2.อดีตเมื่อสิบปีก่อน
ตูม! เสียงประหนึ่งใครโยนบางสิ่งลงน้ำดังขึ้น ทว่าความเป็นจริงร่างเล็กของสองพี่น้องสกุลตี้พลัดตกลงไปยังก้นบึ้งของคลองน้ำต่างหาก ตามมาด้วยเสียงคนกระโดดลงไปช่วย แต่ก็พาขึ้นมาได้เพียงหนึ่งคน นั่นคือคุณชายใหญ่
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อก็ยังหาตัวบุตรสาวคนเล็กไม่พบ กระทั่งใครบางคนโผล่ขึ้นจากใต้น้ำ พร้อมกับร่างไร้สติของคุณหนูสาม ซึ่งทั้งคู่อยู่ห่างออกไปนับร้อยก้าว คาดว่าร่างเล็กคงถูกกระแสน้ำด้านล่างพัดพาไป และยามนี้ทุกคนกำลังรีบช่วยชีวิตนาง แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะตี้เล่ออิงผู้นี้อยู่ในน้ำนานเกินไป ทว่าปาฎิหารย์นั้นมีจริง ไม่กี่อึดใจต่อมานางก็ฟื้น
เสียงปรบมือดังขึ้นมาหลังจากนั้น ทว่าคนที่ฟื้นจากความตายกลับไม่ได้ยินดีปรีดาเลยสักนิด ทุกอย่างมันต่างออกไปจากภาพแรกที่ตนได้พบเจอก่อนจะถูกยิง ทำให้คนที่นั่งมึนงงอยู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้คนแปลกหน้ามาพยุงให้ลุก
“ข้าจะไปส่งที่จวนเอง” เสียงทุ้มอ่อนดังมา เขาคือคนที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ เด็กน้อยได้แต่ยืนมองเขาอย่างตะลึงงัน เพราะใบหน้าที่คุ้นตานี้มันยังชวนให้หลงใหลเหมือนเคย
จมูกเรียวโด่ง นัยน์ตาคมเข้มสีดำสนิท ปากหนารูปทรงกระจับน่าจูบ ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อสมบูรณ์แบบจริง ๆ
‘ไม่สิ หัวหน้าไป่ตายไปนานแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เขาแน่ ที่นี่มันที่ไหนกัน ทำไมต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอยู่ในป่าดีดี เราถึงมาอยู่ในเมืองได้ล่ะ แล้วมือเท้าที่เล็กขนาดนี้มันอะไรกัน เราคงไม่ได้ตายแล้วมาเกิดใหม่เหมือนหนังที่เขาถ่ายทำกันหรอกนะ’ ครุ่นคิดจนคิ้วผูกกันเป็นปม ก่อนที่ตัวนางจะลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัวจากแรงยกอุ้มของชายหนุ่ม
“อ่ะ!...พี่ไป่จะพาฉันไปไหน” ยังคงเรียกชื่อเขาอย่างลืมตัว เมื่อถูกอุ้มขึ้นไม่ทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายก็ยังทำหน้านิ่งเช่นเคย
“ก็พากลับบ้านอย่างไรล่ะ แล้วก็เรียกให้มันดีดี ข้าไม่ใช่พี่เจ้า” ใบหน้าคมคายก้มลงมาเอ่ยกับเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอด พร้อมกับส่งสายตาตำหนิมาให้ด้วย นางถึงกับเป็นงง
“บ้านหรือ? หมายถึงค่ายทหารใช่ไหม” ยังคงถามในสิ่งที่สงสัย และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือแววตาฉงนของคนตัวโต
“ดูท่าหัวเจ้าคงกระแทกตอนตกลงไป ฉางเฟิงไปตามหมอเฉินมา ข้าจะไปรอที่จวนสกุลตี้” หันมาสั่งคนของตนที่เดินตาม
