5
ขอบตาห่าวอู๋ร้อนผ่าว เขาไม่เคยได้ยินผู้ใดเรียกตนเช่นนี้มาก่อน และหัวใจดวงน้อยๆ มันก็บีบรัดยิ่งนัก
ฝ่ายไป๋ซินหลิวฝู นางรับรู้ได้ถึงความโหยหาของเด็กน้อย อีกทั้งนางแม้ภายนอกจะดูห้าว แข็งแกร่ง แต่เนื้อแท้นางรักเด็ก
“พวกเจ้าทั้งสองคน จำแม่ไม่ได้หรอกหรือ”
สิ่งที่นางเอ่ยทำให้ห่าวปู้อี้ขมวดคิ้วมุ่น กระนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า
“ท่านคงล้อข้าเล่นเป็นแน่ เหตุใดถึงอ้างตนว่าเป็นมารดาที่จริงใจของพวกข้า!”
ไป๋ซินหลิวฝูหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นางมองเด็กชายทีละคน และพยายามเหลือเกินที่จะไม่ทำให้ตนดูน่ากลัวอย่างเช่นเมื่อครู่ แม้ในมือจะมีงู่เห่าที่สละชีพเพื่อเป็นอาหารแก่นางทั้งสองตัว
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าจะพวกเด็กๆ ทั้งสองคน ตัวข้านอกจากมีวรยุทธ์ติดตัวบ้าง ยังสามารถอ่านใจผู้อื่นได้”
ห่าวปู้อี้ส่ายหน้ากับสิ่งที่ได้ยินทันที แต่คนตัวอวบๆ ที่จ้ำม่ำหัวเราะเอิ๊กอ๊าก และเอ่ยว่า
“เยี่ยงนั้น ท่านก็เป็นมารดาของอู๋เกอได้ขอรับ”
ความบริสุทธิ์เป็นเช่นนี้ ไป๋ซินหลิวฝูหลงเด็กชายอย่างหนัก แม้จะพึ่งได้พบหน้ากัน
“หากยินยอมให้ข้าเป็นมารดา พวกเจ้าก็ต้องจ่ายค่าจ้าง ขอทานเยี่ยงข้าไม่ทำงานให้ผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์”
สิ่งที่นางบอก สร้างความอึดอัดแก่ห่าวอู๋ทันที แต่เขาก็ล้วงเข้าไปในสาปเสื้อ ได้น้ำตาลกรวดมาหนึ่งก้อน
“ข้าเป็นเด็ก หลังจากถูกจับได้ ก็เลิกขโมยเงินบิดามาพักใหญ่แล้ว จึงไม่มีเงินติดตูดเลยขอรับ และเงินของพี่ใหญ่ ทั้งหมดก็ถูกคนหลอกเอาไป ตอนนี้สิ่งมีค่าสุดน้ำตาลกรวดก้อนนี้”
แม้จะดูใจร้ายสักหน่อย แต่ไป๋ซินหลิวฝูก็รับน้ำตาลกรวดมาแล้วอมมันไว้ในปากสัมผัสรสชาติทันที นางแสดงให้เขารู้ว่ารับงานของอีกฝ่าย ซึ่งจะเป็นมารดาพวกเขา และนางจะทำหน้าที่นี้อย่างสุดชีวิต
หัวใจนางเต้นแรงขึ้น พร้อมกับมองไปยังดวงหน้ากลมๆ ของห่าวอู๋ อีกฝ่ายเป็นเด็กที่สดใสเหลือเกิน หากนางจะมีลูกชายสักคน นางก็อยากให้เป็นเช่นนี้
“โอ้ นี่คือของดีที่สุดซึ่งข้าเคยกิน ถือว่าเป็นค่ามัดจำก็แล้วกัน และหลิวฝูผู้นี้จะเป็นมารดาให้เจ้าเอง ว่าแต่...สิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าต้องรู้ไว้ ข้าไม่ทำอาหาร ไม่เล่านิทาน ไม่อาบน้ำให้เด็กๆ แต่หากหาอาหาร หรือต่อยตีผู้อื่น มารดาของเจ้าแซ่ไป๋ รับรองว่าทำได้ไม่น้อยหน้าใคร”
