3. ขับออกจากจวน
ตี้อวี้เหรินมองสองแม่ลูกด้วยสายตาดุดัน แม้บุตรชายจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมก็ไม่อาจทำให้แม่ทัพผู้นี้คลายความโกรธลง
“ท่านพี่ไว้ชีวิตอิงเอ๋อร์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” อนุไฉ่รีบขยับลงคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากสามี เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเข้มงวดเพียงใด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตี้หานกวง เพราะบุตรชายคนโตคือผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวที่มีอยู่ ตัวเขาเองก็มีบุตรไม่ได้อีกแล้ว หากบุตรชายเกิดอันใดไปก็เท่ากับสิ้นสกุล
“ท่านพ่อยามนั้นถ้าเล่ออิงไม่รบเร้าพี่ชายให้อุ้มนางดูพลุ พวกเขาก็ไม่ตกลงไปในน้ำหรอกเจ้าค่ะ” ตี้จินเหมียงยังคงกล่าวในสิ่งที่ตนเห็น เพราะนึกหมั่นไส้น้องสาวสติปัญญาน้อยผู้นี้อยู่แล้ว ทำนางขายหน้ามาก็หลายหน จนไม่อยากพาไปไหนด้วย
“ข้าอุตส่าห์ใจดีให้เจ้าออกไปเที่ยวงานเหมือนพี่ ๆ กลับไม่สำนึกบุญคุณ ก่อความวุ่นวายจนทำให้ลูกข้าเกือบตาย พวกเจ้าสองแม่ลูกช่างไม่รู้จักสำนึกเอาเสียเลย ใครอยู่ข้างนอก เอาอนุไฉ่และบุตรไปโบยสิบไม้ จากนั้นขับไปอยู่ที่บ้านเก่าในเมืองเจียงเสีย อยู่ที่นั่นห้ามกลับมาที่นี่เด็ดขาด” ตี้อวี้เหรินออกคำสั่งเสียงเข้มดุดันแม้แต่หน้าเขาก็ไม่มองมาที่ทั้งคู่
ทำเอาอนุไฉ่ถึงกับทรุดนั่งแหมะอยู่กับพื้น นึกไม่ถึงว่าสามีจะใจดำถึงเพียงนี้ สั่งลงโทษราวกับเล่ออิงไม่ใช่ลูกอีกคนของเขา สงสารก็แต่บุตรสาวที่ขวัญเสียเพราะจมน้ำ แล้วยังมาถูกโบยและขับออกจากจวนแห่งนี้อีก แค่เกิดมามีปัญญาเชื่องช้าก็น่าสงสารมากพอแล้ว หรือเพราะเหตุนี้สามีจึงออกปากไล่ไม่ไยดี
ตี้หานกวงถูกพาตัวออกมาจากห้อง ตามด้วยบิดามารดาและน้องสาว ส่วนสองแม่ลูกถูกนำตัวออกไปโบยตามคำสั่งของประมุขจวน ยังดีที่ฉีไป่เสวียนขอลดโทษให้เล่ออิงได้ นางจึงถูกโบยแค่สามไม้เท่านั้น น่าแปลกที่เด็กน้อยกลับไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ ทั้งที่ปกติแค่ถูกดุก็น้ำตาคลอแล้ว
จากนั้นนางก็ถูกพาตัวเข้าเรือน เพื่อเปลี่ยนอาภรณ์เปียกชื้นออก ไฉ่เล่ออิงได้แต่ยิ้มแหยเมื่อถูกจับเปลื้องผ้าจนหมด ตอนนี้แน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าตนอยู่ในร่างคนอื่น เพราะใบหน้าที่เห็นในกระจกมันคือเด็กน้อยอายุไม่น่าเกินสิบขวบด้วยซ้ำ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เล่ออิงในภพนี้อายุเพียงแปดหนาวเท่านั้น นางยังเด็กนักและที่สำคัญคือสติปัญญาเชื่องช้ามาก แม้แต่การพูดจายังต้องประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำกว่าจะเอื้อนเอ่ยได้
