ตอนที่ 8 : เริ่มแผนการ 1/1
ตอนที่
[7]
เริ่มแผนการ
ในช่วงเช้าของตำหนักซิงเยียน นางกำนัลที่รับหน้าที่ในการดูแลองค์ชายจูจิ่งหลงในช่วงเช้าได้เข้าไปทำหน้าที่ประจำของตนอย่างที่เคยทำ หากแต่วันนี้องค์ชายน้อยที่เวลานี้มักจะจัดการตนเองในช่วงเช้ากลับไม่มีการมีอยู่แม้เพียงเงา ไม่ว่าจะเดินหาที่ใดของห้องก็ไม่พบ แม้กระทั่งบริเวณรอบ ๆ ตำหนักก็ไร้วี่แวว
แย่แล้ว!!
นางกำนัลน้อยใบหน้าซีดเผือด
“เกิดอะไรขึ้น!” และยิ่งสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของผู้ที่ดูแลตำหนักแห่งนี้ดังขึ้น
“เอ่อ คือว่า”
หลังจากที่ได้ยินคำรายงาน ฝ่ามือที่นิ้วข้างหนึ่งสวมแหวนแกะสลักลวดลายอสรพิษเคี้ยวคดไปมา ก็ฟาดลงไปบนแก้มบอบบางของนางกำนัลเต็มแรง
เพียะ!
“ใช้ไม่ได้จริง ๆ!!”
“พวกเจ้าเอานางไปโบย 30 ที โทษฐานที่ดูแลองค์ชายไม่ดี ส่วนคนที่เหลือรีบไปตามหาองค์ชายเดี๋ยวนี้!!”
ฝูมามาสั่งการอย่างรวดเร็วไม่บิดพลิ้วแม้แต่น้อย นางกำนัลกรีดร้องขอความเห็นใจไปจนสุดเสียง การที่นางทำเช่นนี้ หากผู้ใดที่ไม่รู้คงคิดว่านางเป็นห่วงองค์ชายจูจิ่งหลงหนักหนา แต่ทว่านางเพียงไม่อยากให้เขาหลุดมือไปเพื่อกล่าวอันใดที่ตนไม่สามารถควบคุมได้ต่างหาก
“แย่แล้ว องค์ชายจูจิ่งหลงตกน้ำ!!”
ในที่สุดคนที่ฝูมามาตามหาตัวแทบพลิกแผ่นดินก็ปรากฏตัวขึ้นหากแต่อยู่สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ฝูมามาที่ยังวิ่งไปไม่ถึงจุดเกิดเหตุรีบสั่งการให้คนของตนรีบไปช่วยองค์ชายน้อยก่อน
ซูซีหลินลากเด็กน้อยขึ้นจากสระน้ำด้วยความทุลักทุเล เมื่อสามารถพาขึ้นจากน้ำได้สำเร็จก็รีบอุ้มเขาไปยังตำหนักซิ่วอิงทันที ท่ามกลางสายตาของเหล่าข้าราชบริพารมากมาย
“นี่ เจ้าตื่นได้แล้ว” นางกระซิบบอกเด็กน้อยที่ทำเป็นนอนนิ่งอยู่นาน จูจิ่งหลงเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็แสร้งทำเป็นสำลักน้ำตามที่ได้ฝึกซ้อมกันไว้ ในจังหวะนั้นเองที่เสียงอันทรงอำนาจของผู้ปกครองแผ่นดินดังขึ้น
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น!!” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้พระพักตร์เต็มไปด้วยความดุดันกวาดสายตามองเหตุการณ์ด้วยความเกรี้ยวกราด โดยเฉพาะกับสตรีที่ร่างกายเปียกโชกที่อยู่กับพระนัดดาของเขา
เดิมทีนางก็เจ้าแผนการอยู่แล้ว ยามนี้หลานชายยังมาตกสระน้ำที่อยู่ใกล้ตำหนักของอีกฝ่ายอีก ดูอย่างไรก็รู้ว่าไม่ปกติ
ด้านฝูมามาที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมา เมื่อรู้ว่าองค์ชายน้อยยามนี้กำลังอยู่ในตำหนักผู้ใดจิตใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม จึงได้เร่งฝีเท้าของตนให้มากกว่าเดิม
“ตายแล้ว องค์ชายเกิดอะไรขึ้นเพคะ แล้วนั่นซูกุ้ยเฟย…” ฝูฉางอิน พยายามที่จะเน้นย้ำให้องค์ชายจูจิ่งหลงรับรู้ได้ว่าคนที่อยู่ข้างเขานั้นคือผู้ใด
ราวกับปฏิกิริยาฉับพลันร่างกายของจูจิ่งหลงแข็งทื่อทันที เมื่อได้ยินชื่อที่เขาได้ยินและหวาดกลัวมาตลอดสองปี พลางถดกายออกห่างเล็กน้อยโดยที่ยังไม่มองหน้าของคนที่อยู่ด้านข้าง ฝูมามาเห็นเช่นนั้นก็ลอบยิ้มในใจ