“จวนสกุลตี้ คืออะไร? บ้านใคร” นางยังคงตั้งคำถาม ก่อนที่อาการหนาวสั่นจะเริ่มตีตื้นขึ้นมา “ฮะ..ฮะ..ฮัดชิ้ว” ยกมือขยี้จมูกไปมาจนแดงเรื่อ ฉีไป่เสวียนจึงก้มลงมองเล็กน้อย
ผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดเขาคือ ตี้เล่ออิงวัยแปดหนาว บุตรสาวของแม่ทัพภาคแห่งแคว้นอันนามว่าตี้อวี้เหริน ทว่านางคือบุตรของอนุ หาใช่บุตรสาวฮูหยินใหญ่ไม่
“น้องสามอย่าดื้อกับท่านอานะ” เสียงตำหนิจากพี่ชายคนโตนามว่าตี้หานกวงแว่วมาให้ได้ยิน ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มต้องหันมามองอย่างมึนงง กะพริบตาถี่อีกครั้ง
“ใครอีกล่ะเนี่ยะ” พึมพำกับตนเอง ทว่าคนที่อุ้มอยู่ก็ได้ยิน
“จำไม่ได้แม้กระทั่งพี่ชายเจ้าหรือ” ไป่เสวียนก้มหน้าลงมองหลานสาวตัวน้อยที่มีท่าทางมึนงง “สงสัยอาการจะหนัก คงจมน้ำนานไป” เขาเอ่ยขึ้นมาจุดประเด็นให้คนในอ้อมแขนได้ฉุกคิด ตนถูกยิงตกน้ำตอนที่ปะทะกับฝ่ายศัตรู
ในช่วงเวลานั้นทุกอย่างมันมืดมิดไปหมด นางพยายามตะเกียกตะกายพาตนเองขึ้นมาจากผืนน้ำที่เย็นเฉียบ ทว่ามันไม่เป็นผลสำเร็จ ราวกับมีบางสิ่งดึงเอาไว้ใต้ก้นบึ้งแม่น้ำแห่งนั้น กระทั่งแสงสว่างหนึ่งเจิดจ้าส่องผ่านลงมาจากเบื้องบน พร้อมกับแรงกระชากที่ทำให้ทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง แล้วนางก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความแตกต่างจากภาพสุดท้ายที่เห็น ตนไม่ได้อยู่ในป่าอีกแล้ว ที่นี่คือที่ไหน คนเหล่านี้เป็นใครกัน
ทางเลือกดีที่สุดนางคงต้องเงียบเพื่อดูสถานการณ์ ทว่าเท่าที่สัมผัสได้ ไฉ่เล่ออิงไม่ได้อยู่ในยุคเดิมอีกแล้ว มือเท้าเล็กขนาดนี้ คิดเป็นอื่นไปไม่ได้หรอกนอกจากตนตายไปแล้ว และมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งคาดว่าคงเป็นเด็กอยู่กระมัง
‘ว่าแต่เราย้อนยุคมาจริง ๆ หน่ะเหรอ นี่ไม่ใช่กองถ่ายแน่นะ’ นึกในใจพร้อมกับกวาดตามองสำรวจไปโดยรอบ จนกระทั่งร่างสูงพามาหยุดที่รถม้าคันใหญ่ซึ่งแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม
ไฉ่เล่ออิงจากยุคปัจจุบันนิ่งงันกับภาพโดยรวมที่เห็น และยังคงนึกในใจไปเรื่อย หากเป็นการถ่ายทำฉากซีรี่ย์จริง นักแสดงก็เก่งมากที่ไม่ยอมหยุดพักเลย แต่ละคนยังคงทำหน้าที่ได้สมจริง ไม่มีหลุดคาแรคเตอร์เลยสักนิด โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยที่อุ้มเธออยู่ ขนาดเข้าด้านในแล้ว เขาก็ยังไม่พูดจาอะไรเลย
‘คงไม่ใช่แล้ว นี่เราหลงมาเกิดใหม่ในยุคโบราณจริง ๆ เหรอนี่ มันเป็นไปได้ยังไงกัน’ มือขาวซีดยกขึ้นเปิดม่านออกดูด้านนอก เพื่อยืนยันความคิดตนให้มันชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“ปิดม่านลงเสีย ไม่หนาวหรือไง” เสียงดุดังมา พร้อมกับนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวจดจ้องเด็กน้อย
