น กลุ่มคนเกือบสิบมองตามด้วยความสงสัย เพราะนี่มันพึ่งจะรุ่งสาง ไม่น่ามีคนออกเดินทางเช้าเช่นนี้
“หรือว่าจะเป็นรถม้าของสองแม่ลูกนั่นขอรับ”
“บ้าหรือ นายหญิงก็บอกแล้วว่าพวกมันนั่งรถลาลาก แหกตาดูเสียบ้าง รถม้าคันใหญ่และดูดีเพียงนี้ พวกนางมีเงินมาจ้างเสียที่ไหน คงเป็นของคนใหญ่คนโตในเมืองนั่นแหละ” คนเป็นหัวหน้าส่งเสียงตำหนิลูกน้อง จากนั้นก็หันมาสนใจเส้นทางออกจากเมืองต่อ รอเวลาที่สองแม่ลูกจะเดินทางมาถึง พวกตนจะได้จัดการให้จบงานแล้วกลับไปรับเงิน ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นพวกนางผ่านทางมา จนบ่ายคล้อยแล้วก็ยังไม่ปรากฏแม้เงา
ผ่านไปห้าวัน การเดินทางของทั้งสามก็สิ้นสุดลง ไฉ่หวายอิงมองเรือนเก่าของตนที่จากไปนานนับสิบปี ตั้งแต่แม่ทัพตี้รับไปเป็นอนุ นางก็ไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย
“อิงเอ๋อร์ เราจะอยู่ที่นี่กันนะลูก” หันมาบอกบุตรสาวที่ยืนนิ่งมองบ้านหลังเล็กด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก หากเป็นแต่ก่อนคงร้องโวยวายออกมาให้ได้ยินแล้ว เพราะตี้เล่ออิงมีนิสัยชอบความสวยความงามเป็นที่สุด แม้สติปัญญาจะเชื่องช้าก็เถอะ
“เจ้าค่ะ” ตอบรับอย่างว่าง่าย ‘ดีกว่าตอนเป็นทหารเยอะ ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายนานเป็นเดือน บ้านนี้ยังถือว่าหรูเลยด้วยซ้ำ โชคดีที่เราลำบากมาก่อน’ นึกขอบใจตัวเองขึ้นมา เล่ออิงในชาติก่อนลำบากมาก เลยทำให้นางแข็งแกร่ง พอมาเจอวิบากกรรมในภพนี้เลยมองว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ
“ส่งพวกท่านถึงเรือนแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวนะขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยกับอนุไฉ่ ก่อนจะโค้งคำนับให้แล้วก็กลับขึ้นรถม้า สองแม่ลูกมองตามจนรถม้าลับตาไปก็พากันเข้าเรือน ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงัก เพราะมันรกร้างมาก
เล่ออิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู กะพริบตาถี่มองภาพเบื้องหน้า และมันไม่ต่างจากมารดาและแม่นมหว่านเลย ทั้งสามมองหน้ากันไปมาแล้วก็ถอนหายใจเสียงดังพร้อมกัน
“เราเริ่มจากห้องนอนก่อนแล้วกันนะ นี่ก็ค่ำแล้ว วันพรุ่งค่อยว่ากันใหม่” อนุไฉ่เอ่ยกับทั้งสอง ก่อนจะพากันเดินแหวกกอหญ้าที่โผล่ขึ้นมาปกคลุมทางเดิน