หากทว่าเมื่อจูจิ่งหลงทำใจกล้ามองไปยังใบหน้าของสหายคนแรกและคนเดียวของเขา จู่ ๆ คำพูดของนางก็ดังขึ้นในความคิดของเขา
‘เราไม่อาจจะตัดสินผู้ใด หากว่ายังไม่ได้ไปสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ฟังจากคนอื่นเล่าไม่ได้หรอกนะ บางอย่างอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้’
‘หากไม่อยากให้ผู้ใดมาตัดสินว่าเราเป็นคนฟังความข้างเดียว เราต้องเปิดใจให้กว้าง แล้วค่อย ๆ เรียนรู้มัน จากนั้นค่อยตัดสินอีกที’
นั่นสิ ตั้งแต่ที่เขารู้จักกับนาง หากว่านางเป็นซูกุ้ยเฟยที่ร้ายกาจจริง นางคงไม่ปฏิบัติเช่นนั้นกับเขา จากที่ได้สัมผัสนางไม่ใกล้เคียงเฉกเช่นที่ฝูมามาบอกเลยสักนิด เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำความสงสัยในใจเขายิ่งขึ้นไปอีก
“เราถามว่าเกิดอันใดขึ้นเหตุใดจึงเงียบเล่า” อวี๋กงซู่เห็นว่าไม่มีผู้ใดกล่าวอันใดเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำท่าทางแปลก ๆ ใส่กัน จึงได้สำทับสุรเสียงอันแข็งกร้าวลงไปอีกรอบ ฝูมามาจึงได้ฉวยโอกาสนี้ก่อนใคร
“ทูลฝ่าบาท เช้านี้หม่อมฉันให้คนไปดูแลกิจวัตรเช้าขององค์ชายดังเช่นทุกวัน หากแต่เมื่อนางกำนัลเข้าไปในห้องบรรทมกลับไม่พบองค์ชายในห้องบรรทม หม่อมฉันจึงได้แยกกันออกตามหาองค์ชายจนทั่วตำหนักซิงเยียน แต่หาอย่างไรก็ไม่พบจึงได้ขยายพื้นที่การตามหามากขึ้น จนกระทั่งได้ยินว่าองค์ชายตกน้ำ แต่เมื่อไปถึงสระน้ำที่ว่ากลับได้ยินคนบอกว่าองค์ชายถูกซูกุ้ยเฟยนำตัวไปแล้ว หม่อมฉันจึงได้รีบเร่งมาที่นี่เพคะ”
ซูซีหลินมุมปากกระตุก ใช้สายตาจดจ้องไปยังฝูมามาอย่างเงียบเชียบ อีกฝ่ายบอกฮ่องเต้ว่านาง ‘เอาตัวองค์ชายไป’ แทนที่จะบอกว่า ‘นางช่วยองค์ชาย’ นี่เป็นการเริ่มจุดประเด็นความสงสัยให้กับฮ่องเต้ต่อนางแล้วสินะ
แล้วก็เป็นเช่นนั้น เพราะรู้สึกถึงสายตาอันเยือกเย็นที่ส่งให้นาง
“ฝ่าบาทในช่วงเช้าหม่อมฉันและนางกำนัลมักจะออกไปเดินเล่นและตามหาวัตถุดิบรอบตำหนักที่น่าสนใจมาทำอาหาร และวันนี้หม่อมฉันอยากกินรากบัว จึงได้ไปที่สระบัวที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนัก แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเมื่อไปถึงกลับพบว่ามีคนผู้หนึ่งพลัดตกน้ำไป ด้วยความจิตใจดีของหม่อมฉัน จึงได้รีบเร่งลงไปช่วย เมื่อช่วยเขาขึ้นมาสำเร็จจึงได้รู้ว่าเขาคือองค์ชายจูจิ่งหลง เมื่อรู้จึงได้รีบพาเขากลับตำหนักแล้วรีบเร่งให้คนไปตามหมอหลวงมา แต่หมอหลวงไม่ทันมาองค์ชายก็สำลักน้ำฟื้นขึ้นมาอย่างที่พระองค์เห็น”
สายตาของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ และเมื่อครู่นางว่าอันใดนะ ด้วยความจิตใจดีของหม่อมฉัน เหอะ พูดไปผู้ใดจะเชื่อ ดังนั้นความหวังเดียวของเขาในยามนี้จึงเป็นความจริงจากปากของพระนัดดาคนโปรด
“หลงเออร์ เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่”
จูจิ่งหลงเมื่อได้ยินว่าเสด็จลุงสอบถามตน ริมฝีปากก็เม้มเป็นเส้นตรง เขามองหน้าฝูมามาที มองหน้าสหายคนใหม่ที ก่อนที่จะกลับไปสบพระเนตรของผู้เป็นลุง