บทที่ 1 - แรกพบ (ไม่ทันได้) สบตา 2
ในเมื่อตัวคนห่างจากเขาออกไปเพียงแต่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“น้อง” พฤทธิ์เอ่ยเรียกพนักงานชายคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่าน ก่อนจะทำการกระซิบอะไรบางอย่างกับพนักงานคนดังกล่าวพร้อมกับควักธนบัตรสีเทาออกมาจากกระเป๋าสตางค์หลายใบแล้วยัดใส่มือพนักงานหนุ่ม
“อะ...เอ่อคือ...แต่ว่า” พนักงานคนดังกล่าวมีท่าทีอึกอัก
“ทำตามที่บอกเถอะ มีอะไรฉันรับผิดชอบเอง นี่นามบัตรฉัน” พฤทธิ์พูดจบแล้วยื่นนามบัตรให้อีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง
“คะ...ครับ” พนักงานคนดังกล่าวเอ่ยรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเดินกลับไปทำตามหน้าที่ที่เพื่อนสนิทของเจ้านายสั่ง
“ไอ้พีค มึงสั่งงานอะไรลูกน้องกู ทำไมมันถึงได้ทำหน้าอย่างกับถูกจับเข้าคุกแบบนั้นวะ” ศิรชัชเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้างุนงงปนแปลกใจ “แถมยังควักตังค์ให้มันอีก เดี๋ยวนี้ป๋านะมึง ไหนเล่าสิ มึงให้เด็กเสิร์ฟกูไปทำอะไร? พอดีว่ากูอยากใส่ใจ”
“อยากใส่ใจ? ...อยากเสือกก็บอกเหอะมึงอะ ทำมาเป็นอยากใส่ใจ ใช้คำซะสวยหรู ถุย!” พฤทธิ์ปัดมุขเพื่อนสนิทตกเวทีก่อนจะกระดกเครื่องดื่มเข้าปากด้วยท่าทีคล้ายกับกำลังสะใจอะไรบางอย่าง
“โหหห ไอ้เชี่ยพีค! มึงนี่นะ...” ศิรชัชส่ายหัวให้เพื่อนรักอย่างหมดคำจะพูด
พฤทธิ์ จิรวีปกรณ์ก็เป็นอย่างนี้...ภายนอกใครต่อใครอาจจะมองว่าไอ้คนนี้มันหล่อ! มันดูดี! มันเท่! มันคูล! แถมบ้านรวย ดูเป็นคุณชายไฮโซสุขุมนุ่มลึกทั้งยังจบนอก เป็นชายหนุ่มที่สาวๆ ทั้งสาวแท้สาวทรานซ์ต่างต้องพากันหลอมละลายยามเมื่อมันเดินผ่าน
แต่ความจริงนั้นใครเล่าจะรู้ ว่าบุรุษที่พวกเธอทั้งหลายต่างมาดหมายให้เป็นผู้ชายในฝันที่สุดแสนจะเพียบพร้อมนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นผู้ชายเถื่อนๆ ทั้งยังกากเกรียนคนหนึ่ง กับผู้ใหญ่หรือคู่ค้าธุรกิจไอ้พีคมันสามารถตอแหลใส่พวกเขาได้เพื่อผลประโยชน์ที่จะตามมาในภายหลัง แต่ตัวตนที่แท้จริงของมันก็อย่างที่เห็น กับเพื่อนฝูงอย่างเขาภาษาที่มันใช้ถ้าไม่ใช่ภาษารุ่นพ่อขุนรามนั่นหมายความได้อย่างเดียวว่ามันคนนั้นคือไอ้พีคตัวปลอม
อีกทั้งเรื่องไม่ไว้หน้าใครและหาเรื่องคนอื่นไอ้นี่มันก็เก่งนักล่ะ สมัยก่อนกับพวกสถาปัตย์ไอ้นี่มันล่อต่อยตีกันทุกวัน แต่มันกลับจบวิศวะออกมาได้อย่างชนิดที่ว่าประวัติขาวสะอาดอย่างไม่น่าเชื่อแถมได้เกียรตินิยมไปอีก
และที่หนักสุดก็เห็นจะเป็นเรื่องผู้หญิง...ทุกวันนี้มันไม่ตายก่อนเพราะติดโรคนี่ถือว่าโคตรมีบุญ แล้วไอ้นี่มันก็ที่สุดของความสันดานเสีย เพราะมันชอบทำที่สุดก็คือการฟันแล้วทิ้ง แม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะยินยอมให้มันฟันก็เถอะ!
“สรุปมึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอวะ?” ศิรชัชยังไม่คลายความสงสัย ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับหันหน้าไปมองบนเวทีที่เวลานี้มีเพื่อนอีกคนกำลังทำการแสดงอยู่
“เอาน่า...กูไม่ทำผับมึงเสียชื่อเสียงหรอก” พฤทธิ์เอ่ยบอกเพื่อนสนิทให้วางใจก่อนจะหันไปสนใจการแสดงของเพื่อนอีกคนที่อยู่บนเวทีโดยไม่สนใจคำซักไซ้ใดๆ ของศิรชัชอีก
“โทษนะคะ เครื่องดื่มนี่พวกเราไม่ได้สั่ง” ชนกนันท์เอ่ยทัก เมื่อพนักงานหนุ่มคนหนึ่งเดินเอาเครื่องดื่มที่พวกเธอสองคนไม่ได้สั่งมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ
“เป็นบริการพิเศษจากทางร้านสำหรับลูกค้าที่ถือบัตรในราคาxxxxครับ อีกทั้งยังมอบให้แบบรีฟิล ไม่จำกัดปริมาณ หากคุณลูกค้าต้องการเพิ่มสามารถเรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ” พนักงานหนุ่มเอ่ยบอกก่อนหันหลังเดินจากไป
เมื่อตีรณากลับมาจากการเข้าห้องน้ำ ชนกนันท์ก็รีบอธิบายที่มาที่ไปของเครื่องดื่มสองแก้วที่เพิ่งได้รับมาให้เพื่อนสนิทฟังทันที
“ก็คงเป็นอย่างนั้นมั้งแก ราคาบัตรแพงขนาดนี้ร้านเขาก็คงต้องให้สิทธิพิเศษแก่ลูกค้าบ้างอะไรบ้าง” ตีรณาว่าจบก็หยิบเครื่องดื่มดังกล่าวมาดื่ม
“อื้ม...อร่อยดีแฮะ แบบนี้ค่อยสมกับบัตรราคาใบละเกือบหมื่นหน่อย” ตีรณาบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วก็จัดการกับเครื่องดื่มและกับแกล้มตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ชนิดที่ว่าปากก็กินไป ส่วนมือก็โบกไปมาตามจังหวะเพลงของศิลปินคนโปรดช่างมีความสุขซะจนชนกนันท์ได้แต่ส่ายหน้าให้เพื่อนรักเบาๆ
ตีรณาเพื่อนของเธอคนนี้เป็นคนที่หาความสุขให้ตัวเองได้ง่ายมาก เพราะไม่ว่าในชีวิตการทำงานจะเจอปัญหาอะไรมา หรือเกิดปัญหาที่มีสาเหตุมาจากครอบครัว เพื่อนของเธอคนนี้ก็จะกำจัดความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นไปด้วยการฟังเพลงของศิลปินคนโปรดหรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยก็คือตีรณาเป็นติ่งตัวแม่อีกทั้งยังติ่งหลายวง หลายแนวเพลง เรียกได้ว่าดีเจเปิดเพลงอะไรมาเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือตีรณาจะร้องตามได้หมด
และด้วยความที่ตีรณามักจะมีพลังบวกให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ ชนกนันท์จึงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีทุกครั้งที่ได้รู้จักกับเพื่อนคนนี้ ทั้งๆ เวลานั้นเธอกับตีรณาไม่น่าที่จะโคจรมาพบกันได้