‘หึหึ อุตส่าห์วาดฝันไว้ซะดิบดี พอเปิดประตูมากลับอยู่ในป่าอเมซอนซะงั้น เห้อ! ชีวิตนี้จะพ้นป่าสักทีไหมเล่ออิง’ บ่นในใจ ก่อนจะเดินตามมารดาเจ้าของร่างเข้าไปด้านใน และมันก็ไม่ผิดจากคาดเท่าใดนัก ไม่มีแม้แต่โต๊ะเก้าอี้เก่าผุพัง มันคงถูกยกเค้าไปตั้งแต่เจ้าของเรือนจากไปนั่นแหละ
เด็กน้อยเงยหน้ามองมารดาที่ยืนอึ้งพอ ๆ กับแม่นมแล้วก็นึกขำ คงตกใจกับภาพที่เห็นพอดู นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลย
“ท่านแม่ เรากวาดพื้นตรงนี้แล้วนอนไปก่อนก็ได้เจ้าค่ะ เอาไว้วันพรุ่งค่อยคิดหาวิธี” เอ่ยบอกเสียงใส พร้อมกับจับมือเพื่อให้กำลังใจ ส่งยิ้มหวานจนตาหยีน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“เจ้านอนได้หรืออิงเอ๋อร์” คนเป็นแม่รู้นิสัยบุตรสาวดี จึงไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นคำพูดของบุตรตน
“ได้เจ้าค่ะ ก็แค่คืนเดียวมิใช่หรือ วันพรุ่งค่อยไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ใส่บ้าน” ประโยคของบุตรสาวทำเอาอนุไฉ่ถึงกับหน้าเสีย เพราะทรัพย์สินที่มีติดตัวมารวมแล้วยังไม่ถึงสามตำลึงเลย ตอนถูกขับออกมามันฉุกละหุกนักไม่ทันได้เก็บสิ่งใด
“อืม เช่นนั้นก็เอาตามที่ลูกว่าก็แล้วกัน” หันมายกมือขึ้นลูบหัวบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจัดการหากิ่งไม้มากวาดพื้นเพื่อหาที่นอนในคืนนี้ จนฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้อง
“แค่ก! แค่ก!” เสียงไอของใครบางคนดังขึ้นที่หน้าประตู ทำให้ทั้งสามต้องหยุดชะงักหันมามองเป็นตาเดียว
“อ้าว คุณชายกลับมาทำไมหรือเจ้าคะ” อนุไฉ่เอ่ยถามชายหนุ่มที่มาส่งตนและลูก ตอนนี้เขายืนอยู่ที่หน้าประตู
“เอ่อ…เมื่อครู่ข้าน้อยลืมเอาถุงเงินให้ท่าน นี่ขอรับ” ชายหนุ่มส่งถุงเงินให้ก่อนจะยิ้มแห้ง เพราะรู้สึกผิดที่ตนนั้นหลงลืมเรื่องสำคัญ ทำเอาทั้งสามต้องลำบากหาที่นอนเช่นนี้
“ข้าน้อยคิดว่าเราไปหาโรงเตี๊ยมพักสักคืนก่อนเถิดขอรับวันพรุ่งค่อยว่ากันใหม่ ข้าน้อยจะอยู่ช่วยจนกว่าเรือนนี้จะจัดการแล้วเสร็จละกัน หากกลับไปโดยปล่อยให้พวกท่านลำบาก คุณชายข้าน้อยคงตำหนิจนหูชาเป็นแน่” ชายหนุ่มกล่าว
เล่ออิงมองหน้าเขาพร้อมกับคิดไปด้วย ‘คุณชายฉีอะไรนี่ทำไมถึงดีกับพวกเราจัง เอ๋…หรือว่าเขาแอบชอบแม่เจ้าของร่าง'
“ฝากขอบคุณคุณชายฉีด้วยนะเจ้าคะ เอาไว้เราตั้งหลักได้เมื่อใด ข้ากับลูกจะตอบแทนให้แล้วกัน” นางเอ่ยเสียงเครือ สำนึกบุญคุณอีกฝ่ายจนไม่รู้จะเอ่ยอันใด
“อย่าได้เกรงใจไปเลยขอรับ หากครั้งนั้นท่านไม่ช่วยคุณชายข้าน้อยไว้ ป่านนี้คงเหลือแค่ชื่อไปแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอก ก่อนจะพาทั้งสามออกไปขึ้นรถม้าอีกครั้ง เพราะยามนี้มืดค่ำแล้ว