นางรีบถดมือหันมากอดผ้าคลุมที่อีกฝ่ายสวมให้ตั้งแต่ขึ้นจากน้ำแทน มันเริ่มหนาวอย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละ คงเป็นเพราะตอนแรกมีไออุ่นจากเขาที่อุ้มมากระมังเลยไม่ค่อยรู้สึก
นางตัดสินใจนั่งเงียบไปดีกว่า เพราะพูดอะไรขึ้นตอนนี้คงได้กลายเป็นคนเสียสติแน่ ใครมันจะไปเชื่อว่าเจ้าของร่างตายไปแล้ว แต่คนที่มีชีวิตนี้เป็นผู้อื่นมาอาศัยร่างกันล่ะ
ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปรถม้าก็หยุดลง ฉีไป่เสวียนก็ยังคงช้อนอุ้มเอาร่างเล็กขึ้นมาตามเดิม เขาไปส่งนางจนถึงห้องนอน โดยมีมารดาวัยสามสิบของนางตามมาดูแลอย่างใกล้ชิด
“อนุไฉ่อย่าได้เป็นกังวล ข้าคิดว่าเล่ออิงคงไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” ไป่เสวียนเอ่ยปลอบ เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายดูเป็นกังวลมาก มันก็เป็นธรรมดาของมารดาที่จะห่วงบุตร
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดอิงเอ๋อร์ถึงได้ตกน้ำไปเช่นนี้” หันมาถามกึ่งตำหนิบ่าวรับใช้ที่ติดตามไป
“ขออภัยนายหญิงเล็ก ยามนั้นมีผู้คนมากมายบนสะพานขอรับ จึงเกิดการเบียดเสียดกัน ทำให้คุณหนูสามพลัดตกลงน้ำ”
“เป็นลูกที่ดูแลน้องไม่ดีขอรับ” ตี้หานกวงคุกเข่าลงรับผิด
“ตี้เล่ออิงต่างหากที่รบเร้าพี่ใหญ่จนทำให้ต้องพลัดตกน้ำ ดีแค่ไหนที่พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไร” เสียงแหลมของคุณหนูรองดังขึ้น
“จริงหรือ? พวกเจ้าเอ่ยความจริงมานะ” ตี้ฮูหยินตวาดลั่นห้อง กวาดตามองบ่าวรับใช้ที่นั่งหมอบอยู่กับพื้นทีละคน
คนบนเตียงนั่งมองผู้มาใหม่ตาโต เริ่มมึนงงกับความสัมพันธ์ภายในห้องนี้ แต่คนที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำได้หายไปแล้ว ทว่ามีชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันเดินเข้ามาแทน
“หานกวงเจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เดินตรงมาจับไหล่บุตรชายวัยสิบเจ็ดให้ลุกขึ้น โดยไม่เอ่ยถามบุตรสาวที่นั่งขมวดคิ้วเลย
“ท่านพ่อต้องลงโทษเล่ออิงนะเจ้าคะ เป็นเพราะนางพี่ใหญ่เลยตกน้ำ ดีที่รอดมาได้ไม่เช่นนั้นสกุลตี้เราคงไม่มีผู้สืบทอดแล้ว” ตี้จินเหมียงรีบเอ่ยบอกบิดา และมันก็ทำให้ประมุขจวนเกิดโทสะเป็นอย่างมาก เขาหันมาหาสองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนเตียงทันที
เล่ออิงนั่งนิ่งมองบิดาเจ้าของร่าง ดูท่าเขาคงโกรธมากทีเดียว สงสัยเรื่องการสืบสกุลของคนยุคนี้จะเป็นอันดับหนึ่งจริง ๆ แล้วก่อนหน้าที่ตนจะมาอยู่ในร่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ แต่สิ่งหนึ่งที่นางแปลกใจไม่แพ้กันนั่นคือ มารดาเจ้าของร่างแซ่ไฉ่เหมือนตน
#เป็นช่วงเล่าอดีตและความลำบากของนางเอกนะคะ อย่าพึ่งหนีหายไปไหนนะทุกคน
ขอบคุณที่แวะเข้ามากดเก็บเข้าชั้นกันนะคะ