คราวนี้ห่าวปู้อี้หูผึ่งขึ้นมา และเขาเห็นว่านางจัดการงูได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ภาพดังกล่าวจะชวนสยองใจไปสักหน่อย
“ข้าจะแบ่งเงินให้ท่านห้าสิบอีแปะ... หากช่วยจัดหาปัญหาเล็กน้อยได้ จากนั้น ถ้าไม่รังเกียจ ข้าจะจ้างท่านเป็นมารดา ดูแลน้องๆ สักระยะ”
“เยี่ยม ทำงานมันก็ต้องได้เงิน แต่เมื่อครู่บอกว่าดูแลน้องๆ นี่หมายความว่า น้องจากอี้เอ๋อร์ อู๋เอ๋อร์ ยังมีเด็กคนอื่นอีกหรือ”
ห่าวอู๋ยิ้มกว้าง และบอกเสียงดังฉะฉาน
“มีพี่รอง น้องเล็กแก้มแดงขอรับ อ่อ แล้วก็บิดาที่เอาแต่นอน”
เมื่อเด็กชายกล่าวจบ หญิงสาวก็จับที่หน้ากากเปลือกไม้ ยามนั้นข้อมูลต่างๆ ทั้งภาพความทรงจำ และเรื่องราวของคนในครอบครัวหลั่งไหลมาให้นางได้รับรู้
“แต่ก่อนอื่นข้าอยากได้เงินคืน เพื่อไปจ่ายค่ายา และหมอให้น้องรอง หากท่านมีความสามารถอยู่บ้าง รับงานนี้ได้หรือไม่”
“หึๆ ๆ ลูกอี้... เมื่อข้าจะเป็นแม่ปลอมๆ ของเจ้าแล้ว มีเรื่องใดบ้าง ที่แม่จะไม่จัดการให้เจ้าสมปรารถนา”
ไม่รู้เหตุใด ไป๋ซินหลิวฝูจึงกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ร่างกายนาง หัวใจนางช่างฮึกเหิมเหลือเกิน เลือดก็สูบฉีด มีความกระปี่กระเป่าอยากออกหมัดมวย และกำลังนั้นล้นเหลือ
“เด็กน้อยจงบอกทางแม่มาเถิด หากมีสิ่งใดต้องทำเพื่อพวกเจ้าแล้ว แม่ผู้นี้จะยืดอกรับผิดชอบเอง”
ห่าวอู๋ชอบใจใหญ่ ตอนนี้มีเรื่องที่เขาอยากให้นางช่วยจัดการอย่างเร่งด่วน
“ท่านแม่... ไส้เดือนน้อยข้า อยู่ในกางเกงเปียกๆ เหม็นฉี่ด้วย และเริ่มปวดท้องขอรับ”
ไป๋ซินหลิวฝูเลิกคิ้วสูง และมองเห็นภาพเบื้องหน้า ก็คาดเดาได้ว่าเมื่อครู่ เด็กชายคงกลัวมาก เลยกลั้นปัสสาวะไว้ไม่ไหว
“อย่ากังวล แม้จะหาชุดให้เจ้าเปลี่ยนแน่นอน”
เพียงแค่นางคิดอึดใจต่อมาก็รู้สึกหนักๆ ในสาปเสื้อของตน นางฉงน ครั้นล้วงมือเข้าไปสัมผัส จึงพบว่ามีเสื้อผ้าสำหรับเด็กชายอยู่ข้างใน
ความมหัศจรรย์ดังกล่าว ทำให้ไป๋ซินหลิวฝูตระหนักได้ว่า นางไม่ได้แค่เข้ามาในนิยาย แต่อยู่ในโลกคู่ขนานที่มีระบบหรือบางสิ่งควบคุมเอาไว้ และตาเนื้อของนางเห็นมิติพิเศษคล้ายห้องเก็บ ซึ่งสามารถหยิบสิ่งของต่างๆ ออกมาใช้ได้
เมื่อส่งกางเกงและเสื้อให้ห่าวอู๋แล้ว เขาก็เปลี่ยนทันที แม้เป็นเสื้อผ้าราคาไม่แพง แต่ดีกว่าชุดเดิมหลายเท่า เพราะนอกจากเปียก มีกลิ่นไม่สู้ดี เนื้อผ้าหยาบระคายผิวขาวๆ อันแสนนุ่มและละเอียด ส่วนชุดใหม่มีหมวกด้วยพลอยให้คนเป็นพี่ชายมองอย่างตื่นเต้น แวบหนึ่งไป๋ซินหลิวฝู เห็นว่าห่าวปู้อี้ ก็อยากได้เช่นเดียวกันกับน้อง แต่นางย่อมต้องให้เขาเปิดปากพูดเอง นิสัยนางนั้น หากอยากได้สิ่งใด ย่อมต้องออกแรง เพื่อหามา