ชนกนันท์เป็นคนต่างจังหวัดหญิงสาวเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดในกรุงเทพหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายควบคู่กับการหางานพิเศษทำไปด้วย ในขณะที่ตีรณาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่ชนกนันท์เรียนอยู่
และเรื่องบังเอิญมันก็อยู่ที่พวกเธอสองคนดันไปสมัครงานพาร์ทไทม์ร้านเดียวกัน พร้อมกันแล้วก็ได้งานพร้อมกันทั้งคู่ และหลังจากที่ได้ทำงานร่วมกันไปสักพัก พวกเธอสองคนก็สนิทกันเรียกได้ว่าเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อยู่ด้วยกันก็มักจะเจอแต่เรื่องดีๆ ที่ไม่คาดฝันตลอด อย่างเช่นว่าเรื่องที่เธอกับตีรณาถูกลอตเตอรี่รางวัลข้างเคียงรางวัลที่หนึ่งคนละห้าใบ โดยตัวเลขที่เธอซื้อนั้นเป็นตัวเลขที่ตีรณาบอก ส่วนตัวเลขที่ตีรณาถูกก็เป็นตัวเลขที่เธอบอกเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นมิตรสหายที่เกื้อหนุนกันสุดๆ
สุดท้ายพวกเธอเลยย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งด้วยกันหลังจากรู้จักกันได้ครบหกเดือน และหลังจากเรียนจบพวกเธอก็พากันย้ายมาเช่าคอนโดอยู่แถวๆ พระรามเก้า
ตีรณาไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินเพราะฐานะทางบ้านค่อนข้างดี อาจไม่ถึงกับร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ขัดสน อีกทั้งตีรณายังมีพี่ชายถึงสองคนที่ช่วยดูแลรับผิดชอบครอบครัว ดังนั้นเธอจึงเป็นลูกสาวคนเล็กที่มีชีวิตที่อิสระสุดๆ ทำงานหาเงินมาได้ก็เปย์ศิลปินคนโปรดได้อย่างสบายใจเพราะภาระทางบ้านไม่ให้แบก
ส่วนตัวเธอก็ใช้ชีวิตตามปกติของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ส่งเสียเงินทองให้ยายและน้าดาที่เลี้ยงเธอมาทุกๆ เดือน ที่เหลือก็เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างปกติธรรมดา ไม่ได้มีสีสันอะไรมากมาย
แต่ดูท่าว่าชีวิตปกติธรรมดาขอเธอจะไม่ปกติอีกต่อไปแล้วเมื่อเธอรู้สึกได้ว่าเปลือกตาทั้งสองข้างของตัวเองคล้ายๆ กับจะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้สาเหตุ...
เธอไม่เมาอันนี้คือเรื่องจริง เพราะถึงแม้จะมีเครื่องดื่มฟรีที่พนักงานของร้านนำมาเสิร์ฟให้ แต่แน่นอนว่าชนกนันท์เลือกดื่มเฉพาะน้ำเปล่าและน้ำอัดลมกระป๋องที่ยังไม่ผ่านการเปิดมาก่อน
แบบนี้ไม่ได้การแล้ว...
ความคิดในตอนนี้ของชนกนันท์คือการมองหาเพื่อนสนิทและชวนกันกลับคอนโด ทว่ารอบกายของหญิงสาวเวลานี้กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า เพราะผู้คนที่มาในคืนนี้รวมไปถึงตีรณาเพื่อนของเธอต่างพากันไปเต้นกองกันอยู่หน้าเวทีตามศิลปินคนโปรด
ความคิดต่อไปของชนกนันท์ยังไม่ทันได้ผุดออกมาเซลล์ประสาทที่กำลังถูกครอบงำด้วยความมึนงงสับสน ร่างแบบบางของหญิงสาวฟุบลงไปกับโต๊ะกระจกที่นั่งอยู่เสียแล้ว...