ตอนที่ 10 มึงไปตามหาพ่อของเด็กให้ได้ก่อน
“คุณแม่” เด็กน้อยวัยสี่ขวบเงยหน้าขึ้นจากเข่า เมื่อเห็นว่าคนเป็นแม่กลับมาก็รีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความดีใจ
“ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้” เอมิกาลูบศีรษะเล็กทุยด้วยความเป็นห่วง ลูกของเธอนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว จะโดนยุงกัดหรือเปล่า แต่พอลองใช้มือดึงประตูดูปรากฏว่ามันเปิดไม่ออก เธอถอนหายใจยาวพรืด แม่เลี้ยงขังลูกชายของเธอไว้ข้างนอกอีกแล้ว
ดวงตากลมโตแสนเศร้าก้มลงมองลูกชายด้วยความสงสารสุดหัวใจ ออสตินเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาก ขนาดโดนขังไว้ข้างนอกแต่ก็ยังไม่ร้องไห้เลย
“ลูกนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว” ยิ่งพูดยิ่งอยากร้องไห้ ทำไมถึงได้ใจร้ายใจดำทำกับเด็กตาดำๆ ได้ขนาดนี้ ออสตินก็เป็นคน มีหัวใจเหมือนกัน เกลียดเธอแต่อย่างน้อยก็น่าจะละเว้นเด็กบ้างเพราะเขาไม่เกี่ยว
“ตั้งแต่ห้าโมงเย็นครับ”
“โถ่ลูกแม่...” เธออุ้มลูกชายขึ้นแนบอก โกรธทุกคนที่ทำร้ายลูกของเธอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ เมื่อไหร่ที่บริษัทรับเข้าทำงาน เธอจะไปจากบ้านหลังนี้ทันที
“กลับมาแล้วหรอ” เสียงของนางศศิตาหรือแม่เลี้ยงใจโหดดังขึ้น หล่อนเปิดประตูออกมาเพราะกะจะเอาขยะไปทิ้งข้างนอก
“คุณแม่ทำแบบนี้ทำไม ขังน้องออสตินไว้ข้างนอกทำไม!”
“อ่าว เด็กคนนี้อยู่ข้างนอกหรอกหรอ ฉันก็คิดว่ามันอยู่ในห้องซะอีก” หล่อนพูดเหมือนไม่ได้แยแสหรือรู้สึกอะไร กลับกันยิ่งอยากให้เอมิกากับลูกหนีไปให้พ้นๆ จากบ้านหลังนี้
“แม่ทำแบบนี้หลายครั้งแล้วนะ ถ้าเกิดออสตินเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!”
“เด็กนี่ไม่ใช่ลูกฉัน ไม่ใช่หลานฉัน ทำไมฉันต้องรับผิดชอบ”
“แต่แม่เป็นคนขังเขาไว้ข้างนอกนะ!!”
“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน!” เสียงเข้มของนายมารุตพ่อของเอมิกาดังขึ้น ก้าวเท้าเข้ามายืนเคียงข้างภรรยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น “กลับมาแล้วหรอ ทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ”
“พ่อปล่อยออสตินไว้ข้างนอกได้ยังไง อ้อมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!!”
“มึงกล้าขึ้นเสียงกับกูหรออีอ้อม!”
“ค่ะ” เอมิกาดันลูกชายให้ไปหลบอยู่ข้างหลัง ความจริงก็ไม่ได้อยากมีปากเสียงต่อหน้าเด็กหรอก แต่บางเรื่องมันก็ทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ทำอะไรเลยลูกชายของเธอต้องโดนแบบนี้อีกแน่ๆ “คุณพ่อกับคุณแม่ทำแบบนี้กับเด็กตาดำๆ ได้ยังไง ไม่สงสารออสตินหรอ ยังไงเขาก็คือหลานของพ่อนะ”
“กูบอกไปตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าถ้าอยากให้กูรับเด็กนี่เป็นหลาน ต้องไปหาพ่อของลูกมึงให้ได้ก่อน รู้ไหม ทุกวันนี้กูแทบไม่กล้าออกจากบ้านเลย เดินไปไหนก็มีแต่คนถามว่าใครคือผัวมึง แล้วแบบนี้มึงจะให้ทำยังไง เอาเด็กออกซะตั้งแต่แรกปัญหาก็จบ!”
“แล้วพ่อจะไปสนใจคำพูดของคนอื่นทำไม คนพวกนั้นไม่ได้มีผลต่อชีวิตของเราเลย ออสตินเป็นคน มีความรู้สึกเหมือนกัน จะทำอะไรก็นึกถึงความรู้สึกของเด็กบ้าง ไม่ใช่นึกถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง!” เอมิกาตัดสินใจอุ้มลูกน้อยเดินหนีเพราะไม่อยากให้ออสตินซึมซับเรื่องแย่ๆ พวกนี้ แค่นี้สภาพจิตใจของลูกเธอก็ป่นปี้ไปหมดแล้ว
“ก็เพราะมึงเป็นแบบนี้ไงชีวิตถึงย่ำอยู่กับที่ ถ้ามึงเอาเด็กออกตั้งแต่แรก ป่านนี้คงเรียนจบมหาวิทยาลัยดีๆ มีงานดีๆ ทำไปแล้วมั้ง!”
กึก!
