ตอนที่ 9 : เริ่มแผนการ 1/2
ตอนที่
[7]
เริ่มแผนการ
จูจิ่งหลงเมื่อได้ยินว่าเสด็จลุงสอบถามตน ริมฝีปากก็เม้มเป็นเส้นตรง เขามองหน้าฝูมามาที มองหน้าสหายคนใหม่ที ก่อนที่จะกลับไปสบพระเนตรของผู้เป็นลุง
“เสด็จลุง หลานได้ยินนางกำนัลพูดกันว่า ในช่วงเช้าดอกบัวจะงดงามนัก วันนี้จึงได้คิดเดินออกมาดู เพราะในแต่ละวันนอกจากอยู่ในตำหนักหลานก็ไม่ค่อยได้ออกไปที่ใดจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ค่อยได้ออกไปที่ใดงั้นหรือ”
“เอ่อ องค์ชายคงหมายถึงด้วยองค์ชายเป็นคนมักเก็บตัว ไม่ค่อยออกไปที่ใด อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างเพคะ เดิมทีหากองค์ชายเบื่อหม่อมฉันก็มักจะให้นางกำนัลพาเดินไปเปิดหูเปิดตาอยู่แล้วเพคะ” ฝูมามาเห็นว่าฮ่องเต้เกิดความสงสัยจึงได้รีบอธิบาย พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย วันนี้ทำไมองค์ชายถึงได้ทำตัวแปลกกว่าเดิมนัก
“แล้วครานี้เหตุใดไม่พานางกำนัลไปด้วยเล่าหลงเออร์” พระพักตร์หล่อเหลาที่ยังไม่คลายจากความสงสัยเอ่ยถามหลานชายทันที
ทันทีที่เขาได้ยินว่าเกิดสิ่งใดกับหลานชาย เขาก็รีบเร่งมาเป็นการด่วน หากว่าหลานชายตัวน้อยเป็นอันใดไป เขาคงรู้สึกผิดกับพระขนิษฐาเป็นอย่างมาก ที่อุตส่าห์วางแผนส่งบุตรชายมาหาเขาอย่างยากลำบาก
“เสด็จลุง หลานเห็นว่าในช่วงเช้าทุกคนมักจะยุ่ง หากจะชวนฝูมามาก็เป็นห่วงกลัวว่านางจะเหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ จึงได้ตัดสินใจไปคนเดียว ทุกอย่างเป็นความผิดของหลานเอง ขอเสด็จลุงจงลงโทษหลานเถิด” จูจิ่งหลงคุกเข่าลงไปทันทีหลังกล่าวจบ
“ดูท่าแล้ว ฝูมามาที่อายุมากขึ้นคงจะวิ่งตามองค์ชายไม่ทันแล้ว แต่หม่อมฉันยังวิ่งทันอยู่ ต่อจากนี้ให้หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลองค์ชายเป็นอย่างไรเพคะ” ในจังหวะนั้นเองซูซีหลินก็กล่าวขึ้นกลางปล้องหลังกล่าวจบยังประคองเด็กน้อยให้ลุกขึ้นอีกด้วย
“ไม่ได้!!” นี่ไม่ใช่เสียงของฮ่องเต้แต่เป็นเสียงของฝูมามาที่ตวาดลั่นออกมาอย่างลืมตัว และเจ้าตัวเหมือนจะรู้ตนเองว่าทำอันใดออกไปจึงได้รีบเร่งอธิบาย หากแต่อวี๋กงซู่กลับสงสัยในท่าทางเมื่อครู่ของนางเสียแล้ว