หลังจากสองแม่ลูกรับโทษโบยจนครบ ทั้งคู่ก็ถูกขับออกจากจวนทางประตูหลังไม่สนว่ายามนี้จะเป็นเวลาใด ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ทว่าใครกันจะกล้าช่วย ในเมื่อคนที่สั่งการคือตี้ฮูหยิน นางกำชับให้บ่าวเตรียมรถลาลากสำหรับสองแม่ลูก ไม่ยอมให้ใช้รถม้าไม่ว่าจะคันเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
ความทรงจำเหล่านี้ผู้ที่มาจากยุคอื่นจดจำได้แม่นยำยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าการเกิดใหม่ในยุคโบราณจะพบกับชะตากรรมเช่นนี้ได้ ยิ่งกว่าเทพเซียนที่ผ่านด่านเคราะห์ในซีรี่ย์เสียอีก เปิดบทมาไม่ทันไรก็ได้ชิมไม้พลองปะทะเข้ากับก้นตั้งสามที
นึกถึงทีไรเป็นต้องผวาทุกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ็บแล้วยังต้องมานั่งรถลากตากแดดตากฝนไปต่างเมืองอีก ช่างเป็นชีวิตใหม่ที่สมบุกสมบันดีจริง ๆ หวังว่าภายภาคหน้าชีวิตนางจะไม่เจออะไรที่แย่กว่านี้นะ ทว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก
ตลอดการเดินทางเล่ออิงจึงคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากความยากจนที่จะมีในวันหน้า นางจะไม่ยอมมีชะตาอาภัพเหมือนคนทั่วไปเด็ดขาด ความรู้ที่อยู่ในหัวจะต้องนำมาใช้ทุกอย่าง
“หนาวหรือเปล่าลูก” เสียงอ่อนของมารดาเอ่ยถาม หลังจากที่ฝนหยุดตกไปสักพักแล้ว พวกนางก็ตั้งใจจะเดินทางต่อ ดีที่มีบ่าวจงรักภักดีขอติดตามมาด้วยหนึ่งคน นั่นคือแม่นมหว่าน หญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบสาม ผู้ที่ดูแลสองแม่ลูกมาตั้งแต่อนุไฉ่ยังไม่ออกเรือน นางจึงได้รับอนุญาตตามทั้งคู่มาด้วย
“เอ่อ…คือ…ลูกไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ” เล่ออิงพยายามเอ่ยวาจาตามคนในยุคนี้ เพื่อไม่ให้มันประหลาดจนทั้งสองเกิดความสงสัย มันเลยกลายเป็นคำพูดประดิษฐ์ประดอยเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด
“จริงด้วย เช่นนั้นเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนนะลูก ดูสิตัวร้อนอีกแล้ว เป็นเพราะแม่เองที่ปล่อยเจ้าออกไปเที่ยวจนต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ แม่ขอโทษนะอิงเอ๋อร์” กล่าวพร้อมกับน้ำตาคลอ มองบุตรสาวที่มีใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่อย่าได้โทษตนเองเลยเจ้าค่ะ” เอ่ยปลอบมารดาที่เอาแต่กล่าวว่าตนนั้นผิด จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเหตุการทุกอย่างมันก็เป็นอย่างที่ตี้จินเหมียงบอก