เอมิกาที่กำลังเดินจ้ำเข้าห้องเป็นต้องหยุดชะงัก หญิงสาวกัดปากระงับความโกรธ รู้สึกโมโหทุกครั้งที่พ่อพูดเรื่องนี้และยิ่งพูดต่อหน้าออสตินด้วย ลูกของเธอจะรู้สึกยังไง
“อ้อมคิดว่าทางที่อ้อมเลือก...คือทางที่ดีสุด” เธอพยายามฝืนกลืนก้อนจุกตันในลำคอ ทอดมองคนเป็นพ่อด้วยความเสียใจ ที่นี่ไม่มีใครรักออสตินเลย ทุกคนมองว่าออสตินคือตัวปัญหา ทำให้ครอบครัวต้องตกเป็นขี้ปากของคนอื่น แต่ใครจะไปรู้...สำหรับเธอ ลูกคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ยิ่งเขาโตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรักมากขึ้นเท่านั้น ที่พยายามทำงานหนักเพราะอยากพาเขาไปจากสังคมแย่ๆ แบบนี้ “ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ อ้อมก็จะไม่มีวันเอาเด็กออก เพราะออสตินคือดวงใจของอ้อม”
“มึงอยากให้กูยอมรับลูกมึงมากใช่ไหม” มารุตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไปหาพ่อของเด็กมาสิ ให้เขามาสู่ขอมึงตามขนบธรรมเนียม แล้ววันนั้น...กูถึงจะยอมรับว่าเด็กนี่เป็นหลาน!”
เอมิกากำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรื่องมันผ่านมานานเกินกว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไข อีกอย่างพ่อของออสติน...เขาไปไกลเกินกว่าจะหันกลับมามองผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอ
“ไม่ค่ะ อ้อมยังยืนยันคำเดิมว่าออสตินไม่มีพ่อ เขาเกิดมาจากความรักของอ้อมเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“นี่มึงบ้าไปแล้วหรออี่อ้อม! ถ้าไม่มีคนทำมึงท้อง แล้วเด็กนี่เกิดมาได้ยังไง หรือมึงแอบไปเป็นเมียน้อยเสี่ยอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันจริงๆ”
“ใครจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่คนที่รู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็คือตัวอ้อมเอง ไม่ต้องพยายามให้อ้อมไปตามหาพ่อของลูกหรอกนะคะ เพราะพ่อของออสติน...” เอมิกาเสียงสั่น น้ำตาเอ่อคลอ “เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะดึงลงมาเปื้อนดิน และถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่ทำร้ายออสตินอีก....อ้อมจะฟ้องพี่ปาย”
“นะ...นี่มึงหยุดนะอีอ้อม ถ้าฟ้องคุณปายเราก็ไม่มีบ้านอยู่สิ อย่าแม้แต่จะคิด!”
“อ้อมถึงบอกไงว่าให้ปฏิบัติกับลูกอ้อมดีๆ เพราะเมื่อไหร่ที่อ้อมหมดความอดทน พวกเราได้ไปนอนใต้สะพานลอยแน่!” พูดจบเอมิกาก็อุ้มลูกหนีเข้าห้องทันที ปล่อยให้สองแก่อ้าปากค้างยืนมองหน้ากัน เพราะไม่คิดว่าเอมิกาจะกล้าฟ้องปริยภัทร
“ที่คุณตากับคุณยายพูด....หมายความว่ายังไงหรอครับ” เสียงใสแจ๋วของเด็กชายถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา
เอมิกาหัวใจอ่อนยวบ ลูกชายของเธอโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว และโตกว่านี้สภาพจิตใจคงแย่ลงเรื่อยๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ออสตินอย่าไปใส่ใจเลยนะ”
“แล้วที่คุณตาบอกว่าไปเอาเด็กออก คืออะไรหรอครับ”
“อะ...เอ่อ...ที่คุณตาหมายถึงคือ....คุณตาให้แม่ไปเข้าห้องน้ำน่ะ ออสตินลืมมันไปเถอะนะ ลูกหิวข้าวหรือยัง”
“หิวแล้วครับ” ออสตินคลานขึ้นไปนั่งบนตกแม่ ส่วนเอมิกาก็หยิบข้าวเหนียวหมูปิ้งออกมานั่งกินบนพื้นปูนเปลือย เป็นห้องขนาดเล็กที่ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรนอกจากโต๊ะเครื่องแป้ง พัดลมและฟูกนอนเก่าๆ “คนนี้...ใครหรอครับคุณแม่”
เด็กน้อยถามขึ้นเมื่อเห็นภาพของชายปริศนาหลุดออกมาจากกระเป๋าผ้าเก่าๆ ของแม่ เอมิการีบดึงรูปแผ่นนั้นออกจากมือของลูกชาย แล้วเก็บไว้ในกระเป่าเหมือนเดิม
“อะ...เอ่อ...เขาคือดาราจ้ะ”
“เขาหล่อจังเลยนะครับ ผมอยากหล่อเหมือนเขาจัง~” เด็กน้อยพูดอย่างไร้เดียงสาพร้อมหยิบหมูปิ้งขึ้นมาเคี้ยวตุยๆ อย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่เอมิกาเงียบไป
จะบอกลูกชายอย่างไรดีว่าผู้ชายในรูปก็พ่อของเขาเอง
แต่ถึงรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่อยากให้ใครขุดคุ้ยว่าใครคือพ่อของออสติน เพราะมันอาจจะไปกระทบกับงานของมาร์ติน อีกอย่าง...เขาก็มีคนรู้ใจแล้ว ปล่อยให้ความลับมันหายไปพร้อมกับความรู้สึกของเธอจะดีกว่า ถึงออสตินจะไม่มีพ่อแต่เธอก็สามารถเลี้ยงดูเขาให้เติบโตไปเป็นคนดีได้ เหมือนที่เคยสัญญากับลูกในท้องไว้เมื่อห้าปีก่อน