“ท่านแม่มีบุญคุณกับคุณชายฉีหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดา พร้อมกับกะพริบตาถี่รอฟังคำตอบ อนุไฉ่จึงยิ้มเอ็นดูนาง แต่ก่อนตี้เล่ออิงไม่เคยสนใจเรื่องราวของผู้อื่นเลยนอกจากตนเอง
“มันเป็นเรื่องนานมาแล้ว ตั้งแต่แม่แต่งเข้าจวนสกุลตี้ใหม่ ๆ”
“อย่างไรเจ้าคะ” เท้าคางบนขามารดารอฟัง
“อันที่จริงแม่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในแถบนี้นะ สิบปีก่อนเกิดสงครามขึ้น เลยได้ช่วยเหลือเหล่าทหารที่บาดเจ็บ รวมถึงพ่อของเจ้าด้วย จากนั้นก็เกิดพอใจกันขึ้นมา พ่อเจ้าเลยแต่งงานกับแม่ ซึ่งตอนนั้นเขาไม่ได้บอกว่ามีฮูหยินอยู่ พอตั้งครรภ์แม่ถึงรู้ และเป็นช่วงที่เจอกับคุณชายฉีพอดี เขาถูกวางยาพิษชนิดรุนแรง อยู่ได้ไม่ถึงชั่วยาม เผอิญแม่มีดอกไม้ที่ขจัดพิษได้พอดี เลยช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ” เอ่ยจบก็ลูบหัวบุตรสาวแผ่วเบา
เล่ออิงจึงขยับตัวนอนหนุนตักมารดาแทน ท่าทางออดอ้อนนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน คนเป็นแม่ก็ได้แต่ยิ้มตามอย่างเอ็นดู เพราะบุตรสาวไม่เคยทำอะไรเช่นนี้เลย นางปลื้มปิติยิ่งนัก
ทว่าความสุขมันกลับหายไปในค่ำคืนเดียวกัน เมื่ออนุไฉ่ได้เห็นจดหมายปลดจากสามี มันอยู่ในห่อผ้าที่สาวใช้นำมาให้ก่อนออกจากจวน มีตราประทับจากสกุลตี้และรอยนิ้วมือของเขาอย่างชัดเจน นางถูกสามีทอดทิ้งเสียแล้ว ไม่มีทางได้หวนคืนกลับไปที่นั่นอีก เขาช่างใจร้ายยิ่งนัก
หนึ่งเดือนต่อมา
ความเป็นอยู่ของสามแม่ลูกดีขึ้นมาก จากการช่วยเหลือของคุณชายฉี ที่ยังส่งเงินทองมาให้สองแม่ลูกใช้จ่ายเสมอไม่เคยขาด เขาถือว่ามีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ก็เพราะวิชาแพทย์ของไฉ่หวายอิง จึงสำนึกบุญคุณนางอยู่ตลอด ที่สำคัญเรื่องเงินเขาไม่ลำบากเลย สามารถส่งให้ใช้ได้ทุกเดือนไม่ขัดสนแน่นอน
ไฉ่หวายอิงจึงขอทุนเปิดโรงหมอเล็ก ๆ เพื่อใช้หาเลี้ยงครอบครัวจะได้ไม่ต้องรบกวนเขาทุกเดือน และทางนั้นก็ยินดีมอบเงินช่วยเหลือ โดยมีจ้าวจีหยวนชายหนุ่มวัยยี่สิบคอยดูแลเป็นธุระให้จนกระทั่งทุกอย่างเข้าที่เขาก็เดินทางกลับ
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เปลี่ยนมาใช้แซ่เดิม เพราะพวกนางไม่เกี่ยวข้องกับสกุลตี้อีกแล้ว ในเมื่อฝ่ายนั้นตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย พวกนางก็จะไม่สนใจเช่นกัน ใช้ชีวิตในภายหน้าให้ดีก็พอ