“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงหละหลวมไปชั่วขณะ และอีกอย่างหม่อมฉันเป็นผู้ดูแลองค์ชายนับตั้งแต่ที่องค์ชายมาอยู่ที่หลิวหยวน ให้องค์ชายไปอยู่กับผู้อื่นปุบปับเช่นนี้เกรงว่าองค์ชายคงปรับตัวไม่ได้แน่เพคะ ใช่หรือไม่เพคะองค์ชาย องค์ชายอยากจะมาอยู่กับซูกุ้ยเฟยหรือเพคะ” ฝูมามาเน้นย้ำกับเด็กน้อยอีกครั้งว่าเขาจะต้องไปอยู่กับใครหากไม่ปฏิเสธ อวี๋กงซู่หรี่ตามองในท่าทางและคำพูดอันผิดปกติของฝูมามาอีกครั้ง
“เจ้าคิดจะรับหลงเออร์มาอยู่ด้วย เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถที่จะดูแลเด็กคนหนึ่งได้ดีแล้วหรือ” คำถามนี้ถูกส่งไปให้ซูซีหลิน
“หม่อมฉันย่อมดูแลได้ดีเพคะ เพราะช่วงหลัง ๆ หม่อมฉันปฏิบัติตัวอย่างไรกับเหล่านางกำนัลอายุน้อย ไปถามผู้ใดดูก็รู้แล้วเพคะ”
แน่นอนว่าเขารู้ อวี๋กงซู่คิดในใจแต่ไม่ได้กล่าวออกไป
“และอีกอย่างหม่อมฉันทำอาหารเก่งมาก ทำขนมก็เก่ง องค์ชายมาอยู่ที่นี่รับรองว่าได้อยู่ดีกินดีแน่เพคะ ที่จริงยังมีสิ่งดี ๆ อีกมาก แต่สรุปง่าย ๆ ก็คือหม่อมฉันดูแลองค์ชายได้ดีแน่เพคะ อาจจะดีกว่าอยู่ที่เดิมก็ได้” ประโยคท้ายกล่าวลอย ๆ แต่ดูเหมือนจะไปกระทบคนบางคนเต็ม ๆ ดูสิกำมือแน่นเสียอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรหลงเออร์ เจ้าอยากจะมาอยู่ที่นี่กับซูกุ้ยเฟยหรือไม่” ครานี้ฮ่องเต้หนุ่มหันไปเอ่ยถามหลานชายด้วยอยากจะรู้ในความคิดของเด็กน้อย และดูท่าทางของสตรีทั้งสอง หากถามว่าเขาไว้ใจผู้ใดมากกว่ากัน หากเป็นแต่ก่อนเขาคงตอบว่าฝูมามา แต่เหมือนว่ายามนี้จะชี้ชัดเช่นนั้นไม่ได้เสียแล้ว
ไม่อาจปล่อยให้เด็กน้อยตอบฝูมามาขยับกายเล็กน้อย นางทำท่าเหมือนจะเดินเข้าไปหาองค์ชายน้อย หากเป็นจูจิ่งหลงที่ขยับกายออก แล้วทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด
หมับ
มือน้อยยื่นไปจับมือของซูกุ้ยเฟยเอาไว้ก่อนจะผินใบหน้ากลับมาหาเสด็จลุงของตน
“ทูลเสด็จลุง หลานอยากจะอยู่กับซูกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“…..”
