บทที่ 1 - แรกพบ (ไม่ทันได้) สบตา 1
โดยปกติแล้วชนกนันท์ไม่ใช่คนที่ชอบจะเที่ยวกลางคืนหรือสถานที่อโคจรที่ผู้คนมากหน้าหลายตาจะต้องเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดเช่นพวกผับบาร์เลยสักนิด แต่เพราะวันนี้หญิงสาวถูกเพื่อนสนิทอย่างตีรณารบเร้ามาตั้งแต่เช้าแล้วว่าต้องการให้เธอมาที่ผับแห่งนี้เป็นเพื่อน ซึ่งสาเหตุก็เพราะศิลปินคนโปรดของอีกฝ่ายมาทำการแสดงที่ผับแห่งนี้นั่นเอง
และด้วยความที่ตีรณาสู้รบตบมือกับบรรดาแฟนคลับอีกมากมายเพื่อให้มาซึ่งบัตรเข้าชมการแสดงของศิลปินคนโปรดชนกนันท์จึงรู้สึกเห็นใจและเอ็นดูเพื่อนสนิทจึงรับปากมาเป็นเพื่อนตีรณาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่าส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบมาสถานที่ที่แออัดไปด้วยผู้คนแบบนี้เท่าไหร่นัก
และอีกเหตุผลก็คือการที่ตีรณามาดูการแสดงในสถานที่แบบนี้คนเดียวก็ดูน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
“นัน ปวดฉี่อะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“อืม ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ได้ๆ แกรออยู่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวมา”
ตีรณาเอ่ยบอกเพื่อนสนิทก่อนจะลุกจากโต๊ะที่นั่งเพื่อไปเข้าห้องน้ำด้วยความเร้วของฝีเท้าที่แทบจะเรียกได้ว่าวิ่งไป
ชนกนันท์ส่ายหน้าเบาๆ ให้กับกิริยาของเพื่อสนิท ตีรณามักจะเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่จะทำอะไรที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่ทำอยู่ตามปกติหรือมีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้น ระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเพื่อนเธอก็คล้ายจะตื่นตัวตามไปด้วย อย่างเช่นว่าหากมีการเดินทางไม่ว่าจะด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน ก่อนการเดินทางเพื่อนของเธอจะเทียวเข้าห้องน้ำอยู่นับครั้งไม่ถ้วน
ชนกนันท์หันหน้ากลับมายังหน้าเวทีอีกครั้ง ดีที่เวลานี้ศิลปินคนโปรดของเพื่อนยังไม่เริ่มทำการแสดง ไม่อย่างนั้นตีรณาคงไม่เป็นอันดูแน่ๆ ถ้าต้องลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่ศิลปินคนโปรดยังทำการแสดงอยู่บนเวที
เสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงเบาๆ เป็นการฆ่าเวลาเพื่อรอให้ศิลปินที่จะขึ้นแสดงในคืนนี้ได้เตรียมความพร้อมก่อนขึ้นโชว์
ร่างสูงของพฤทธิ์เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาภายในโซนวีไอพีของพื้นที่จัดงานก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้านหนึ่งทางฝั่งขวาของเวที โดยมีศิรชัชผู้เป็นเพื่อนสนิทเดินตามหลังมาไม่ห่าง
“ไม่น่าเชื่อว่าบัตรจะหมด ไอ้โจเซฟมันฮอตขนาดนี้เลยเหรอวะ?” ศิรชัชเอ่ยขึ้นขำๆ
โจเซฟ โยธิน วาร์ด ศิลปินหนุ่มลูกครึ่งจอมอินดี้และโลกส่วนตัวสูงจัดคือศิลปินที่จะทำการแสดงในค่ำคืนนี้ และเป็นศิลปินที่ตีรณาชื่นชอบมากจนลงทุนร่วมรบในสงครามชิงบัตรเข้าชมการแสดงที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงแค่หนึ่งร้อยใบนั่นเอง
“นี่ขนาดมันโคตรติสนะ แฟนคลับยังชอบมันขนาดนี้ ถ้าแม่งมันเฟรนลี่แบบกูนะ ป่านนี้คงดังระเบิดกว่านี้ไปแล้ว”
“มึงจะให้มันเอาอะไรมาดัง แค่นี้ตายายมันก็ถามหามันเช้าเย็น ช่วยไม่ได้นะ มันดันเป็นทายาทคนเดียวของครอบครัว ต่อให้ไม่ได้ใช้นามสกุลตายาย ยังไงมันก็ต้องกลับไปดูแลธุรกิจหลายร้อยล้านของบ้านมันอยู่ดี”