“เอ่อ...หากท่านมีชุดสำหรับเด็กโตด้วย ข้าอยากสวมใส่เช่นน้องสาม”
ห่าวปู้อี้กล่าวจบ แก้มทั้งสองข้างเขาแดงขึ้น นั่นเพราะเขินอายอยู่มาก
“ลูกอี้ เมื่อตกลงเป็นมารดาให้พวกเจ้า ไฉนข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าสุขสบายทั้งกายและใจเล่า เพียงแต่ ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ ดังนั้น แม้จะสอนเจ้าหาเสื้อผ้าดีๆ ไว้สวมใส่”
ห่าวปู้อี้อมยิ้ม และถามนางว่า
“เยี่ยงนั้น ข้าย่อมต้องเรียกท่าน ว่าท่านแม่ และหากท่านสอนข้าทั้งเรื่องหาเงิน และวรยุทธ์ได้ ย่อมเป็นเรื่องดี”
หญิงสาวเข้าใจสิ่งที่เด็กชายกล่าว และนางอมยิ้มน้อยๆ
“เอ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ตกลงกันเสียก่อน ข้าไม่ชอบใจที่ท่านพ่อเอาแต่นอน คนขี้เกียจย่อมไม่สมควรได้กินดีอยู่ดี และหวังว่าท่านแม่ จะยุติธรรมในเรื่องนี้ ไม่เอ่อ...หลงใหลกับความรูปงามปานเทพเซียนของเขา”
ไป๋ซินหลิวฝูฉงนกับสิ่งที่ห่าวปู้อี้กล่าว ดูเหมือนเด็กชายต่อต้านคนเป็นบิดาอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกอี้หมายความเช่นไร”
“เฮ้อ เท่าที่ข้าจำได้ นับแต่ต้องเป็นบุตรบุญธรรมของตงฟางเซ่าหยาง เขาคือชายนิทรา ไร้ประโยชน์ มีดีแค่รูปโฉมล่มแคว้น นอกเหนือจากนั้น ข้าไม่เห็นสิ่งใดน่าชื่นชม”
“เด็กน้อย ถึงอย่างนั้น เจ้าก็อยู่ในความดูแลของเขา” นางพยายามสอน และไม่ชอบนักที่เขาไม่เกียรติผู้ใหญ่
“ท่านกล่าวถูก เพียงแต่ข้ากลัวว่า เมื่อท่านไปถึงเรือน จะไม่สนใจพวกเราสี่พี่น้อง เอาแต่ดูแลตงฟางเซ่าหยางผู้นั้น”
ไป๋ซินหลิวฝูโบกมือไปมา สำหรับนางไม่ได้ชอบบุรุษที่ใบหน้า หากนางมองถึงหัวใจที่กล้าแกร่ง ความสามารถ รวมถึงคุณธรรม
“เหลวไหล เชื่อข้าเถอะ มารดาของพวกเจ้าคนนี้ ไม่ยอมสยบให้บุรุษคนใดแน่นอน”
“ท่านแม่พูดจริงใช่ไหมขอรับ ถึงแม้ว่า บิดานั้นจะหล่อน้อยกว่าข้านิดนึง ท่านแม่ก็จะไม่หน้ามืดตามัว ใช่หรือไม่”
คนที่กล่าวนั้นก็คือห่าวอู๋ ท่าทางเขาฉายแววความเจ้าชู้ให้เห็นด้วย และตอนนี้วางมาดเหมือนคนโต คล้ายอยากโปรยเสน่ห์ให้นางหลงใหล
“หึๆ ๆ ให้หน้าตาดีกว่าพวกเจ้าทั้งสองคนสักสิบเท่า มารดาผู้นี้ก็ไม่มีทางหวั่นไหวหรอก”
นางบอกทั้งคู่แล้ว ก็เตรียมการที่จะกลับเรือนเพื่อไปดูอาการป่วยของซวนเจี๋ย ส่วนเรื่องทวงเงินคือจากอันธพาล นางจะกลับไปคิดบัญชีภายหลัง ด้วยตอนนี้มีลางสังหณ์ (สัญญาณเตือน) ให้รู้ว่า อาการของเด็กหญิงหนักหนาอยู่มิน้อย