เขาตัดสินใจแล้ว ว่าจะเชื่อในความรู้สึกตนเองสักครั้ง จูจิ่งหลงพยักหน้ากับตนเองเร็ว ๆ ว่าตนคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเช่นนี้
การตัดสินใจของหลานชายทำให้อวี๋กงซู่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเบือนสายตาไปมองสตรีที่กำลังเชิดหน้าใส่ฝูมามาราวกับกำลังประกาศชัยชนะ ฮ่องเต้หนุ่มส่ายพระพักตร์เล็กน้อยในการทำตัวเป็นเด็กของอีกฝ่าย
ฝูมามานั้นมีความไม่ยินดีและความอัดอั้นอยู่เต็มอก นางไม่อาจที่จะปล่อยองค์ชายไปได้ในยามนี้ เพราะแผนการที่วางเอาไว้อาจจะล้มเหลวได้
“องค์ชายเพคะ จะไม่อยู่กับหม่อมฉันจริง ๆ หรือเพคะ” ใบหน้าของฝูมามาเต็มไปด้วยความเศร้าใจกึ่งอ้อนวอน ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างแอบมีใจเอนเอียงเห็นใจไปทางฝูมามาเล็กน้อย ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงผูกพันกับองค์ชายจึงมีความอาลัยอาวรณ์ต่อองค์ชายเป็นอย่างมาก
“ฝูมามา หากท่านคิดถึงข้า ก็มาเยี่ยมข้าที่นี่ได้” หากแต่คำตอบขององค์ชายจูจิ่งหลงก็เป็นการตอบคำถามทุกคน องค์ชายอยากอยู่กับซูกุ้ยเฟยมากกว่า ต้องเอาความต้องการขององค์ชายเป็นหลัก
ทว่าหลายคนรวมไปจนถึงฮ่องเต้กำลังเกิดความสงสัยว่าองค์ชายน้อยไปรู้จักกับซูกุ้ยเฟยจนถึงขั้นยืนกรานจะอยู่กับพระนางได้อย่างไร อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ได้แต่ผินพระเนตรส่งสัญญาณไปที่คนของตน แล้วกลับไปมองที่พระนัดดา คงต้องถามหลงเออร์อีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“หากหลงเออร์อยากอยู่กับซูกุ้ยเฟยเช่นนั้นก็ตามใจเถิด เดี๋ยวเราจะให้คนไปนำของของหลงเออร์มาไว้ที่ตำหนักซิ่วอิงเอง ฝูมามาอย่างไรฝากท่านจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยด้วย”
“เพคะฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทเพคะหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเพคะ”
“หืม มีอันใดหรือ”
“หม่อมฉันอยากจะให้ซูกุ้ยเฟยจัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายได้หรือไม่เพคะ ให้เป็นการต้อนรับองค์ชายเข้าตำหนักซิ่วอิง และให้หม่อมฉันได้สบายใจว่าที่นี่ต้อนรับองค์ชายจริงๆ ในฐานะของคนที่ดูแลองค์ชายมาสองปี หม่อมฉันอยากเห็นภาพนั้นเพคะ”
ซูซีหลินหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ยินยอมจนถึงที่สุดสินะ
แม้ว่านี่จะเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะราวกับฝูมามากำลังจะกล่าวหาว่าซูกุ้ยเฟยนั้นอาจจะไม่ได้ต้อนรับองค์ชายจริง ๆ แต่ต้องการรับองค์ชายไปเพื่อการบางอย่าง แต่อีกนัยหนึ่งก็เข้าใจได้ว่าฝูมามาคงเป็นห่วงองค์ชาย ด้วยชื่อเสียงของซูกุ้ยเฟยก็ไม่ดีเท่าไรนัก แม้ช่วงหลังจะมีหลายคนที่ได้มาสัมผัสกับคนตำหนักซิ่วอิงต่างบอกว่าพระสนมนั้นใจดีที่สุด แต่คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องอาจจะไม่รู้ เช่นฝูมามาผู้นี้
“ซูกุ้ยเฟย เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
จัดก็จัดสิ กลัวที่ไหน ซูซีหลินคิดในใจก่อนจะตอบ
“หม่อมฉันยินดีเพคะ อีกสองวันจะมีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชาย ทีนี้ฝูมามาจะได้สบายใจได้เสียที” รอยยิ้มหวานถูกส่งให้ฝูมามาหากแต่สายตากลับซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ ด้านฝูมามานั้นก็มีสายตาที่ไม่ต่างกัน หากแต่ไม่นานก็หายไปเหลือเพียงความเป็นห่วงเป็นใยต่อองค์ชายน้อยที่อยู่ข้างกายซูซีหลิน