4
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
ห่าวปู้อี้ หรือ ต้าเกอ วิ่งนำหน้าห่าวอู๋ มานับห้าหลายลี้แล้ว อันที่จริงที่เขาออกมาข้างนอกตั้งแต่สองวันก่อน กระทั่งถึงยามสายวันนี้ เด็กทั้งคู่ถูกนักต้มตุ๋นในคราบของขุนนางเมืองเจี้ยนหลอกเอาเงินไปจนหมดตัว ทั้งนั้นจึงไม่มีเงินจ่ายค่ายา รวมถึงการหาหมอไปรักษาน้องสาว
ฝ่ายนั้นป่วยหนักนอนซม และตัวร้อนยิ่งกว่าไฟ ซึ่งสิ่งที่เขาทำคือไปยังภัตตราคาร ที่อยู่ใกล้ๆ จุดพักม้าของตำบลเยว่ แล้วประกาศขายเคล็ดลับสุดยอดวิชาในการขับพิษกู่* (สัตว์พิษห้าชนิด) ด้วยยามนี้ฝ่ายพรรคมารได้ปล่อยมันออกมาก่อกวนราษฎรไปทั่วทุกย่อมหญ้า
และเด็กชายวัยสิบขวบ อ้างว่าตนเป็นหมอเทวดาน้อย มีตาทิพย์สามารถนำกู่ที่เป็นหนอนออกจากร่างกายคนได้ และเขาใช้เงินสิบอีแปะจ้างขอทานผู้หนึ่งให้มาเป็นหนูลองยา จากนั้นก็ทำการฝั่งเข็ม แล้วรีดกู่ออกจากฝ่ามือฝ่ายนั้น(อันที่จริงเป็นพยาธิ) โดยสิ่งที่เขาทำคือกลปาหี่ที่เรียนรู้มาจากหลี่ซวง ผู้เป็นคนเลี้ยงดูพวกเขา
ทว่าแทนที่จะได้เงินไปจ้างหมอในเมืองเพื่อรักษาอาการน้องสาว กลับกลายเป็นว่าเขาถูกพวกอันธพาลตามไล่ล่า และอ้างว่าเขาหลอกลวงผู้อื่น ดังนั้นทั้งเขาและห่าวอู๋ในวันห้าขวบจึงวิ่งอย่างไวเพื่อเอาตัวรอด มิเช่นนั้นคงถูกจับไปขึ้นศาล และให้ไปอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ ก่อนส่งตัวไปเข้าสำนักศึกษาสักที หรือไม่ก็เข้าไปจวนขุนนางทำงานแลกอาหารและที่ซุกหัวนอน ซึ่งถึงแม้ห่าวปู้อี้จะพอมีคนรู้จักเพื่อขอความช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่สถานการณ์ยามนี้ไม่สู้ดี ด้วยเขาได้ข่าวลับๆ ว่าพวกที่เป็นศัตรูกับตงฟางเซ่าหยาง (บิดาบุญธรรม) กำลังเคลื่อนไหว
ยามนี้เด็กชายหิว และโกรธจัด เขาโกรธคนที่นอนในเรือนป่าไผ่
ซึ่งก็คือตงฟางเซ่าหยาง คนผู้นั้นตัวโตเสียเปล่ากับไร้ประโยชน์ วันๆ เอาแต่นอน ซึ่งนับแต่มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เขาเห็นว่าผู้ชายผิวขาวซีดใช้ชีวิตบนเตียงเป็นส่วนมาก พอตื่นเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะ เรียกได้ว่า เป็นภาพที่เขาเบื่อหน่ายเหลือเกิน
คนเขลา หรือพวกปัญญาทึบ เขาแอบเรียกอีกฝ่ายลับหลังเช่นนั้นเสมอ แม้พ่อบุญธรรมจะดีกับเขาตลอดมา
ซึ่งทุกอย่างนับแต่มาอยู่ที่นี่ยุ่งยากไปหมด ซึ่งเขาไม่อาจรับผิดชอบสิ่งใดได้อีกต่อไป อายุเพียงเท่านี้ กลับมีภาระอันใหญ่หลวงกดทับบนหลังไหล่
หลายวันที่ผ่านมา มีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เขาเคยได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยถึงบ่อยครั้ง ในยามที่เหมือนว่าบางสิ่งย้อนคืนกลับมา เขาจึงต้องตามหาสตรีจริงใจมารับหน้าที่เลี้ยงน้องๆ ส่วนเขาคงออกท่องยุทธภพ อย่างที่วาดฝันไว้ตั้งแต่แรก
“สตรีสวมหน้ากากเปลือกไม้ ตามหานางให้พบ พวกเจ้าจะได้มีมารดาคอยเลี้ยงดู”
ห่าวปู้อี้ไม่ได้สนใจสิ่งใดมากนัก เขาเบื่อบ้านที่ทรุดโทรมเต็มทน อีกทั้งการทำสวน ปลูกผัก ไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับเขา
เด็กชายจำได้ว่า แต่เดิมมีชีวิตและความเป็นอยู่ดีกว่านี้ ก่อนจะต้องมาเป็นบุตรบุญธรรมของชายที่สติกำลังจะหลุดหายจากร่าง ห่าวปู้อี้ มีพ่อแม่ที่รักเขา ผิดแต่เมื่อฝ่ายธรรมะที่อ้างว่าจะกำจัดลัทธิมาร บุกเข้ามาที่สำนักพัดเหล็ก คนในนับร้อยชีวิตจึงต้องดับสูญ เขาถูกคนผู้นั้นช่วยชีวิตไว้ ภายหลังได้เป็นบุตรบุญธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือ หากตงฟางเซ่าหยางไม่คิดรวบรวมยุทธภพไว้เป็นหนึ่งเดียว ไฉนเด็กน้อยอย่างเขาจะต้องกำพร้า และมีวันที่อดยากเช่นนี้