ตี้เล่ออิงรบเร้าพี่ชายจริง เป็นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น โชคดีที่เขาไม่จมน้ำตายเหมือนนาง ไม่งั้นคนจากยุคปัจจุบันคงได้ตายอีกรอบเป็นแน่ ดูท่าบิดาเจ้าของร่างจะรักลูกลำเอียงหนักเสียด้วย ตี้อวี้เหรินไม่มีทางปล่อยสองแม่ลูกให้มีชีวิตอยู่ต่อแน่
“นั่นสิเจ้าคะนายหญิง คุณหนูสามยังเด็ก ก็ต้องอยากออกไปเที่ยวเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว อย่าได้ตำหนิตนเองเลย” แม่นมเอ่ยปลอบผู้ที่เอาแต่ร้องไห้เพราะสงสารบุตร แทนที่จะเป็นเล่ออิงมากกว่าที่ฟูมฟาย ทว่าเด็กน้อยกลับเป็นฝ่ายกล่าววาจาปลอบโยนแทน พร้อมกับกอดแล้วลูบแผ่นหลังเบา ๆ
“ขอบใจนะลูก แม่ไม่เป็นไรแล้วนอนพักเถิด” อนุไฉ่เอ่ยเสียงอ่อนกับบุตรสาว นางยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนอย่างเอ็นดู แต่ก่อนอิงเอ๋อร์ไม่ได้น่ารักเช่นนี้ นางมักเอาแต่ใจตน ปลอบใครก็ไม่เป็น ทว่ายามนี้กลับดูเข้มแข็งยิ่งกว่ามารดาเสียอีก
ร่างเล็กขยับตัวเอนลงนอนบนกองฟาง ที่ปูรองเอาไว้ไม่ให้ร่างกายกระแทกกับพื้นมากนัก ทว่านางยังไม่หลับ ใครมันจะไปข่มตาหลับลงได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างวิ่งวนอยู่ในหัวไม่หยุด
ทว่าเสียงบางอย่างก็ทำให้ร่างเล็กต้องรีบลุกขึ้นมานั่งตามเดิม มองไปยังเส้นทางที่ตนพึ่งผ่านมา และไม่นานนักภาพรถม้าก็ปรากฏให้เห็น ทำให้รถลาลากต้องขยับหลีกทางให้ แต่ผู้ที่บังคับรถม้ากลับดึงเชือกให้หยุดลงแทนที่จะไปต่อ
“อนุไฉ่ ข้าน้อยรับคำสั่งจากคุณชายฉีให้ไปส่งท่านและบุตรที่เมืองเจียงอันขอรับ รีบขึ้นมาเถิด ฝนกำลังจะตั้งเค้าอีกแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตาดีเอ่ยกับคนทั้งสาม ก่อนจะลงมาพยุงผู้ที่บาดเจ็บมากที่สุดนั่นคืออนุไฉ่ เพราะนางถูกโบยหลายไม้
“ท่านแม่คุณชายฉีคือใครหรือเจ้าคะ” พอขึ้นมาได้ก็รีบถาม
“ท่านอาที่ช่วยพาเจ้ามาส่งที่จวนอย่างไรล่ะ จำไม่ได้หรือ” ตอบพร้อมกับลูบหัวบุตรแผ่วเบา
‘หนุ่มหล่อคนนั้นเองเหรอ ทำไมใจดีจัง ต่างจากพ่อเจ้าของร่างมากเลย’ นึกในใจถึงการกระทำของอีกฝ่าย
“เขาเป็นน้องท่านพ่อหรือ” ถามในสิ่งที่สงสัย
“ไม่ใช่จ๊ะ พวกเขาคบหากันเหมือนพี่น้องเท่านั้น ท่านอาฉีเป็นพ่อค้าเดินทางไปต่างแคว้นบ่อยครั้ง บางคราก็เป็นสายคอยส่งข่าวให้พ่อเจ้าด้วย เลยทำให้สนิทกันมาก”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ยิ้มกริ่มเหมือนมีแผนในใจ ก่อนจะหุบลงเมื่อคิดบางสิ่งได้ ‘พอเลยเล่ออิง กว่าร่างนี้จะโต ท่านอาฉีคงมีลูกเต็มบ้านแล้วล่ะ เลิกคิด เลิกคิด’ ต่อว่าตนเองในใจ เมื่อนึกฟุ้งซ่านไปถึงคนที่ช่วยชีวิตตนเมื่อวันวาน ก็เขาเหมือนใครบางคน ทำให้นางอดเพ้อถึงไม่ได้จริง ๆ ทว่าจากนี้คงไม่ได้พบกันแล้ว
#เปิดมาลูกสาวก็เริ่มผ่านด่านเคราะห์เลย 555