บทที่ 3.1 งานเลี้ยงสละโสด
มัทนาลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนุ่มในเช้าวันใหม่ภายใต้เสื้อผ้าชุดเก่า เธอลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะยกฝ่ามือขึ้นขยี้ตาเบา ๆ อย่างงัวเงียพลางก็ใช้ความคิดระหว่างนั้นทบทวนความทรงจำว่าเธอเผลอหลับไปไม่รู้ตัวตอนไหน จำได้ก็แต่ว่าเธอเกลือกกลิ้งร่างกายไปมาบนเตียงอย่างสบายอุรา และนั่นคงจะเป็นช่วงที่กำลังสบายที่สุดกระมังจึงได้เผลอหลับไปจนไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวเรือนร่างบอบบางจึงได้บิดเอี้ยวร่างกายจนตัวเกร็งอีกครั้งเพื่อไล่ความขี้เกียจที่ยังฝังแน่นอยู่ในความขยันออกก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระเหงื่อที่หมักหมมมาตั้งแต่เมื่อวาน
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นจากเตียงหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นแสงที่สว่างวาบขึ้นตรงหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งวางไว้บนโต๊ะเคียงหัวเตียง มัทนาชะโงกหน้าไปมองก่อนที่ตรงหน้าจอนิดหนึ่งก่อนที่จะยิ้มบางออกมาเมื่อได้เห็นข้อความที่ถูกส่งเป็นของหนูหริ่ง
‘...หนูหริ่งตั้งสำรับให้คุณไว้แล้วนะคะ’
มัทนาไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือหยิบเอาโทรศัพท์มาพิมพ์ตอบข้อความเด็กสาวในทันที
‘ขอบใจนะ...ไปเรียนเถอะจ้ะ’ ปุ่มส่งข้อความถูกกดส่งออกไป และเพียงครู่หนึ่งสติ๊กเกอร์ดุ๊กดิ๊กน่ารักก็ถูกส่งกลับมาพร้อมกับข้อความ
‘ขอให้แม่ทูนหัวของหนูมีวันดี ๆ นะคะ’
‘จ้ะ...ตั้งใจเรียนนะ’
‘ค่ะ’
หนูหริ่งเป็นผลิตผลที่มีค่าที่สุดในชีวิตของมัทนา เธอได้พบกับหนูหริ่งในวัยสามขวบในตอนที่เธอไปเที่ยวกับทางครอบครัวที่ภาคใต้ซึ่งก่อนหน้านั้นสักประมาณหนึ่งสัปดาห์มีอุบัติเหตุทางน้ำเกิดขึ้นกับครอบครัวของเด็กหญิงวัยสามขวบคนหนึ่ง
หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้หนูหริ่งกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรไปในทันที มัทนาได้รับรู้ข่าวและรู้สึกสงสารเด็กน้อยไร้เดียงสาเป็นที่สุด เธอจึงทำเรื่องขอเป็นแม่อุปถัมภ์ให้แก่หนูหริ่งทั้งที่เธอเองก็มีอายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น หากแต่ทุกอย่างผ่านความเห็นชอบจากทางครอบครัวของเธอแล้ว ทนายจึงดำเนินการทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ แต่ด้วยวัยที่ต้องออกเดินตามความฝันจึงทำให้เธอและหนูหริ่งไม่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกันสักเท่าไหร่จะมีก็แต่การคุยผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น
หลังจากที่มัทนาชำระร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินตรงลงไปยังโต๊ะอาหารตามที่หนูหริ่งบอกไว้ก่อนหน้านี้ และได้พบเจอกับสำรับที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ‘ข้าวสวย ต้มเลือดหมู’
เมนูธรรมดาที่มัทนาโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง หลายปีที่เธอทำงานอยู่ที่ยุโรป น้อยครั้งที่มัทนาจะได้กินอาหารอะไรประเภทนี้ เมื่อวานเย็นเธอจึงได้เปรยกับหนูหริ่งสองสามคำ ก็ไม่คิดว่าหนูหริ่งจะสนใจในคำพูดไปเรื่อยของเธอ จนกระทั่งมาได้เห็นสำหรับตรงหน้าจึงยิ้มออกมาด้วยความชื่นใจ เธอไม่ยักรู้ว่าลูกสาวของเธอก็ใส่ใจคนอื่นเป็นด้วย หนูหริ่งอาจจะมีอีกหลายด้านที่เธอผู้เป็นแม่ทูนหัวเองยังไม่เคยเห็น เพราะเธอและหนูหริ่งไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่เพียงการกระทำเพียงเท่านี้ก็ทำให้มัทนายิ้มออกมาอย่างอบอุ่นหัวใจ
มัทนานึกดีใจที่เธอได้ทำสิ่งที่ถูกต้องลงไปเมื่อสิบแปดปีก่อน และเธอได้แต่หวังว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญของเธอในครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกเช่นที่เธอตัดสินใจรับหนูหริ่งมาไว้ในปกครอง
ด้วยความคิดของว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะกลัวฝนอย่างมัทนาทำให้เธอครุ่นคิดเรื่องแต่งงานไม่หยุด ใจหนึ่งแอนดี้ก็ดีและสุภาพกับเธอมาก อีกใจเธอก็ยังหวงแหนความสันโดษที่กำลังจะจางหายไป
หญิงสาวคิดไปพลางก็ตักข้าวเข้าปากไปไม่หยุด จนกระทั่งน้ำซุปในชามพร่องจนเกือบเหือดแห้งจึงได้รู้สึกตัวว่าเธอไม่ควรอร่อยตามใจปากจนเกินควรเพราะเธออาจใส่ชุดที่เตรียมไว้ไม่ได้ แต่หลังรู้สึกตัวได้ครู่หนึ่งเธอก็เรอออกมาด้วยความอิ่มจึงได้รู้ว่าคำเตือนที่เพิ่งนึกได้มันไม่ทันเสียแล้ว
ระหว่างที่กำลังนำจานชามที่ใช้แล้วไปทำความสะอาดที่เครื่องล้างจาน แสงสว่างวาบบนหน้าจอก็สว่างขึ้น มัทนาชะโงกหน้าดูก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาเพราะชื่อของคนที่โทรเข้ามาอยู่ในรายชื่อที่เธอบันทึกไว้
‘แซม’
“ว่ายังไงแซม ? ” มัทนากล่าวทักทายทันทีที่เธอกดรับสาย
(คืนนี้จะไม่มาจอยกันกับพวกเราหน่อยเหรอ ? ) ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไม่ดีกว่าจ้ะ กลัวว่าหน้าจะหมอง ขอพักผ่อนดีกว่า” มัทนาตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบและสงบ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความจริงแม้แต่น้อย แต่มัทนาก็ทำเพื่อปกป้องตัวเองจากสถานการณ์ที่เธอไม่ต้องการมีส่วนร่วม
(ถ้าเปลี่ยนใจ พวกเรารอพี่อยู่นะครับ) แซมทิ้งท้าย เพราะเขารู้ว่ามัทนาไม่ใช่สายปาร์ตี้จึงไม่อยากคะยั้นคะยอกวนใจเธอ
“รู้แล้วจ้า พี่ฝากแอนดี้ด้วยนะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยตัดบทก่อนที่จะกดวาง แล้วหันไปนำถ้วยจานชามที่ถูกเครื่องล้างจานทำความสะอาดเรียบร้อยออกมาจากเครื่อง