“อย่าว่าแต่ไอ้โจมันเลย มึงอะ ตอนเป็นไงบ้าง ต้องรับหน้าที่ทุกอย่างมาดูแลคนเดียว เหนื่อยกว่าเดิมหลายเท่าเลยสิ” ศิรชัชเอ่ยถามเพื่อสนิทด้วยความเป็นห่วง
อันที่จริงจะว่าไปแล้วพฤทธิ์กับโจเซฟก็มีดวงชะตาที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ของทางบ้านคล้ายกันทั้งคู่ ต่างกันตรงที่โจเซฟเป็นลูกคนเดียวมาตั้งแต่เกิด แต่พฤทธิ์กลับเป็นลูกที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของครอบครัว
“แรกๆ ก็เหนื่อย แต่พอเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็เริ่มลงตัว ตอนนี้ก็ยุ่งๆ บ้างแต่ยังโอเค” พฤทธิ์เอ่ยตอบเพื่อนก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นมาจรดริมฝีปาก นานแล้วที่ลิ้นของเขาไม่สัมผัสกับรสชาติของแอลกอฮอล์
แต่ยังไม่ทันที่ลิ้นจะได้สัมผัสของเหลวในแก้วใบใส สายตาของชายหนุ่มก็ดันเหลือบมองไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหนึ่งแถวๆ หน้าเวทีเสียก่อน
โต๊ะที่พฤทธิ์และเพื่อนนั่งอยู่เยื้องมาทางด้านข้างของเวที แต่ถูกยกระดับขึ้นมาให้สูงกว่าพื้นด้านล่างอยู่เกือบสองเมตร ดังนั้นแล้วหากมองจากมุมที่ชายนั่งอยู่เวลานี้ก็จะสามารถมองไปยังโซนด้านล่างเวลาได้อย่างชัดเจน
และนั่นก็ทำให้พฤทธิ์ได้มองเห็นใครคนหนึ่งที่นั่งโดดเด่นอยู่ตรงโต๊ะตัวกลางท่ามกลางแสงสีที่ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นักของสถานบันเทิงแห่งนี้
ชนกนันท์ อิงครัต!
ไม่สิ!...ชนิกานต์ อิงครัต ต่างหาก!
พฤทธิ์ไม่คิดว่าตัวเองจะตาฝาดถึงขั้นจำคนผิด แม้ว่าแสงสว่างในสถานที่แห่งนี้มันจะมีไม่มากนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังแน่ใจมากอยู่ดีว่าคนที่เขาเห็นอยู่ในเวลานี้คือผู้หญิงที่เป็นสาเหตุให้พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาฆ่าตัวตาย…
จริงอยู่ที่ว่าผลจากการชันสูตรศพจะออกมาในทำนองว่าพี่ชายของเขากินยานอนหลับเกินขนาด อีกทั้งในร่างกายยังมีสารเสพติดปะปนอยู่ในกระแสเลือด จนเป็นเหตุให้เกิดความคิดชั่ววูบนำมาสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด
แต่ถามหน่อยเถอะ หากคนเราไม่มีเรื่องทุกข์ใจหรือเรื่องไม่สบายใจ คนปกติที่ไหนเขาจะกินยานอนหลับกัน?
และจากที่เขาได้ยินมาฐากูรเพื่อนสนิทของพี่ชายเขา ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น พี่ชายของเขาเพิ่งจะเลิกรากับผู้หญิงคนหนึ่งไป...ซึ่งเธอคนนั้นก็คือผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวกลางหน้าเวทีในเวลานี้นั่นเอง
โลกกลม
พฤทธิ์หัวเราะออกมาเบาๆ คล้ายกับว่ากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง เพราะมันช่างเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ ที่ผู้หญิงที่เขาเคยคั่วผ่านๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะกลายมาเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชายของเขาเสียใจจนต้องฆ่าตัวตาย...
ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อนหลังจากเสร็จสิ้นงานศพพีรเชษฐ์ พฤทธิ์ก็สั่งให้คนสืบประวัติของชนิกานต์ อิงครัต มาให้เขาอย่างละเอียดทันที แต่ด้วยความที่เขายังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรับช่วงต่อในตำแหน่งประธานบริษัทจากพี่ชายที่เสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ทำให้จนถึงวันนี้ประวัติของชนิกานต์ยังวางแหมะอยู่ในลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานของเขาอยู่เลย
แต่เวลานี้เอกสารนั่นจะยังสำคัญอะไร?