ดังนั้น ตงฟางเซ่าหยางคือคนทำให้ชีวิตเขาต้องบัดซบ และยามนี้เขาต้องมาดูแลเด็กชายที่แสนงอแง เวลาตกใจมักถ่ายเบาแบบควบคุมตนเองไม่ได้
ห่าวอู๋ที่นิ่งอยู่นาน แล้วจึงส่งเสียงสูงๆ ของตนขึ้น
“หากเป็นนางที่บิดาให้ตามหา ขะ ข้า... ขอเป็นเด็กกำพร้าไปตลอดชีวิตดีกว่า”
ด้วยห่าวอู๋ ไม่เคยรู้จักมารดาของตนมาก่อนเขาจึงเอ่ยเช่นนั้น แล้วหากสตรีเบื้องหน้าที่มีท่าทีพิลึก ทั้งยังดื่มเลือดงูด้วย ต้องมาเป็นมารดาเขา เด็กชายยิ่งตื่นตระหนกจนสมองขาวโพลน ดังนั้น ยามนี้จึงเขาไม่ต้องการมารดา
“อู๋เกอ เหตุใดถึงไร้เหตุผล บิดาป่วยหนัก และเขาจดจำหลายสิ่งแทบไม่ได้ แม้แต่ใบหน้าพวกเรา บางทีก็เห็นเป็นคนอื่น อีกอย่างหากไม่มีคนคอยเลี้ยงดูเจ้า ย่อมต้องอดยาก และเจ้าอย่าลืม น้องสี่นั้นเล่า นางอายุยังน้อย อย่างไรต้องการมารดาอยู่ใกล้ๆ”
“แต่ที่เรือนยังมีแม่นมซวง” เขาหมายถึงหลี่ซวง
“โถ อู๋เกอ เจ้าคิดเหรอว่า การที่นางใช้นมสุนัขเลี้ยงน้องสี่ และคอยอบรมพวกเรานั้น นางทำด้วยความปรารถนาดี สตรีหนังเหี่ยวผู้นั้น จิตใจคดเคี้ยว ไม่แน่ที่ขุนพวกเรา ด้วยมันเผา และหัวไชเท้าดอง นางคงมีแผนจะจับพวกเราไปขายเป็นแน่ ไม่ก็เชือดคอ แล้วก็จับทำเนื้อตากแดด!”
เมื่อห่าวปู้อี้ พี่ชายคนโตกล่าวอย่างนั้น ห่าวอู๋ก็ขนลุกทั้งร่าง เขาพึ่งนึกได้ว่า หลี่ซวงอยู่กับน้องสี่ และพี่รองตามลำพัง ส่วนบิดาก็คงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ร้อนหนาวใดๆ
“พวกเราจะทำเช่นไรดีต้าเกอ กลับบ้านตอนนี้ทันหรือไม่ ละ แล้ว นางมารผู้นั้นเล่า นะ นางเป็นมารดาของพวกเราจริงๆ หรือ”
ยังไม่ทันที่ห่าวปู้อี้จะได้ตอบคำถามน้องชายคนที่สาม ร่างของสตรีที่ถืองูเห่าสองตัวไว้ในมือก็เหมือนจะเหาะเหินได้ นางใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว จึงโผนทะยานมาอยู่ตรงหน้าห่าวปู้อี้กับห่าวอู๋
“โอ้ อย่านะ...ทะท่านจะมาขี้ตู่ให้ข้าเป็นลูกไม่ได้เด็ดขาด บิดาข้าเป็นหมัน เรี่ยวแรงก็ไม่มี วันๆ ได้แต่นอน และนอน ดังนั้นห่าวอู๋ผู้นี้ จึงเกิดจากแม่ไก่หรือก็หล่นลงมาจากท้องฟ้าขอรับ”
ยามนั้นไป๋ซินหลิวฝูมองเด็กชายตาโต ร่างกลมๆ แก้มย้อย และมีพุงนิดๆ คนนี้ ดูก็รู้ว่าได้รับการเอาใจใส่ที่ดี แม้เสื้อผ้าจะเก่าทั้งมีรอยปะฉุนมากมาย แต่มีแววเป็นเด็กฉลาดช่างพูด ตอนนี้กำลังจะหาทางเอาตัวรอดจากนาง
“ข้ายังไม่ได้พูดสิ่งใด ไฉนถึงคิดว่าข้าอยากเป็นมารดาเจ้า”
ห่าวอู๋ปิดปากเงียบ และเด็กชายพยายามเหลือเกินที่จะไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมา
ส่วนห่าวปู้อี้ใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนเอ่ยถามด้วยกล้าหาญ
“นอกจากจับงู และกินเลือดงู ทะ ท่านมีวิชาแพทย์หรือไม่”
ไป๋ซินหลิวฝูกำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่ายามนั้นภาพในหัวปรากฏหลายสิ่งขึ้นมากมาย และบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวพันถึงเด็กชายทั้งสองคน
“พวกเจ้าก็คือ อี้เอ๋อร์... อู๋เอ๋อร์สินะ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด น้ำเสียงของนางในยามนั้นถึงนุ่มนวล ทั้งน่าฟังเหลือเกิน